โลกในมุมมองของ Value Investor 18 มกราคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในช่วงเร็ว ๆ นี้ เกือบทุกสัปดาห์จะมีหุ้นที่บ่อยครั้งถูกคิดว่าเป็น “หุ้นดี” หรือ “หุ้นสุดยอดแห่งยุคสมัย” เกิดอาการ “คอร์เนอร์แตก” นั่นคือ ราคาหุ้นตกลงมาอย่างแรงโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือผิดปกติกับตัวบริษัท และหลังจากนั้นอีกหลายวัน ราคาหุ้นก็ยังคงตกลงมาต่อเนื่อง จนบางทีราคาตกลงไปเกินครึ่งก่อนที่ทางตลาดหลักทรัพย์และ/หรือบริษัทจะแถลงว่าเกิดอะไรขึ้น?
ส่วนใหญ่แล้ว คำตอบก็คือ ไม่มีอะไร! บริษัทยังดำเนินการตามปกติ ผลประกอบการก็ปกติ บางทีจะบอกว่าดีขึ้นด้วยซ้ำ เหตุการณ์หุ้นตกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการขายหุ้นที่อาจจะถูกบังคับขายหรือ Force Sale โดยสถาบันการเงินที่รับจำนำหุ้นไว้จำนวนมากที่ต้องการเงินคืนและคนจำนำ ซึ่งบางครั้งก็คือผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท ไม่มีเงินสดที่จะไปใช้คืนเงินที่กู้มามากมาย
และเงินที่กู้มาก็เพื่อที่จะไป “ไล่” ซื้อหุ้นจำนวนมากจนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นสูงลิ่ว ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่เรียกว่าการ “Corner หุ้น” ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาหรือมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงไปมาก และทำให้คนทำมีความมั่งคั่งสูงเกินความเป็นจริงไปมาก และก็เป็นอยู่อย่างนั้นมา บางทีหลายปี
มองในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะอธิบายได้ว่า ราคาหุ้นปกตินั้นถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อหุ้นและปริมาณหุ้นที่คนต้องการขายที่เรียกว่า “หุ้น Free Float” ซึ่งโดยปกติแล้ว ราคาของหุ้นก็จะอยู่ที่การประเมินหรือคาดการณ์ตามพื้นฐานของกิจการเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกำไรของบริษัทและมุมมองในอนาคตว่าจะเติบโตไปแค่ไหนอย่างไร
พูดง่าย ๆ ราคาหุ้นปกติจะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อของคนที่ลงทุนที่เน้นพื้นฐานของกิจการ และ เช่นเดียวกับคนที่ต้องการขายหุ้นที่ประเมินมูลค่าพื้นฐานเช่นเดียวกัน เมื่อคนสองฝ่ายเจอกันในปริมาณหุ้นที่เท่ากัน ราคาจึงตกลงกันและเกิดเป็น “ราคาตลาด” ที่เหมาะสม เช่น ถ้าเป็นสถาบันการเงินระดับปานกลาง ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 มกราคม 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ที่แล้ว หุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาถึง “ฟลอร์” ที่ 30% เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน และวันที่ 4 ก็ยังตกต่อจนราคาลดลงถึงกว่า 70% มูลค่าตลาดหรือ Market Cap.ของหุ้นลดลงจากระดับหมื่นล้านบาทเหลือเพียงประมาณ 3 พันล้านบาทในเวลาเพียง 3-4 วัน อาการแบบนี้ผมอยากจะเรียกว่า “Sudden Death” หรือ “การตายที่เกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่นาทีจากสาเหตุอะไรก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความรุนแรง”
เพราะบริษัทหรือหุ้นที่กล่าวถึงนั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่มีข่าวที่กระทบทางด้านลบกับการดำเนินงานโดยตรงแม้ว่าตลาดหุ้นในช่วงนั้นอาจจะตกลงมาประมาณ 2-3% จากความกังวลในระดับโลกที่เข้ามากระทบกับตลาดไทย แต่ผลกระทบกับตัวบริษัทมีน้อยมาก อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของบริษัทหลังจากหุ้นตกลงมาแล้วก็คือ ผู้บริหารถูกบังคับขายหุ้นที่นำไปจำนำไว้กับสถาบันการเงินจำนวนมาก ดังนั้น สาเหตุที่หุ้นตกลงมาหนักมากระดับ “ตาย” ทันทีก็คือการที่หุ้นที่ถูกบังคับขายนั้น “ไม่มีคนรับ” ราคาหุ้นจึงตกลงมาแบบไม่มี “พื้น”
ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นในช่วงที่หุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 3 วันติดต่อกันนั้นมีเพียง 36 ล้านหุ้น คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 113 ล้านบาท ในขณะที่เงินกู้ที่ใช้หุ้นจำนำและจะต้องขายหุ้นเพื่อเอาไปคืนเงินกู้นั้น ว่ากันว่าอาจจะเป็นหลัก “พันล้านบาท” ดังนั้น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 4 มกราคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2025 และอาจจะปีต่อ ๆ ไปอีกหลายปี ตลาดหุ้นไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักลงทุนคุ้นเคยมานาน อาจจะเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น จะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่จะอยู่อย่างเดิมต่อไปอีกหลายปี กลายเป็นเรื่องปกติ หรือที่เราเรียกว่าเป็น “New Normal”
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจาก “การเปลี่ยนแปลงหลัก” ของเศรษฐกิจไทย จากเศรษฐกิจโตเร็ว เป็นเศรษฐกิจโตช้า ซึ่งเป็นผลจากสังคมไทยที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว คนเกิดใหม่น้อย ในขณะที่คนตายมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับคนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอายุน้อยมาก เพราะภายในอีกไม่กี่ปี แต่ละปีจะมีคนสูงอายุที่จะ “เกษียณ” ปีละเป็นล้านคน ในขณะที่เด็กที่เติบโตถึงวัยทำงานใหม่มีแค่ 6-700,000 คนเป็นต้น จำนวนคนทำงานที่ลดลงในแต่ละปีนั้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยากมาก ถ้าไม่ติดลบก็อาจจะดีมากแล้ว ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะเติบโตไปได้อย่างไร? และถ้าเศรษฐกิจเหงาลงเรื่อย ๆ ตลาดหุ้นจะโตไปได้อย่างไร?
New Normal แรกที่เกิดขึ้นชัดมากโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2024 ก็คือ ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ลดลงหนักมากและอยู่ในระดับ 30,000 ล้านบาทบวกลบ จริงอยู่ ในวันที่ตลาดหุ้นบวก “แรง”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 ธ.ค. 67
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พอถึงสิ้นปี ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการประเมินผลตอบแทนการลงทุนของตลาดหุ้นและปรากฎการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างปีเพื่อที่จะเก็บไว้เป็นบทเรียนของปีต่อไปและอนาคต
ปี 2024 หรือ 2567 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกเพียง 1 วันทำการนั้น ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 1,402 จุด จากสิ้นปีที่แล้วที่ 1,416 จุด เท่ากับว่าติดลบประมาณ 1% หรือพูดง่าย ๆ ว่า “เสมอตัว” และเป็นอีกปีหนึ่งที่ “สูญหายไป” หลังจากที่ปี 2566 ตลาดหุ้นไทยก็ติดลบไปประมาณ 15% และทั้งสองปีก็เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเกือบจะ “แย่ที่สุดในโลก” เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ทำผลตอบแทนที่ดีกันทั่วหน้าในระดับ “เลขสองหลัก”
และนั่นก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” คือเป็นตลาดหุ้นที่ไม่ให้ผลตอบแทนเลยในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา “อย่างเป็นทางการ” เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อสิ้นปี 2014 อยู่ที่ 1,498 จุด สูงกว่าดัชนีในวันนี้ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 10 ปีเต็ม
ปี 2024 นั้น มองในภาพใหญ่ก็คือ เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวต่อจากปี...
