โลกในมุมมองของ Value Investor       17 พ.ค. 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

นาทีนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการ  “ปิดฉาก” ตำนานที่  “ยังมีชีวิต” ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”  วัดจากความสำเร็จและความมั่งคั่งที่ได้รับ “จากการลงทุน” ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ประมาณ 169 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 5.6 ล้านล้านบาท  รวยเป็นอันดับ 5 ของโลกเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ที่เขาประกาศ  “วางมือ”  จากการบริหารเงินของเบิร์กไชร์แฮทเทอเวย์  บริษัทโฮลดิงที่ลงทุนในบริษัทอื่น ๆ  ของเขาตั้งแต่  54 ปีมาแล้ว

“มหัศจรรย์” ของวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น  คนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะเขา “ลงทุนเก่งมาก” ระดับที่คนเรียกว่า  “เทพแห่งโอมาฮา” เมืองที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิดและแทบไม่ได้ย้ายไปไหนตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม  เขาบอกว่าความสำเร็จของเขานั้น  เป็นเพราะ  “โชคดี” โดยเฉพาะที่ได้เกิดที่ “สหรัฐอเมริกา” และเป็น “ชายผิวขาว” ที่ทำให้สามารถใช้วิชาความรู้ในการลงทุนหาเงินในประเทศอเมริกาได้  เพราะถ้าเขาเกิด “ผิดที่” เช่นไปเกิดในอาฟริกา   ความสามารถในการลงทุนก็อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

นอกจากนั้น  เขายังพูดเป็นนัยว่า  เขาเป็นคน “โชคดี” ที่มีสุขภาพดีและอายุยืน  ทั้ง ๆ  ที่ทำตัวตามสบาย  ทำอะไรที่อยากทำ  กินอะไรที่อยากกิน  เช่น กินโค๊กทุกวัน  และก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย  ผิดหลักการดูแลสุขภาพที่ดีทุกอย่าง  แต่เขาก็ยังแข็งแรงและมีสุขภาพดีแม้ว่าอายุปีนี้จะ 95 ปีแล้ว  เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องของยีน  และนี่ก็คล้าย ๆ  กับชาลี มังเกอร์  เพื่อนซี๊ที่เพิ่งตายไปเมื่อปลายปีที่แล้วเมื่ออายุ 99 ปี ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายและกินอะไรตามใจตัวเองเหมือนกัน

ผมลองวิเคราะห์ความสำเร็จของบัฟเฟตต์ตามที่ “เป็นจริง” โดยอิงกับ “ข้อมูล” ที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปตั้งแต่วันแรกที่บัฟเฟตต์เริ่มลงทุนจริงจัง  ซึ่งก็น่าจะอยู่ที่ประมาณตอนบัฟเฟตต์มีอายุ 26 ปี กลับจากนิวยอร์กที่เขาทำงานเป็นลูกจ้างให้กับเบน เกรแฮม ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และ “Mentor” หรือคนที่ให้คำปรึกษาและสอนหลักการลงทุนแบบ “VI” ให้

ผมจะใช้ “สูตร” 2 สูตรที่เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จและร่ำรวย  ซึ่งเป็นสูตรที่ผมใช้มาตลอด  บังเอิญว่าทั้ง 2 สูตรนั้น  มีปัจจัย 3 ประการเหมือนกัน  สูตรแรกเป็นเรื่องของการเลือกหุ้นลงทุนที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จคือได้ผลตอบแทนที่ดี  พูดง่าย ๆ  เป็นเรื่องของการบริหารพอร์ตที่จะให้ผลตอบแทนสูงอย่างมั่นคงและยั่งยืน  “เซียน” ทุกคนถูกวัดกันด้วยเรื่องนี้

สูตรที่สองเป็นเรื่องของภาพใหญ่ของการเติบโตของความมั่งคั่งในชีวิตของแต่ละคน  ผมเรียกว่า  “แก้ว 3 ประการของความมั่งคั่ง” นั่นก็คือ  คนที่จะร่ำรวยได้นั้น  จะต้องมีแก้ว 3 ดวงที่ “สุกสว่าง” ซึ่งเมื่อเปิดพร้อมกันจะทำให้ร่ำรวย  และแก้วดวงหนึ่งก็คือ  การบริหารพอร์ตการลงทุนที่ดีจากสูตรแรก  แต่ถ้าแก้วดวงที่ 2 และ 3 ไม่ได้สว่างด้วย  ต่อให้เป็น  “เซียนนักลงทุน” คุณก็รวยไม่ได้  ว่าที่จริง  บัฟเฟตต์ไม่ใช่คนที่ลงทุนและได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก  แต่เขารวยกว่าทุกคนเพราะเขามีแก้วดวงที่ 2 และ 3 สว่างไสวกว่าใคร ๆ ด้วย  

