โลกในมุมมองของ Value Investor     17 สิงหาคม 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การประกาศผลการดำเนินงานทุกไตรมาสของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นช่วงเวลาสำคัญของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น Value Investor  เพราะในสายตาของ VI จำนวนมากนั้น  “กำไรเป็นพ่อของทุกสถาบัน”  นั่นก็คือ  กำไรเป็นตัวที่เหนือกว่าปัจจัยอื่นทั้งหมดที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้น  ถ้าบริษัททำกำไรดี  ราคาหุ้นก็มักจะขึ้น  ไม่ว่าปัจจัยอื่นรวมถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจจะเลวร้ายหรือตลาดหุ้นโดยรวมจะตกลงมา  ยิ่งกำไรดีมาก  ราคาหุ้นก็มักจะขึ้นไปมาก   ในอดีตที่ยาวนานนับ 10 ปีที่ผ่านมานั้น  หุ้นไทยมักจะขึ้นลงหวือหวาและตอบสนองต่อกำไรสูงมากมาตลอด  บ่อยครั้ง  กำไรที่โต  20-30% ต่อเนื่องหลายไตรมาสนั้น  มักทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาบางครั้งไม่ถึงปี  เหตุผลเพราะนักลงทุนของไทยส่วนใหญ่เป็น  “นักเก็งกำไร” ซึ่งชอบเล่นหุ้น “Growth” หรือ  “หุ้นเติบโต” แม้ว่าจะเรียกตนเองว่าเป็น “VI” ที่ควรเน้นหุ้นที่มีราคาถูก  ดังนั้น  เมื่อหุ้นตัวไหนประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้น  พวกเขาก็จะรีบเข้าไปซื้อ  ดันให้ราคาเพิ่มขึ้น  และมักจะขึ้นไปมากกว่ากำไรที่เพิ่มขึ้น   แต่ในช่วงไตรมาสนี้  และอาจจะรวมถึงในช่วง 2-3 ไตรมาสก่อนหน้านี้  ดูเหมือนว่าการประกาศผลกำไรจะมีผลกระทบต่อราคาน้อยลงไปมาก  หรือในบางกรณีก็เกิดผลในทางตรงกันข้าม  นั่นก็คือ  “กำไรก็ดี  แต่หุ้นกลับตก” สร้างความผิดหวังอย่างแรงให้กับคนที่  “ลุ้น” ว่ากำไรจะดีและก็เป็นไปตามคาด  กำไรบวกแรงมาก  “หลายสิบเปอร์เซ็นต์”...
โลกในมุมมองของ Value Investor        2 สิงหาคม 2567 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บทความวันนี้ของผมจะอ้างอิงบทความที่ผมเคยเขียน 3 บทความเกี่ยวกับการลงทุนและการเลือกหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามคือ บทความแรกชื่อ Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม2565 หรือประมาณ 2 ปี 7 เดือน มาแล้ว  ในบทความนั้น  ผมเขียนว่า  หุ้นที่อาจจะกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก”  และได้แสดงศักยภาพออกมาบ้างแล้ว  น่าจะรวมถึง  “หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น MWG …หุ้น VRE ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของการเป็นช็อปปิ้งมอลของเวียดนาม …หุ้น ACV ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานของเวียดนาม  …. หุ้น FPT ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งในด้านของการเป็นบริษัทรับงานเอาต์ซอร์ซงานเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทไฮเทคทั่วโลก..” บทความที่สองที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566 เรื่อง “ลงทุนในหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคต” ซึ่งผมพูดถึงกลยุทธการลงทุนระยะยาวแบบ “กึ่ง Passive” ในตลาดหุ้นเวียดนามและผมเลือกหุ้น 10 ตัวจากหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 20 ตัว...
