โลกในมุมมองของ Value Investor 5 กรกฎาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ผมคิดว่าเต็มไปด้วยความ “กังวล” เหตุเพราะว่ามีเรื่องที่ “เลวร้าย” กับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเกิดขึ้นแทบไม่เว้นวัน
ล่าสุดก็คงต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อ 2-3 วันก่อนที่ดูเหมือนว่าการเจรจาของผู้แทนไทยกับสหรัฐเรื่องภาษีศุลกากรจะไม่สามารถสรุปได้ก่อนเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หรืออีกแค่ 2-3 วันที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ไทยอาจจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอเมริกาถึง 36% ซึ่งก็จะเป็นอัตราที่น่าจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐลดลงมาก และก็จะทำให้การส่งออกโดยรวมของไทยลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเติบโต GDP ของไทยในปีนี้และปีต่อ ๆ ไปที่มีการคาดมาก่อนหน้านี้ว่าจะโตช้ามากอยู่แล้ว
ว่าที่จริงหน่วยงานระดับธนาคารโลกได้ลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้และ 1.7% ในปีหน้าจากที่เคยคาดว่าจะเกิน 2% ในทั้ง 2 ปี และนั่นก็อาจจะยังไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากการปรับภาษีของทรัมป์อย่างเต็มที่ด้วย
เรื่องนี้ก็คงจะทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลใจและอาจจะนอนไม่ค่อยหลับถ้าถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากโดยเฉพาะที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐเป็นจำนวนมาก
แต่คนที่กังวลใจยิ่งกว่านั้น น่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นหลักหรือเป็นจำนวนมากที่กังวลว่าสินค้าของตนเองจะ “ขายไม่ได้” หรือขายได้น้อยลงมาก เพราะราคาของสินค้าสู้กับคู่แข่งที่ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าสินค้าจากไทยซึ่งก็รวมถึงสินค้าจากเวียดนามที่ได้ตกลงกับสหรัฐเรียบร้อยแล้วว่าจะเสียภาษีนำเข้าที่ 20% สำหรับหลาย ๆ บริษัทแล้ว นี่อาจจะเป็น “หายนะ”
ผมไม่คิดว่าคนงานที่ทำงานในกิจการส่งออกจะรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา การผลิตและส่งออกดีขึ้นมาก แต่เหตุผลน่าจะมาจากการที่โรงงาน “เร่งผลิต” และส่งออกก่อนที่ “ภาษีทรัมป์” จะถูกบังคับใช้ แต่หลังจากวันที่ 9 ก.ค. ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปเพราะภาษีนำเข้าสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และวันนั้นคนงานจำนวนมากอาจจะต้องกังวลว่าจะตกงานและไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหน เพราะโรงงานหลายแห่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็อาจจะกำลังปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และไม่สามารถหาตลาดอื่นมาทดแทนได้
เรื่องที่น่ากังวลที่เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาทางการเมืองที่นายกรัฐมนตรีต้องถูก “พักงาน” และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะต้องหลุดจากตำแหน่งหรือไม่โดยศาลรัฐธรรมนูญกรณี “คลิปปล่อยของฮุนเซน” ผู้นำของกัมพูชา
ที่น่ากังวลก็เพราะว่ากรณีนี้ทำให้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งเพียงไม่กี่เสียงเกิดความไม่มั่นคงและอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ เพราะนอกจากการแพ้โหวตในสภาแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามลงถนนประท้วงและใช้ “นิติสงคราม” เพื่อล้มรัฐบาลอย่างที่เคยใช้ได้ผลมานานในการเมืองของไทย