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ธันวาคม 2567
สังคมไทยในปัจจุบันนั้นคนค่อนข้างจะเน้นเรื่องการมีเงินสูงมาก คนคิดว่าถ้ามีเงิน เขาคงมีความสุขมาก ยิ่งมีเงินมากเท่าใด ความสุขก็คงมีมากขึ้นเท่านั้น เขาคิดว่าเงินซื้อความสุขได้ แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ผมจะตอบในฐานะของคนที่เคยแทบจะไม่มีเงินเลยเป็นเวลาหลายสิบปีตั้งแต่เกิด และต่อมาก็มีเงินมากพอที่จะใช้ซื้อความสุขได้แทบทุกอย่างที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน
แต่ก่อนที่จะพูดถึงว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้หรือไม่นั้น เราจำเป็นต้องนิยามเสียก่อนว่าอะไรคือความสุข? เพราะความสุขนั้น ไม่มีตัวตน มันคือความรู้สึกของคนแต่ละคน ผมยังจำได้ว่าท่านพุทธทาสภิกขุ พระนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากสมัยที่ผมบวชเมื่อประมาณ 50 มาแล้วเคยบอกว่า ความสุขก็คืออารมณ์ความรู้สึกที่เราอยากให้เป็นอยู่อย่างนั้น ส่วนความทุกข์ก็คือสิ่งที่เราอยากจะหนีไปให้พ้น ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเป็นคำนิยามที่ง่ายดี ตรงไปตรงมา ไม่ต้องถกเถียงว่าเป็นความสุขหรือความทุกข์แบบไหนหรือของใคร
ถึงยุคสมัยนี้ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สูงมาก เราก็รู้ว่าความสุขนั้นมีหลายแบบ แต่ละแบบจะมีความรู้สึกหรืออารมณ์ที่แตกต่างกัน และสามารถ “วัดได้” ด้วยปริมาณของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในร่างกายเวลาที่เรา “มีความสุข”
ความสุขแบบแรกก็คือความสุขแบบ Serotonin ซึ่งเป็น “ความสุขทางร่างกาย” เป็นหลัก ตัวอย่างความสุขแบบนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องของการมีความสุขเมื่อได้กินอาหารอร่อย นอนหลับพอเพียง การมีอารมณ์ที่ดีเมื่ออยู่ในบรรยากาศที่ดี การที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย การปราศจากความเครียดและความกังวล เหล่านี้เราก็จะ “มีความสุข” ซึ่งร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนเซอโรโทนินและทำให้เรารู้สึก “สบายและมีความสุข”
ประเด็นก็คือ การที่จะมีความสุขแบบเซอโรโทนินนั้น เราสามารถจะใช้เงินซื้อหรือไม่ คำตอบก็คือ ถ้าจนมากจนไม่สามารถที่จะซื้ออาหารที่มีคุณภาพดี หรือเวลาเจ็บป่วยไม่สามารถใช้บริการการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพเพียงพอ ความสุขก็คงจะหายไปมาก และความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นก็คงทำลายความสุขส่วนนี้ไปมาก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 30 พฤศจิกายน 67
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะมีกรณีการ “โกง” ครั้งใหญ่ ๆ ระดับ “พันหรือหมื่นล้านบาท”เกิดขึ้นมากในสังคม และคนที่โกงก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีเงินมาก บางคนในระดับ “ซุปตาร์” หรือ “มหาเศรษฐี” นอกจากนั้น ก็เป็นทั้งคน “รุ่นใหม่” และ “รุ่นเก่า” เกิดอะไรขึ้น? และจะแก้ไขกันอย่างไร?
ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น มาทบทวนกันว่าทำไมคนจึงโกงเสียก่อน คำตอบของผมก็คือ คนนั้นมี “ยีนโกง” กันทุกคน เพราะคนที่ไม่โกงเลยตั้งแต่สมัยหมื่นปีแสนปีนั้น ตายหรือสูญพันธุ์กันไปหมดแล้ว มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่นั้นจะต้องมี “ยีนโกง” กันทุกคนถึงจะเอาตัวรอดได้ และนี่ก็เหมือนกับยีนอื่น ๆ ที่ติดอยู่กับตัวมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เช่น “ยีนโลภ” “ยีนโกรธ” “ยีนหลง” และที่สำคัญที่สุดก็คือ “ยีนเห็นแก่ตัว” ที่เป็น “ยีนแม่ของทุกยีน” ที่กล่าวถึง
แน่นอนว่าคนก็ยังมียีนที่ “ไม่เห็นแก่ตัว” อยู่ด้วย แม้ว่ามันจะน้อยกว่า เช่นเดียวกับยีนที่ “ไม่โกง” และอื่น ๆ ที่จะกระตุ้นให้คนเราทำและแสดงออกให้เพื่อนมนุษย์เห็น เพราะว่าเราเป็น “สัตว์สังคม”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 พ.ย. 67
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มองย้อนหลังกลับไปในตลาดหุ้นไทยถึงปีประมาณ 2544-2545 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวเต็มที่หลังวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540 และเป็นปีที่แนวคิดการลงทุนแบบ “Value Investing” เริ่มได้รับการยอมรับในหมู่ “นักลงทุนรุ่นใหม่” อย่างกว้างขวาง มาจนถึงวันนี้ ก็ต้องยอมรับว่า นักลงทุน VI ของไทยประสบความสำเร็จสูงมาก จำนวนไม่น้อยทำผลตอบแทนการลงทุนปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์แบบทบต้นและทำให้รวยเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีและเป็นที่ยอมรับว่าเป็น “เซียน VI” ในวันนี้
ความสามารถในการเลือกหุ้นโดยใช้หลักการแบบ VI ดูเหมือนว่าจะเป็น “ปัจจัยหลัก” หรือปัจจัยประการเดียวที่ทำให้ VI ประสบความสำเร็จ หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ “เซียน VI” พูดถึงเวลาคุยหรือให้สัมภาษณ์พิธีกรหรือผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามว่าอะไรคือ “สูตรแห่งความสำเร็จ” ของการเป็น VI แทบจะไม่มีใครพูดถึงสภาวะของตลาดหุ้นหรือแม้แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจว่ามันเอื้ออำนวยต่อการลงทุนหรือไม่ คนสนใจแต่เฉพาะตัวหุ้นหรือกิจการที่กำลังเติบโตและเอาชนะคู่แข่งที่บริหารงานด้วยแนวทางการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่กำลังค่อย ๆ ล้มหายตายจากอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากภาวะวิกฤติการเงินในปี 2540
ในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเลือกซื้อหุ้น “VI” ซักตัวหนึ่ง ที่ราคาหุ้น “เริ่มขยับ” และเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงใน “หมู่นักลงทุน VI” ที่เริ่มรวมตัวกัน...
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 พฤศจิกายน 67
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การวิเคราะห์แบบหา “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมที่ “กำลังเติบโต” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญอย่างหนึ่งของ VI โดยเฉพาะที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น ในธุรกิจที่เกี่ยวกับ “สินค้าผู้บริโภค” มักจะมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในหมู่นักวิเคราะห์จำนวนมาก
ประการแรกก็คือ บริษัทที่กำลังวิเคราะห์นั้น อยู่ใน “ธุรกิจ” อะไรกันแน่และใครคือ “คู่แข่งขัน” โดยตรง ประเภทที่ “ซัดกันหมัดต่อหมัด” ผู้ชนะได้ตลาดเพิ่มและผู้แพ้มีลูกค้าหรือมีรายได้น้อยลง
ตัวอย่างเช่น หุ้น A เป็นผู้นำโดดเด่นมานานในธุรกิจภัตตาคารอาหารสุกี้หม้อไฟ มีร้านส่วนใหญ่ในห้างหรูสมัยใหม่ ลูกค้าหลักเป็นคนเดินห้างที่มีฐานะทางเศรษฐกิจระดับประมาณ B+ ขึ้นไป ในเวลาต่อมา หุ้น ก. เปิดภัตตาคารสุกี้หม้อไฟเช่นเดียวกัน แต่มีร้านส่วนใหญ่นอกห้างหรู ลูกค้าหลักมีอายุน้อยกว่าและมีฐานะทางเศรษฐกิจประมาณ C+ หรือ B-
เวลาผ่านไป ยอดขายของภัตตาคารของ A ค่อย ๆ ลดลง ในทางตรงกันข้าม ภัตตาคารของ ก. เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นผู้นำรายหนึ่งของภัตตาคารสุกี้หม้อไฟ และด้วยอัตราเร่งของร้านและรายได้ที่เพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์หลายคนก็เริ่มคิดว่าบริษัท ก. จะกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งแทน A ที่ดูเหมือนว่า “กำลังแพ้” ในธุรกิจ...
