หุ้นขึ้นไม่มี(หุ้น)เรา (แต่หุ้นลงเราลงด้วย)

0
556

โลกในมุมมองของ Value Investor    16 ส.ค. 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้  หุ้นในตลาดหลักของโลกอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา  หุ้นในตลาด “โตเร็ว” อย่างเวียดนาม  และแม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่เคยตกลงมาแรงก่อนหน้านี้  ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นตลาดหุ้นที่คนไทยเข้าไปลงทุนเป็นเรื่องเป็นราว   มีการปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก 

ดัชนีหุ้น S&P 500 ปรับตัวขึ้นประมาณ 9.6%  ดัชนี VN ของเวียดนามปรับตัวขึ้นถึง 28.7% และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 10% จากที่เคยตกลงไปถึงเกือบ 25% ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568  ดังนั้น  นักลงทุนทั้งหลายหรือส่วนใหญ่ควรที่จะดีใจและน่าจะมีความหวังที่เต็มเปี่ยมกับการลงทุนในปีนี้ใช่ไหม?

แต่สำหรับหลายคน  และรวมถึงตัวผมเองนั้น  ผลประกอบการของการลงทุนตั้งแต่ต้นปีมานั้นต้องบอกว่าน่าผิดหวังอย่างแรง  พอร์ตตั้งแต่ต้นปียังขาดทุนหนักและแทบไม่ได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงด้วยซ้ำ  เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือกและถือลงทุน “ระยะยาว” ซึ่งเน้นการลงทุนเพียงไม่เกิน 10 ตัวหลัก ๆ ในแต่ละตลาดนั้น  ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามดัชนีในแทบทุกตลาดหุ้นที่ไป  หลาย ๆ  ตัวปรับตัวลงมาด้วย

หลายคนเฝ้ามองดัชนีและหุ้นบางตัวที่กำลังวิ่งขึ้นในวันที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและก็เห็นหุ้นที่ตนเองถือนิ่งหรือปรับตัวลงวันแล้ววันเล่าก็รู้สึกเศร้าใจและหดหู่  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวที่ถืออยู่นั้นเป็นหุ้นที่ดีและถูก  เข้าตำราการลงทุนแบบ VI อยู่แล้ว  ไม่มีเหตุผลที่จะขายทิ้ง

ตรงกันข้าม  หุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงทุกตัวนั้น  พื้นฐานทางธุรกิจก็ยังแย่อยู่มาก  บางตัวก็อาจจะกำลังฟื้น  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงลิ่วนั้น  แพงเกินไปมาก  แม้แต่กับหุ้นไฮเท็คสุดยอดของอเมริกาที่กำลังโตจนแทบคับตลาดหุ้น

คอมเม้นต์ที่เห็นบ่อยมากในเว็บเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงนี้จึงเป็น  “หุ้นขึ้นไม่มี(หุ้น)เรา  แต่เวลาหุ้นลง  เราลงด้วย”  และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหุ้นไทย  หุ้นเวียดนามและหุ้นอเมริกาก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน  เหตุผลก็เพราะว่า  หุ้นขึ้นรอบนี้  ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กระจายไปทั้งตลาดแบบที่จะเป็นเมื่อตลาดอยู่ในภาวะกระทิง  หุ้นขึ้นรอบนี้  ถูกนำโดยหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่มีขนาดใหญ่มากและหุ้นขึ้นไปแรงมาก  ซึ่งส่งผลต่อดัชนีตลาดมหาศาล  ในขณะที่หุ้นอื่น ๆ  อีกหลายร้อยตัวเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นตัวเล็ก ๆ  ที่มีสภาพคล่องต่ำนั้นแทบจะไม่ขึ้นเลย  หรือตกลงมาด้วยซ้ำ 