การที่รัฐบาลอาจจะล้มนั้น ผลกระทบสำคัญในระยะสั้นก็คือ งบประมาณประจำปีหน้าก็จะออกช้าลงไปอย่างน้อย 6-9 เดือน โครงการที่จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือการแก้ปัญหาสังคมการเมืองก็จะช้าตามกันไป ส่วนในระยะยาวเองนั้น ความสามารถทางการแข่งขันของไทยก็จะยิ่งด้อยลงไป เพราะการลงทุนของไทยที่ช้าลงนั้น ทำให้คู่แข่งพัฒนาไปจนเราตามไม่ทัน และเราจะค่อย ๆ ลดบทบาทลงในเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
เป็นเรื่องที่น่ากังวลและบางครั้งก็ทำให้คน “สูงอายุ รวย และใจเย็น” อย่างผม ที่ไม่ควรกังวลอะไรแล้ว “นอนไม่หลับ” เพราะคิดถึงคนไทยและลูกหลานที่กำลังเติบโตขึ้น ไม่รู้ว่าประเทศไทยในอีกหลายสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ในฐานะของนักลงทุนที่ได้ปรับโครงสร้างพอร์ตหุ้นไปแล้วบางส่วน กล่าวโดยเฉพาะก็คือ มีพอร์ตหุ้นเวียดนาม 30% กว่า ๆ เงินสดประมาณ 10% ต้น ๆ และพอร์ตหุ้นไทยประมาณ 55% ความกังวลของผมต่อการลงทุนก็น่าจะมีเพียงครึ่งเดียวคือ พอร์ตหุ้นไทย และเนื่องจากการที่ผมกังวลเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไทยของไทยมานานหลายปีแล้ว ผมจึงลงเฉพาะหุ้นแนว “Defensive” คือหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัยต่อภาวะเลวร้ายต่าง ๆ ได้ดี และมีราคาถูก ดังนั้น โอกาสที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงก็ควรจะน้อยลง ดังนั้น ผมจึงไม่ได้กังวลมากนักในช่วง “เวลาแห่งความกังวล” ที่กำลังเกิดขึ้น
พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมนั้น ผมรู้สึกว่าแทบจะ “ไร้ความกังวล” ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศสงครามการค้า ซึ่งในช่วงแรก ผมกลับคิดว่าอาจจะเป็นผลดีต่อเวียดนามที่จะได้อานิสงค์จากการเป็นตัวแทนจีนในการผลิตสินค้าให้กับอเมริกา อย่างไรก็ตาม ต่อมาก็ดูเหมือนว่าทรัมป์จะ “เล่นงาน” ทุกประเทศ รวมถึงเวียดนามที่ได้ดุลการค้าอเมริกามหาศาลอันดับ 3 หรือ 4 รองเฉพาะจีนกับเม็กซิโก แต่ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่าเวียดนามก็จะไม่ถูกกระทบ เพราะยังไงคนอเมริกันก็ต้องใช้สินค้านำเข้าในสิ่งที่อเมริกาไม่สามารถผลิตได้ที่ต้นทุนที่ยอมรับได้ และคนที่จะส่งให้อเมริกานั้น ยังไงก็ต้องมีเวียดนามอยู่ด้วย
การประกาศข้อตกลงการค้าเวียดนามกับอเมริกาที่ “0-20-40” หรือ สินค้าที่อเมริกาส่งเข้าเวียดนามไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร สินค้าที่เวียดนามส่งเข้าอเมริกาจะเสียภาษี 20% ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตในเวียดนามและโดยคนเวียดนาม และเสียภาษี 40% กรณีที่เป็นสินค้าที่ผลิตโดยคนจีนแต่มาอาศัยเวียดนามเป็นคนส่งออกแทนนั้น ผมคิดว่าเป็นดีลที่ “ดีเยี่ยม” สำหรับเวียดนาม
เพราะดีลนี้น่าจะเป็นดีลที่ “win-win” คือได้ประโยชน์มากทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ อเมริกาสามารถส่งสินค้าไฮเท็ค เช่น สินค้าเกี่ยวกับดิจิทัลและชิพอิเลคโทรนิก เครื่องบินพานิชย์ และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงให้เวียดนามได้มากขึ้นแทนที่ยุโรปที่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรและอาหารหลาย ๆ อย่าง รวมถึงอาหารสัตว์ที่อเมริกามีความสามารถและผลิตได้เหลือเฟือที่จะกลายเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารของเวียดนามที่จะส่งกลับไปยังสหรัฐได้
ในด้านของเวียดนามเองนั้น อัตราภาษีนำเข้าที่ 20% ของอเมริกานั้น ผมเชื่อว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่าคู่แข่งเช่น จีนที่สูงถึงกว่า 50% ซึ่งผมคิดว่าด้วยศักยภาพของเวียดนามที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้สินค้าของเวียดนามสามารถแข่งขันกับสินค้าของจีนได้ ส่วนกรณีของคู่แข่งอื่นโดยเฉพาะไทยเองนั้น คงต้องดูว่าเราจะได้ดีลอย่างไร แต่ผมเองคิดว่าไทยมีข้อเสียเปรียบเวลาไปเจรจากับอเมริกาหลายด้าน
เรื่องแรกก็คือ ปัญหาทางการเมืองที่ผมคิดว่าในยามที่รัฐกำลังประสบปัญหาความมั่นคงของรัฐบาล เราอาจจะไม่สามารถรับปากหรือตกลงอะไรที่จะทำให้ถูกต่อต้านจากคนที่เสียประโยชน์จากสัญญาการค้าได้มากนัก ตัวอย่างเช่นเรื่องของสินค้าเกษตรบางอย่างที่เราเคยกีดกันสินค้าจากอเมริกา เช่น พวกเนื้อและเครื่องในสัตว์เป็นต้น เราจึงอาจจะไม่ยอมตกลงให้สินค้าทุกชนิดของอเมริกาเข้าไทยโดยไม่มีภาษีแบบในกรณีของเวียดนาม
เรื่องต่อมาก็คือ ในระยะหลัง เราเองไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองใกล้ชิดกับอเมริกาเหมือนก่อน ในขณะที่เวียดนามนั้น กลายเป็น “เพื่อน” และถ้าวันหนึ่งต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายใดระหว่างจีนหรือสหรัฐ คงเลือกที่จะเป็นฝ่ายอเมริกา และนั่นไม่ใช่สิ่งที่แค่คาดเดา โพลที่ทำในระดับนานาชาติชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนเวียดนามชอบอเมริกามากกว่าจีน ในขณะที่ไทยเองนั้น รู้สึกว่าจีนเป็นมิตรมากกว่า
พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็นึกถึงข่าวการลงทุนมหาศาลของครอบครัวทรัมป์ในเวียดนามที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจไม่ผิด นี่จะเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของครอบครัวทรัมป์นอกสหรัฐ และเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลเวียดนาม ดังนั้น ผมคิดว่าเราก็น่าจะพอคาดการณ์ได้ว่า ยังไง ดีลการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐก็น่าจะต้องดีต่อเวียดนามด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สงครามการค้าครั้งนี้ ลึก ๆ แล้วมาจากการแข่งขันชิงความเป็น “เจ้าโลก” ระหว่างจีนกับอเมริกาที่คิดว่าต้องบล็อกจีนไม่ให้พัฒนาก้าวหน้าล้ำไปทั้งทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และดังนั้น ด้านหนึ่งก็ต้องใช้เวียดนามในการต้านจีน ในขณะที่ไทยเองนั้น เนื่องจากบทบาททางเศรษฐกิจที่ด้อยลง และความรู้สึกที่ว่าไทยเองสนิทกับจีนมากกว่า ดังนั้น อเมริกาจึงไม่ค่อยจะสนใจมาก และคงให้ดีลที่เหนื่อยกว่าของเวียดนามกับไทย
ทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผม “ไร้กังวล” กับพอร์ตหุ้นเวียดนามมาตลอดแม้ว่าผลงานการลงทุนของพอร์ตเวียดนามครึ่งปีที่ผ่านมาลดลงมาพอสมควรทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามบวกเกือบ 10% และผมก็คิดมาตลอดว่า ในที่สุดพอร์ตผมก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อประเด็นเรื่องภาษีทรัมป์ผ่านไป แต่ในด้านของพอร์ตหุ้นไทยเองนั้น แน่นอนว่าผมก็ยังกังวลเรื่องภาษีศุลกากรของอเมริกาที่มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวม “เละ” แต่ความกังวลของผมไม่ใช่เรื่องของพอร์ตหุ้นไทย แต่เป็นความกังวลว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะเป็นอย่างไร และคนไทยบางกลุ่มจะเดือดร้อนสาหัสและทุกข์ทรมานระดับไหน