มาดูสูตรแรกก่อนว่ามันคืออะไร?  ผมเคยเขียนไว้ไม่นานมานี้เองว่า  การลงทุนระยะยาวที่จะประสบความสำเร็จได้ผลตอบแทนทบต้นที่ดีนั้น  จะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการคือ  1)  จะต้องเป็นการลงทุนในประเทศหรือตลาดหุ้นที่ถูกต้อง  2)  เข้าไปลงทุนในเวลาที่ถูกต้อง  และ 3) เลือกหุ้นถูกตัว

กลับไปดูการลงทุนของบัฟเฟตต์ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1956 เมื่อเขาอายุประมาณ 26 ปีนั้น  จะเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังเจริญเติบโตมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อเมริกาเป็นฝ่ายชนะสงครามและก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของฝ่ายโลกเสรี  ดัชนี S&P 500 อยู่ที่เพียง 48 จุด  ดังนั้น  อเมริกาจึงเป็นประเทศและตลาดหุ้นที่ “ถูกต้อง” สำหรับการลงทุนระยะยาว

เช่นเดียวกับ Timing หรือช่วงเวลาที่เหมาะสม  เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัวและทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวตาม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นอเมริกันที่กำลังฟื้นตัวจากภาวะตลาดหุ้นมหาวิกฤติในปี 1932 ที่ดัชนี S&P  500 เหลือไม่เกิน 5 จุด

ในปัจจัยของการเลือกหุ้นลงทุนเองนั้น  หลักการลงทุนแบบ VI ที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นถูกนำมาใช้โดยเบน เกรแฮม บิดาแห่งการลงทุนแบบ VI  และบัฟเฟตต์ซึ่งเป็น  “สาวกรุ่นแรก” ที่เริ่มใช้หลักการที่คนแทบจะยังไม่รู้จัก  ดังนั้น  ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นอย่างน่าทึ่ง  พูดง่าย ๆ  มันง่ายเหลือเกินที่จะหาหุ้นที่มีราคาถูกแบบเหลือเชื่อ  แม้แต่ในหุ้นที่มีคุณภาพดีสุดยอดที่กำลังเกิดและเติบโตขึ้นท่ามกลางธุรกิจรุ่นเก่า  อานิสงค์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในด้านของเทคโนโลยีและการบริหารงานสมัยใหม่

ปัจจัยทั้ง 3 ประการดังกล่าวนั้น  เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนบัฟเฟตต์อายุ 26 ปีหรือต่ำกว่านั้น  และก็ดำรงต่อมาจนถึงวันนี้คืออย่างน้อย 70 ปี  เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกาก็ยังเติบโตและดีมาตลอดแม้ว่าจะมีวิกฤติแต่ก็ไม่กี่ครั้งซึ่งรวมถึงช่วงปี 1973-4 ช่วงปี 2000-1 และช่วงปี 2008-9  เป็นเวลาเพียง 6-7 ปีที่การลงทุนไม่ดี  ซึ่งนั่นทำให้บัฟเฟตต์พูดมาตลอดว่า  “Don’t bet against America”  ความหมายก็คือ  ตลาดหุ้นอเมริกายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล  ดังนั้น  อาจจะต้องพูดว่า  บัฟเฟตต์ “โชคดี” ที่อยู่ในประเทศและตลาดหุ้นที่  “ใช่”  โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีนั้นสูงกว่าที่อื่นทั่วโลก

แน่นอนว่าการเลือกหุ้นของบัฟเฟตต์ก็ “สุดยอด” ด้วย  เพราะในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1956 ที่บัฟเฟตต์เริ่มลงทุนจนถึงวันนี้ที่ดัชนี S&P สูงขึ้นต่อเนื่องเป็น 5,631 จุด   เท่ากับผลตอบแทนของดัชนีที่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 7.15% ถ้ารวมปันผลก็ประมาณปีละ 10% แบบทบต้น  แต่ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นกลับอยู่ที่ประมาณ 20%  เป็นการเอาชนะตลาดปีละ 10% โดยเฉลี่ยในระยะยาวถึงเกือบ 70 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่หาคนเทียบไม่ได้  นักลงทุนระดับ “เซียน” นั้น  ในระยะยาวเป็น 30 ปีขึ้นไป  ผมคิดว่าคงเอาชนะตลาดได้เพียงประมาณไม่เกิน 3-4% เท่านั้น  ดังนั้น  สำหรับบัฟเฟตต์เราคงต้องเรียกว่า  “โคตรเซียน”