ลองดูตลาดหุ้นอเมริกาคือดัชนี  S&P 500 ซึ่งหุ้นตัวหลัก ๆ  ตอนนี้คือกลุ่มหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งมีมูลค่าตลาดของหุ้นรวมกันถึงประมาณ 32% ของหุ้นทั้งตลาด หุ้น NVIDIA มีมูลค่าสูงถึง 7.6% และให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ 34.4% หุ้น ไมโครซอฟท์ มีสัดส่วน 6.8% และให้ผลตอบแทน 23.9% หุ้นเมตาหรือเฟ้ซบุคมีสัดส่วน 3.4%  และให้ผลตอบแทนประมาณ 32% ส่วนหุ้นตัวอื่น ๆ  อีก 4 ตัวซึ่งประกอบด้วย หุ้นแอปเปิล กูเกิล อมาซอน และเทสลา   นั้น  ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ  5-6% เท่านั้นส่วนหนึ่งเพราะหุ้นเทสลาติดลบถึงกว่า 10%

คิดเฉพาะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง 3 ตัวคือ เอ็นวิเดีย  ไมโครซอฟท์  และเมตา  ก็มีส่วนทำให้ดัชนี S&P ขึ้นไปประมาณ 5.3% แล้ว  และถ้าคิดเฉพาะหุ้น 7 นางฟ้า  ก็น่าจะมีส่วนทำให้ดัชนี S&P เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1% เป็น 6.3%   ดังนั้น  ถ้าหุ้น S&P ซึ่งรวมหุ้นทั้งหมดปรับขึ้นไป 9.6%  หุ้นเกือบ 500 ตัวในดัชนีที่ไม่รวมหุ้น 7 นางฟ้าก็จะโตขึ้นเพียงประมาณ 3.3% ตั้งแต่ต้นปี

ข้อสรุปก็คือ  ถ้าคุณเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ  และคุณไม่ได้ลงทุนในหุ้นสุดยอด 3 ตัวดังกล่าวหรือไม่ได้ลงทุนในหุ้น 7 นางฟ้า  ถ้าคุณกระจายความเสี่ยงดี  คุณก็น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณแค่ 3%  แต่ถ้าหุ้นที่คุณเลือกนั้น  “ผิดตัว” คุณก็จะมีโอกาสขาดทุนได้ง่าย ๆ  ทั้ง ๆ  ที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นดีมาก

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงตั้งแต่ต้นปีนั้น  ปรับตัวขึ้นอย่าง  “ระเบิด” คือปรับตัวขึ้นถึง 28.7% ซึ่งน่าจะ “ดีที่สุดในโลก” แต่ถ้ามองลึกเข้าไป  หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีสุดยอดนั้น  มีไม่กี่ตัว  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือหุ้นในกลุ่ม “VIN Group” ซึ่งประกอบไปด้วย หุ้น VIC ที่เป็นบริษัทแม่ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตลาดและมี Market Cap. คิดเป็น 8.3% ของทั้งตลาด  หุ้น VHM มีขนาดคิดเป็น 7.3%  และ VRE 1.3% โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของหุ้น VIC เท่ากับ 186% VHM 135% และ VRE 77%

คิดไปแล้ว  หุ้น 3 ตัวนี้น่าจะมีส่วนทำให้ดัชนี VN ของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของดัชนีคือ 14.4% เข้าไปแล้ว   ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามถ้าไม่นับหุ้นกลุ่ม    วินกรุ๊ป 3 ตัวปรับตัวขึ้นไปประมาณ 14.3%  และถ้ามองดูแบบคร่าว  ๆ  ก็จะพบว่าหุ้นอื่น ๆ  ที่ปรับตัวขึ้นไปมากกว่าปกติก็คือหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น  ธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว  ซึ่งทำให้พอสรุปได้ว่า  ตลาดหุ้นเวียดนามที่ขึ้นไปมากนั้น  จริง ๆ  เป็นการปรับขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวที่ปรับตัวขึ้นไปอย่างมโหฬารอานิสงค์จากการที่กลุ่มบริษัทเริ่ม “ฟื้นตัว” จากปัญหาการเงินที่รุนแรงจนเอาตัวแทบไม่รอด