: ผลตอบแทน 10 ปีที่ผ่านมา Magnificent Seven หรือ หุ้น 7 นางฟ้าที่พานักลงทุนขึ้นสวรรค์ ถูกใช้ครั้งแรกปี 2023 แทน หุ้น FAANG โดย 7 นางฟ้าผลัดกันทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา- Google (GOOGL): +513%- Meta (META): +555%- Apple (AAPL): +838%- Microsoft (MSFT): +920%- Amazon (AMZN)+984%- Tesla (TSLA): +1,574%- Nvidia (NVDA): +27,577% ในตลาดหุ้นเวียดนาม (HOSE) ปัจจุบันมีหุ้นเทคโนโลยีอยู่เพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ FPT และ CMGแม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีระดับสูงแบบ 7 นางฟ้า แต่ผลตอบแทนของหุ้นทั้งสองตัวนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา- FPT Corporation (FPT):...
โลกในมุมมองของ Value Investor        13 กรกฎาคม 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พฤติกรรมของนักลงทุนและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นสิ่งที่นักวิชาการจำนวนมากได้ทำการศึกษามายาวนาน  และได้สร้างเป็น “ทฤษฎี” ขึ้นมากมาย  หลายทฤษฎีก็  “เปลี่ยนโลกของการลงทุน” ไปอย่าง  “สิ้นเชิง”  ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น  ทฤษฎี  “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” หรือ “Efficient Market Hypothesis” ที่บอกว่าตลาดหุ้นนั้นเก่งมาก  มีความสามารถในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัวให้เหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงของมัน  ดังนั้น  การที่มีนักลงทุน  รวมถึง “เซียนหุ้น” มาคุยว่าสามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานและขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้วนั้น  เป็นเรื่องที่ไม่จริง  “ในระยะยาว” แต่ในระยะสั้นก็อาจจะทำได้เพราะ “ฟลุ๊ก” แล้วก็เก็บมาคุยโม้จนคนคิดว่าเป็น “เซียน”  แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ  ในที่สุดก็พบว่า  เขาไม่ได้กำไรมากกว่าผลตอบแทนปกติของตลาดซึ่งระยะยาวให้ผลตอบแทนทบต้นที่ประมาณ 10% ต่อปี  เพราะปีต่อ ๆ  มาเขาอาจจะขาดทุนหรือกำไรน้อยกว่าที่เคยทำได้  แต่ถีงตอนนั้นเขาก็จะไม่ออกมาพูดแล้ว  คนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าเขาเป็น  “เซียนเยสเตอร์เดย์” ไปแล้ว  ยังติดภาพว่าเป็นเซียนอยู่ แต่นักวิชาการซึ่งเป็นคนที่ “ค้นหาความจริง” ก็จะต้องตามดูว่ามีคนที่เป็น “เซียน” จริง ๆ  หรือเปล่าในระยะยาวโดยการตั้ง “ทฤษฎี” แล้วก็ “พิสูจน์”...
หุ้นหมายเลข 1 เวียดนาม โลกในมุมมองของ Value Investor      8 กรกฎาคม 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ถ้าจะถามว่าหุ้นอะไร “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ช่วงเร็ว ๆ นี้  คำตอบก็คือ  หุ้น “NVIDIA”  เหตุผลก็เพราะอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  และ AI มีการพัฒนาขึ้นมาถึงจุดที่จะ  “ปฏิวัติโลก” ในไม่ช้า  เพราะ AI จะมีความสามารถสูงมากและจะสูงกว่าคน  ดังนั้น  สินค้า  บริการ  และอุปกรณ์ต่าง ๆ  ในอนาคตก็จะถูกประดิษฐ์หรือทำโดย AI ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะทำโดยคนจำนวนมาก และคนที่เป็น “ผู้ชนะ” ในเทคโนโลยีนี้ก็คือ Nvidia บริษัทที่บริษัทอื่น ๆ ที่ทำเกี่ยวกับ AI ต้องใช้สินค้าและบริการ   ทำให้รายได้และกำไรของ Nvidia “โตระเบิด”  ไตรมาศล่าสุดกำไรโตขึ้นถึง 7 เท่า  ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ดีดตัวขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่มี Market...
ผ่านไปแล้วกับทริปสัมมนา VVI Danang 2024 กับ Theme: Stocks on the beach & Hills 9 years of VVI: Go fun-Go far-Go together! ขอขอบคุณ “Dragon Capital” สำหรับการเป็น Partner และช่วยประสานงานในทริปครั้งนี้ ขอขอบคุณ Speaker - พี่กอล์ฟ “Warayuth Wongpaiboonwattana” - พี่ณัฐ “Nattapol Mongkolpradit” และพิธีกรคนเก่งของเรา น้องแบม “วศิน มานัสสถิตย์” “หลักทรัพย์ HSC” - Ms. MY TRAN HUONG Director, Head of Consumer Research I Research Division “MSN” - Mr. Le Ba Nam Anh Head of Corporate Strategy & Development Masan - Mr. Thai...
ผ่านไปแล้วกับทริปสัมมนา VVI HCMC 2024 (9 years of VVI)ขอขอบคุณ Speaker ไทย ที่บินลัดฟ้ามาร่วมงานครั้งนี้- ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร- ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ( ประธานกรรมการบริหารของหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส)- คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ (SVP ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ เวียดนาม)- P'มี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์- P'เจ๊กกี้ สุธน สิงหสิทธางกูร- P'พี่หลิน วีระพงษ์ ธัม- P'วัฒน์ วัฒนา หุ่นทรงธรรม- P'พี่แจ๊ค วิศวกร ปันยารชุนและพิธีกรคนเก่งของเรา น้องแบม “วศิน มานัสสถิตย์”ขอบคุณ “Dragon Capital” สำหรับการเป็น Partner และช่วยประสานครั้งนี้ขอบคุณ Speaker เวียดนามDragon Capital- Mr. Hưng Nguyễn, Senior Economist- Mr. Thanh Le,...
โลกในมุมมองของ Value Investor      29 มิ.ย. 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การตกลงมาของหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในช่วงเร็ว ๆ นี้  ผมคิดว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรจะต้องปรับ “Mindset” ในการลงทุนใหม่ถ้าหวังที่จะลงทุนแล้วประสบความสำเร็จในระยะยาวต่อจากนี้ คำว่า Mindset นั้น แปลง่าย ๆ  ก็คือ  กรอบความคิดหรือทัศนคติทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากสมองของเรา  ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการลงทุนของเรา  การลงทุนของเราจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับการที่เราจะมี Mindset ที่ถูกต้องในระยะยาวค่อนข้างมาก  บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นด้วยซ้ำ  คำพูดที่ว่า  “เก่งแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามี Mindset หรือกรอบคิดในการลงทุนอย่างไร”  นั้น  ผมว่าเป็นเรื่องจริง และต่อไปนี้ก็คือ Mindset ที่นักลงทุนควรจะสร้างขึ้นในใจและยึดถือเป็นหลักในการลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาวถึงยาวมากตลอดชีวิต ข้อแรกก็คือ  ปรับความคิดใหม่เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น  จากการเก็งกำไรระยะสั้นเป็น  การลงทุนระยะยาวใน “บริษัท” ซึ่งจะต้องมั่นใจว่าเป็นบริษัทที่ดี  สามารถขายสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้  หรือที่ยิ่งดีก็คือ  เหนือกว่าคู่แข่งเพราะมีความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืนไปอีกหลาย ๆ  หรืออย่างน้อยสิบปีขึ้นไป  และหุ้นของบริษัทมีราคาถูกหรือยุติธรรม  มีผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์ต่อผู้ถือหุ้นทุกคน ถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจของบริษัท  เราจะไม่ลงทุน  ไม่ว่าเราจะคิดว่าเดี๋ยวหุ้นจะขึ้นหรือไม่  ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้เราไม่ลงทุนในหุ้นจำนวนมากที่อาจจะกำลังร้อนแรงและเรามั่นใจว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นไปแน่ในเวลาอันสั้น  ว่าที่จริง  ถ้าเรามี Mindset แบบนี้เต็มเปี่ยมจริง ๆ  เราก็อาจจะไม่จองซื้อแม้แต่หุ้น IPO ที่เราไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับบริษัทแต่มั่นใจว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นแน่ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดขีด ข้อสอง  Mindset ที่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น  สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระดับปีละอย่างน้อย...