แต่การเป็นโคตรเซียนก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวยแน่  เพราะการได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีเลิศนั้น  เป็นเพียงแก้วดวงหนึ่งใน 3 ดวงที่จะทำให้รวย  นักลงทุนจะรวยได้มักจะต้องมีแก้วดวงที่ 2 และ 3 ที่สุกสว่างด้วย  มาดูแก้วดวงที่ 2 ซึ่งก็คือ  “เงินเริ่มต้น” ที่ไม่ได้มาจากการลงทุนดู

ตาม “ตำนาน” หรือเรื่องเล่าของบัฟเฟตต์นั้น  เขาเริ่มจัดตั้ง “กองทุน” แรกในปี 1956 ที่มีคนเอาเงินมาร่วมลงทุนประมาณ 1 แสนเหรียญซึ่งในกองทุนนั้น  มีเงินลงทุนของเขาเองแค่ประมาณ 100 เหรียญและคนอาจจะเข้าใจว่าเงินทุนเริ่มต้นของเขาน้อยมาก  หรือแก้วดวงที่ 2 หม่นหมองมาก  แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด  เพราะในการบริหารกองทุนนั้น  เขาจะได้ส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารเงินสูงมาก  โดยเกณฑ์ที่เขากำหนดก็คือ  กำไรที่เกิน 6% ต่อปีนั้น  เขาจะได้ส่วนแบ่ง 25%  และเนื่องจากเขาทำผลตอบแทนที่ดีมากและเกิน 25% ต่อปีเป็นเรื่องธรรมดา  ดังนั้น  เขาจึงได้เงินส่วนแบ่งที่เขานำมาลงทุนในกองทุนเพิ่มทุกปีในอัตราที่สูงมาก

เงินส่วนแบ่งกำไรของบัฟเฟตต์นั้นดำเนินมากว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะยุบกองทุนแล้วหันมาใช้เบิร์กไชร์ลงทุนแทนซึ่งเขาไม่มีการคิดส่วนแบ่งกำไรอีกต่อไป  ช่วงเวลาประมาณ 12 -13 ปี นั้นคือการสร้างความสุกสว่างให้กับแก้วดวงที่ 2 ซึ่งก็คือ “เงินเริ่มต้น” ในการลงทุน ซึ่งผมคิดย้อนกลับไปพบว่ามีค่าประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ  และถ้านับเรื่องของเงินเฟ้อก็จะประมาณเท่ากับเงิน 10 ล้านเหรียญหรือ 330 ล้านบาทในวันนี้  ดังนั้นถ้าถามผมว่าเงินต้นในการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นมากไหม  คำตอบของผมก็คือ “มาก” และเป็นเงินที่ได้จากการ “รับจ้าง” บริหารเงินคนอื่นและบัฟเฟตต์ก็ไม่ได้ใช้มันมากนักแต่นำมาลงทุนจนถึงวันนี้

แก้วดวงที่ 1 ก็คือ “ผลตอบแทนจากการลงทุน” ที่ดีเลิศและสุกสว่างมาก ๆ  ที่ 20% ต่อปีแบบทบต้น และแทบไม่เคยขาดทุนเลยในช่วงหลายสิบปี  และแน่นอน  หลักการลงทุนเป็นแบบ VI ที่เน้นลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ถือยาวและแทบจะไม่ขายเลย 

แก้วดวงที่ 3 ก็คือ “ช่วงเวลาของการลงทุน” ที่ยาวนานมาก  รวมแล้วน่าจะประมาณ 70 ปี ซึ่งน้อยคนมากที่สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้  และก็เป็นแก้วที่สุกสว่างมากและน่าจะมีผลต่อความมั่งคั่ง “มากที่สุด” ของบัฟเฟตต์  และนี่ก็น่าจะเป็นเรื่องของ “โชค” ที่บัฟเฟตต์ได้ยีนที่ดีมาจากพ่อแม่  และมี “Passion” หรือความใฝ่ฝันที่จะลงทุน “ตลอดชีวิต”

กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ  บัฟเฟตต์นั้นทั้งเก่งและโชคดีมากที่เกิด  เติบโตและลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงที่ประเทศกำลังเติบโตและเจริญรุ่งเรืองมาอย่างยาวนานนับศตวรรษ  และวิธีการลงทุนของบัฟเฟตต์เองก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาวนั่นก็คือ  แบบ VI ที่เน้นหุ้นที่มีราคาถูก  โดยที่เขาประยุกต์ใช้กับหุ้นที่มีคุณภาพสูงที่สุด  และด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่เขาหาได้และเก็บออมมาจากการรับจ้างบริหารเงินลงทุนจำนวนมาก  พร้อม ๆ กับการลงทุนอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 70 ปี  ทำให้ความมั่งคั่งของเขามหาศาลกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกหลายปีและยังรวยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงเวลาที่เขาปิด “ตำนาน” นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานี้