คำทำนายดัชนีหุ้นปีหน้า

0
2144

โลกในมุมมองของ Value Investor    24 ธันวาคม 2565

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงเวลาใกล้สิ้นปี  กิจกรรมอย่างหนึ่งของนักวิเคราะห์หุ้นซึ่งก็รวมถึงนักลงทุนที่ให้ความเห็นต่อสาธารณะเป็นปกติอย่างผมต้องทำก็คือ  การทำนายว่าตลาดหุ้นปีหน้าจะดีหรือไม่?  นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นอยากจะรู้  เพื่อที่จะได้ “มีกำลังใจ” ที่จะลงทุนต่อไป  ดังนั้น  นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงมักจะบอกว่า  “ปีหน้าน่าจะดี” สมควรที่จะลงทุน  ด้วยเหตุผลต่าง ๆ  เท่าที่จะนึกได้  ผมเองก็แทบไม่เคยได้ยินนักวิเคราะห์บอกว่า “ปีหน้าแย่มาก” และไม่ควรลงทุนเลย  เพราะเอาเข้าจริง ๆ  ผลประโยชน์ของคนที่พูดส่วนใหญ่หรือทั้งหมดต่างก็ขึ้นอยู่กับการชักชวนให้คนรู้สึกดี  มีความหวัง  และอยากลงทุน  ดังนั้น  “ความลำเอียง” ทางด้านบวกก็มักจะเกิดขึ้น

ในฐานะที่เป็น VI  ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าผมหรือใครจะสามารถทำนายดัชนีตลาดหุ้นได้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอจนสามารถนำไปใช้ลงทุนและทำกำไรได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ส่วนใหญ่พอทำนายผิดก็มักจะไม่พูดอะไรหรือถ้าพูดก็จะเป็นการอธิบายว่าทำไมหรือเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ดัชนีไม่เป็นไปตามที่คาด  ดังนั้น  ผมจึงไม่ได้สนใจกับคำทำนายมากนักโดยเฉพาะในระยะสั้น ๆ  เพียงปีเดียวอย่างที่กำลังพูดถึง  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังคงต้องทำนายอยู่ดี  และพอทำบ่อย ๆ  เข้า  ผมก็มีวิธีทำนายที่ใช้วิธีมองย้อนหลังดูประวัติศาสตร์ว่า  ดัชนีหุ้นปีหน้าจะดีหรือแย่นั้น  มักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง  และต่อไปนี้ก็คือคำทำนายของผมสำหรับตลาดหุ้นไทยปีหน้า

ปัจจัยแรกที่มักส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นก็คือ  การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ  ซึ่งปี 2566 นั้น  ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งเศรษฐกิจโตประมาณ 2.2% ในปี 2562 ติดลบ -6.2% ในปี 2563  1.6% กว่าในปี 2564 และคาดว่าจะบวกในระดับ 3.4 ในปี 2565  ส่วนปี 2566 นั้นคาดการณ์ว่าจะโตขึ้นประมาณ 3.6  แม้ว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะถดถอยลง

GDP ในปี 2566 ที่ประมาณ 3.6% นั้น  ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ระยะยาวในยุค “ประเทศไทยรุ่งเรือง” ก็ต้องถือว่าการเติบโตของ GDP ต่ำมาก  และน่าจะเป็นด้านลบต่อดัชนีตลาดหุ้น  อย่างไรก็ตาม  ถ้าดูจากช่วง 4 ปีที่ผ่านมาก็ต้องถือว่าดีมาก  และน่าจะเป็นผลบวกที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นดีขึ้น  เพราะปีหน้านั้น  น่าจะเป็นช่วงของการ “ฟื้นตัว”  ต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะจากโควิด-19 เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ  ทั่วโลกที่เขาฟื้นตัวไปก่อนหน้านานมากแล้ว  ดังนั้น  ผมจึงคิดว่าปัจจัยด้าน GDP ของไทยในปีหน้าจะเป็นบวกในระดับกลาง ๆ  ต่อดัชนีหุ้น

ปัจจัยตัวที่ 2 คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของไทยที่บางส่วนก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะของสหรัฐ  ปีหน้านั้นสหรัฐคงจะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกจนถึงประมาณ 5-5.25% ในปีหน้า  และนี่เป็นผลลบต่อดัชนีหุ้นอย่างชัดเจนและลดสภาพคล่องทางการเงินในระบบอย่างมาก  อย่างไรก็ตาม  อัตราดอกเบี้ยของไทยกลับเพิ่มขึ้นน้อยกว่ามากและอยู่ที่ 1-1.25% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าถ้ามีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐ  ก็จะยังคงต่ำมากอยู่ต่อไป  อย่างไรก็ตาม  ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา  อัตราดอกเบี้ยไทยก็ไม่เคยอยู่ในระดับสูงเกิน 2%  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  อัตราดอกเบี้ยของไทยอาจจะไม่เป็นบวกหรือลบต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก  

ปัจจัยที่ 3 คือเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดซึ่งก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนราคาหุ้นในอดีตมาก  กล่าวคือ  ถ้ากำไรของปีหน้าเพิ่มขึ้นมาก  ดัชนีหุ้นก็มักจะปรับตัวสูงขึ้นตาม  ถ้ากำไรลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น  ดัชนีหุ้นก็ขึ้นยาก  ประเด็นก็คือ  ปี 2565 กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1,100,000 บาท และใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ผลประกอบการเติบโตดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงโควิดระบาดหนักในปี 2563  ดังนั้น  ผมเองคาดว่าปี 2566 เมื่อราคาพลังงานลดลงสู่สภาพปกติมากขึ้นแล้ว  กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีน้ำหนักอยู่ที่หุ้นพลังงานค่อนข้างมาก  ก็อาจจะไม่เติบโตขึ้น  ซึ่งก็จะกลายเป็นปัจจัยลบต่อดัชนีหุ้นได้

ปัจจัยที่ 4 คือ เรื่องของความถูก-แพงของตลาดหุ้นในตอนสิ้นปี 2565 ซึ่งวัดจากค่า PE   โดยที่ถ้าหุ้นเริ่มต้นปี 2566 ที่ราคาถูกมาก  โอกาสที่หุ้นในปีนั้นจะขึ้นก็มีสูง  ตรงกันข้าม  ถ้าเริ่มต้นจากหุ้นที่แพง  ค่า PE สูง  โอกาสก็คือ  หุ้นในปีนั้นไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้มากหรืออาจจะตกลงไปก็ได้   ในกรณีของตลาดหุ้นไทย  ค่า PE ของตลาดในช่วงปลายปี 2565 อยู่ที่ 17-18 เท่า  ซึ่งทำให้ EP หรือผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดอยู่ที่ประมาณ 5.7% ต่อปี ก็น่าจะถือว่าตลาดหุ้นไม่ถูกหรือแพง  และอาจจะถือว่าเป็นราคายุติธรรมสำหรับตลาดการเงินของไทยที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก  ดังนั้น  ปัจจัยเรื่องค่า PE จึงเป็นกลาง  ไม่ดีหรือร้ายต่อดัชนีหุ้นปีหน้า

ปัจจัยที่ 5 ที่มีผลต่อผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นในปีหน้าก็คือ  ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีนี้  นั่นก็คือ  ถ้าปีนี้ตลาดหุ้นดีมาก  ปีหน้าหุ้นก็มักจะไม่ค่อยดี  และตรงกันข้าม  ถ้าปีนี้แย่  ปีหน้าหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น  ยิ่งถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนดีมากสองปีซ้อน  ปีต่อไปหุ้นก็มักจะตกลงมามากกว่าปกติ  และก็เช่นเดียวกัน  ถ้าหุ้นแย่มาแล้ว 2 ปี  หุ้นปีหน้าก็มักจะดีค่อนข้างแน่  นี่อาจจะดูเหมือนว่าไม่ได้อิงกับพื้นฐานของกิจการแนว VI  แต่ตลาดหุ้นก็เป็นเช่นนั้น  คือมีความผันผวนแบบลูกคลื่นมายาวนาน  ถ้าหุ้นดีมานานก็ต้องเตรียมใจว่ามันมีโอกาสตกลงมาแรง  และตรงกันข้าม  ถ้าหุ้นแย่มานานจนแทบหมดกำลังใจเลิกเล่น  เราก็จะพลาดโอกาส “เอาคืน” ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ

ปี 2563 ตลาดหุ้นตกลงมา -8.3%  ปีต่อมาคือ 2564 หุ้นขึ้นมา 14.4% ปี นี้ใกล้สิ้นปีแล้ว ดัชนีหุ้นยังทรง ๆ  ก็คือ  ไม่ดี ดังนั้น ปี 2566  ดัชนีตลาดหุ้นจึงน่าจะดีขึ้นถ้าคิดจากปัจจัยเรื่องผลตอบแทนของปีก่อน

สุดท้ายซึ่งก็อาจจะเรียกว่าปัจจัยที่ 6  ที่อาจจะเปลี่ยนหรือเพิ่มหรือลดพลังของปัจจัยอื่น ๆ  ที่กล่าวถึงได้  และเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด  เช่น  การเกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพในปี 2554  หรือการเกิดรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 10 ปีต่อครั้ง  หรือการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั้งจากในหรือต่างประเทศที่มักจะเกิดแบบ 10 ปีต่อครั้งเหมือนกัน  ในบางกรณีก็อาจจะคาดได้ว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแต่ผลกระทบนั้นอาจจะคาดการณ์ยาก  ตัวอย่างเช่น  เรื่องทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศไทยต้นปีหน้า  ที่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญตามมา  ทั้งทางดีหรือทางไม่ดีที่อาจจะกระทบถึงตลาดหุ้นได้  ทั้งหมดนั้น  บางทีก็เอาไว้เป็น  “ข้อแก้ตัว” เวลาที่การคาดการณ์ผิดพลาด

ปัจจัยทั้งหมดที่พูดถึงนั้น  คงบอกไม่ได้ว่าโดยรวมจะเป็นบวกหรือลบต่อตลาดหุ้นทางด้านใดและมากน้อยแค่ไหน  ถ้าปัจจัยส่วนใหญ่เป็นบวกและบวกมาก  เช่น  เศรษฐกิจร้อนแรง  อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว  บริษัทจดทะเบียนกำไรเพิ่มสูงมาก  และค่า PE ของตลาดอยู่ในระดับต่ำ  ดัชนีตลาดหุ้นย่ำแย่  อย่างที่มักจะเป็นในสถานการณ์ตลาดหุ้นที่วิกฤติ  การลงทุนในช่วงเวลานั้นก็จะอาจจะกลายเป็น “โอกาสทอง”  และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวใน “ปีหน้า”  ดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่น

อย่างไรก็ตาม  สถานการณ์ส่วนใหญ่นั้นมักจะผสมผสาน  บางปัจจัยก็ดี  บางปัจจัยก็ไม่ดี  อย่างตลาดหุ้นไทยในปีนี้  ปีหน้าเราก็อาจจะหวังว่าหุ้นจะดีเลิศก็น่าจะยาก  แต่ก็ดูเหมือนว่าโดยรวมก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก  การลงทุนเพื่อหวังผลซัก 10% ในเวลา 1 ปีต่อจากนี้ก็อาจจะเป็นไปได้  และถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องถือว่าดีทีเดียวในยามที่ประเทศไทยโตช้ามาหลายปีและแทบจะไม่มีโอกาสกลับมาโตเร็วอีกต่อไปเมื่อคำนึงถึงศักยภาพของประเทศที่คนแก่ตัวลงมากและระบบการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศ “ติดหล่ม” มานาน         


VVI Membership ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com

หรือ ติดตามเราได้ที่

– Youtube: youtube.com/c/vietnamvi

– Line Official Account: @vietnamvi

www.vietnamvi.com

– ห้องคุยหุ้นเวียดนามฯ facebook.com/groups/473890360486727

– E-mail: info@vietnamvi.com