โลกในมุมมองของ Value Investor     22 มิถุนายน 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ช่วงนี้นักลงทุนส่วนบุคคลแทบทุกกลุ่ม  รวมถึง VI รายย่อยและรายใหญ่  “ระดับเซียน” ต่างก็ “เจ็บ” กันหนัก  บางคนก็แทบจะเป็น “หายนะ”  การที่พอร์ต “ขาดทุน 50%” หรือมากกว่านั้น  ไม่ใช่เรื่องที่ “ผิดปกติ” อีกต่อไป  ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ตกลงมารุนแรงมากในระดับวิกฤติ  และก็ไม่ได้ตกลงมาอย่างรวดเร็วเพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น  ว่าที่จริงตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  “เงียบเหงามาก” ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันลดลงมาเหลือเพียงวันละประมาณ 4-50,000 ล้านบาท โดยเฉลี่ย  และดัชนีหุ้นก็ผันผวนน้อย-แต่หนักทางลดลงเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ  ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนบอกว่าเป็น  อาการ “ต้มกบ” คือ  ดัชนีหุ้นลดลงแบบช้า ๆ  จนคนไม่รู้ตัว  กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว นักลงทุนที่เจ็บหนักมากในรอบนี้ดังที่กล่าวนั้น  เป็นเพราะพวกเขาเล่นหุ้นหรือลงทุนในบริษัทขนาดเล็กและกลางที่ก่อนหน้านั้นมีผลงานที่ยอดเยี่ยม  ราคาหุ้นขึ้นไปแรงและสูงมากอย่างไม่น่าเชื่ออานิสงค์จากการที่หุ้น  “ถูกคอร์เนอร์” เพราะเม็ดเงินของคนที่ซื้อนั้นมีปริมาณมากกว่าปกติมาก  และก็มักจะมาจากนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีสตอรี่และกำลังมีผลประกอบการที่โดดเด่น  แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยชี้ขาดและจำเป็นก็คือ  เจ้าของและผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้น  เข้ามาร่วม “เล่นหุ้น” ของตนเองด้วย ถึงวันนี้ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor        15 มิ.ย. 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ  ผมคิดว่านักลงทุนจำนวนมากรู้สึก “ท้อแท้” และ  “สิ้นหวัง” เหตุผลในภาพใหญ่อาจจะเป็นเรื่องที่ดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีที่ 1,416 จุด  ตกลงมาตลอดจนเหลือ 1,306 จุด ในวันที่ 14 มิถุนายน 2567 หรือลดลงมาประมาณ 7.8% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ตกลงมามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งหลังจากปีที่แล้วที่ดัชนีตลาดก็ “แย่ที่สุดในโลก” แบบเดียวกัน  และที่แย่ลงไปอีกก็คือ  หุ้นไทยนั้นตกต่ำลงทั้ง ๆ  ที่ตลาดหุ้นต่างประเทศหลัก ๆ  ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างทั่วหน้า  อานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจโลกปรับตัวขึ้นโดดเด่นในขณะที่เศรษฐกิจไทยถดถอยลงมาก มองจากเหตุผลระยะสั้นแบบเทคนิคก็คือ  หุ้นไทยตกเพราะนักลงทุนต่างชาติ “ขายสุทธิ” หุ้นในตลาดค่อนข้างมาก  และเป็นการขายต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้สูงถึงเกือบแสนล้านบาทแล้วในเวลาไม่ถึง 6 เดือน  ซึ่งก็เป็นการขายสุทธิที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ต่างชาติขายเฉลี่ยปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท  รวมแล้วขายมาแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท แต่การขายสุทธิโดยตัวของมันเองก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นจะต้องลงเสมอไป  ตัวอย่างเช่นหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่ในช่วงนี้ต่างก็ถูกขายสุทธิเช่นเดียวกัน  แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ลง  ว่าที่จริงตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงนี้ก็ถูกขายสุทธิจากต่างชาติหนักมาก  แต่ดัชนีหุ้นยังปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 13% นับจากต้นปี  หรืออย่างดัชนีฮั่งเส็งของตลาดฮ่องกงเองก็ปรับตัวขึ้นประมาณ 6%...

MOST POPULAR