สำหรับตลาดหุ้นไทยเองนั้น  ผมไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด  แต่ก็พบว่าหุ้นขนาดใหญ่มากหลาย ๆ  ตัว  อาทิกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันปตท.และปตท.สผ.   หุ้นเดลต้า  กลุ่มแบ้งค์ขนาดใหญ่  กลุ่มหุ้นสื่อสารขนาดใหญ่นั้น  ราคาหุ้นตกลงมาน้อยหรือเพิ่มขึ้นจากต้นปีบ้าง  และเป็นตัวค้ำไม่ให้ดัชนีตลาดโดยรวมตกลงมามากกว่า 10% อย่างที่เห็นล่าสุด  แต่หุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่องและไม่มีคนเล่นนั้น  ตกลงมาแรง  บางตัวเป็น “หายนะ”  พูดง่าย ๆ  ถ้าคุณไม่มีหุ้นเหล่านั้น  ซึ่งมีจำนวนไม่มาก  พอร์ตหุ้นไทยปีนี้มักจะมีผลตอบแทนที่  “เลวร้าย” และน่าจะตกมากกว่า 10% จากต้นปีจนถึงวันนี้

ปรากฎการณ์ที่หุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัวถูก “เล่น” โดยนักลงทุนจำนวนมาก  ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่  และถูก “ขยายกำลัง” หรือพลังในการซื้อโดยโรบ็อต  ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ถึงยักษ์เหล่านั้นมีราคาพุ่งเป็นจรวด  ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดพุ่งขึ้นแรง  ในขณะที่หุ้นตัวอื่นหรือกลุ่มอื่นอาจจะถูกละเลยจนทำให้ราคาไม่เพิ่มขึ้นตามดัชนีหรือแม้แต่ตามผลประกอบการที่ควรจะเป็น  ทำให้การ “เลือกหุ้น” โดยเฉพาะเพื่อการลงทุนระยะยาวตามพื้นฐานของกิจการโดยเฉพาะในแนว VI นั้น  น่าจะลำบากขึ้น  อย่างน้อยก็ในแง่ของผลตอบแทนในระยะเวลาสั้นที่อาจจะด้อยลงเมื่อเทียบกับการลงทุนแนวทางอื่น

ในอีกมุมหนึ่งก็คือ  มันอาจจะทำให้ VI บางคน  “ถอดใจ” และไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวหุ้นอาจจะผิด  ซึ่งทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนหรือลดลงไปมากจนทำให้ตนเองรับไม่ไหวและขายหุ้นทิ้งและอาจจะพลาดผลตอบแทนที่อาจจะมาภายหลัง  หลังจากที่กระแส “หุ้นตัวใหญ่กินเรียบ” หมดไป

ในความคิดผมเองนั้น  ก็คงจะคล้ายวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ช่วงนี้ต้องนั่งมอง “หุ้นนางฟ้า AI” วิ่งเอา ๆ  แต่พอร์ตตนเองกลับไม่ค่อยดีนัก  โตแค่ประมาณ 5.7% จากต้นปี  แพ้ดัชนี S&P ที่ประมาณเกือบ 10%  ไม่ต้องพูดถึงหุ้น “สามนางฟ้า AI” ที่โตถึงประมาณ  30%  แต่ถึงอย่างนั้น  บัฟเฟตต์ก็ดูเหมือนจะไม่กระวนกระวายใจอะไร  ยังนั่งทับกองเงินสดกองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเบิกไชร์  รอว่าเวลาของหุ้นที่ตนเองถืออยู่จะกลับมาเมื่อไร

ผมเองตอนนี้ก็ร้องเพลงรอว่าเมื่อไรหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก”  โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเวียดนามของผมจะฟื้นกลับมาเมื่อไร โดยไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอะไรกับมัน  แม้ว่าเพลงที่ร้องนั้นมันเป็น “เพลงเศร้า”  เพราะพอร์ตเวียดนามของผมตกลงมาหนักมาก  เปรียบเทียบกับตลาดแล้วก็แทบเป็น “หายนะ” และผลงานที่ดีเยี่ยมในปีที่แล้วก็ยังไม่พอเทียบกับดัชนีตลาดที่พุ่งขึ้นมากกว่าในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา  จนแทบจะพูดว่า  “รู้งี้  ลงทุนในดัชนี VN เสียยังดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม  ผมก็หวังว่าสถานการณ์แบบนี้จะไม่อยู่คงทน  และในที่สุด  หุ้นที่ดีในแบบ VI พันธุ์แท้  ก็จะยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี  แม้จะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน

———-

VVI Membership ดูรายละเอียดและสมัคร https://class.vietnamvi.com/