✨🔥 สัมมนาออนไลน์เจาะลึกหุ้นเวียดนาม – จีน 🇻🇳🇨🇳(ตามคำเรียกร้อง! หลัง On-site เต็มไวเกินคาดใน 1 สัปดาห์)
LITTLE VS BIG DRAGON: FOCUS เน้นๆ หุ้นเวียดนาม-จีน (Online)🗓️ 15 ธ.ค. 2567🕘 9.00-17.00 น.
🌟 Exclusive ปีละครั้ง! เจาะลึกหุ้นรายตัวในเวียดนาม-จีน พร้อมเทคนิคการลงทุนโดยกูรูชั้นนำ อาทิ: ดร.นิเวศน์, คุณเอก ธาราบดี, คุณบอล ภาคภูมิ, คุณมี่ ทิวา, คุณเจ๊กกี้ สุธน และอีกมากมาย
💥 เนื้อหา: หุ้นเวียดนาม 70% หุ้นจีน 30%
🔴 สะดวกสุดๆ Online ดู Live สดได้ทุกที่ ถาม-ตอบ Real-time
🔴 Special session: Live เจาะลึกหุ้นเวียดนามก่อนสัมมนา (Q&A สด 1 ธ.ค. 19.30-21.30 น....
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 พฤศจิกายน 67
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเร็ว ๆ นี้ ในสังคมไทยเกิดปรากฏการณ์หลายกรณีที่อยู่ดี ๆ คนที่เคยมีอำนาจ มีบทบาท และเป็นที่ยอมรับในสังคมว่าเป็น คนเก่ง คนดี คนที่มีความสามารถ คนที่ต่อสู้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่อาจจะถูกทำร้าย ถูกทำลาย ถูกหลอกลวงให้เสียหาย ก็กลับกลายเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีที่หลอกลวง ทำร้ายคนอื่นด้วยอำนาจหรือความสามารถที่ตนมี และกำลังถูกกล่าวโทษโดยคนที่ก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากและต้องการความช่วยเหลือในฐานะ “เหยื่อ” ของ “นักล่า”
ปรากฎการณ์ที่ “นักล่า” ซึ่งก็คือคนที่เก่งกว่า มีพลังอำนาจมากกว่า เข้าไปล่า “เหยื่อ” นั้น ผมนำมาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของสงครามไปจนถึงการเงินที่ฝ่ายนักล่าจะเป็นผู้ที่ “บุก” เข้าไปต่อสู้แข่งขันเพื่อเอาชนะ “เหยื่อ” ที่อ่อนแอกว่า แล้วก็กวาดทรัพยากรหรือทรัพย์สมบัติของเหยื่อมาเป็นของตนเอง
นักล่าจำนวนไม่น้อย เคยประสบความสำเร็จมาอย่างใหญ่หลวงจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและก็เป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับเหยื่อ รวมถึงเป็นที่น่าเกรงขามในหมู่นักล่าอื่น ๆ ที่อาจจะอิจฉาและพร้อมที่จะเข้ามา “ทำลาย” บารมีนั้นถ้ามีโอกาส และนั่นก็คือวันที่ “นักล่า”กลายเป็น “เหยื่อ” เสียเองอย่างไม่ทันตั้งตัว
ตัวอย่างของสงครามก็คือในศึกสตาลินกราดที่กองทัพเยอรมันบุกโซเวียตรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงที่สามารถยึดยุโรปตะวันตกได้แทบทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น และเหยื่อรายต่อไปก็คือรัสเซีย ซึ่งก็คือ “นักล่าระดับรอง” รายหนึ่งที่บุกยึดโปแลนด์ร่วมกับเยอรมันมาก่อนหน้าแล้ว
เยอรมันบุกถึงสตาลินกราดและได้เข้าล้อมเมืองไว้ 3 ด้าน ...