ยุคสินค้า Value (for money)

0
56

โลกในมุมมองของ Value Investor   6 กันยายน 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ยุคของหุ้น “Value” ในตลาดหุ้นไทย  หลายคนอาจจะบอกว่า  “ผ่านไปแล้ว”  แต่ยุคของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ขายให้กับผู้บริโภคในตลาดนั้น  สินค้าที่เป็นของ  “คุณภาพดี  ราคาถูก”  หรือเรียกว่าเป็นสินค้า  “Value for money”  ช่วงนี้กลับเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว  ลองมาดูกันว่ามีสินค้าอะไรบ้าง

เริ่มที่ “ร้อนที่สุด” ในช่วงนี้หนีไม่พ้น  “สุกี้หม้อไฟ” อาหารยอดนิยมของคนทุกชั้นที่ตอนนี้แข่งกันขายที่ราคา “ถูกมากและคุณภาพดี” โดยการขายแบบ “บุฟเฟ่ต์” ที่ลูกค้ากินได้ “ไม่อั้น” ในราคาที่ “ถูกมาก” ซึ่งทำให้คนที่ปกติจะกินอาหารอย่างอื่นจำนวนมาก   หันมากินสุกี้ในร้านที่ขายอาหารด้วยกลยุทธดังกล่าวแทน  ผลก็คือ  ภัตตาคารอื่น ๆ  เหงาลงไปมากในขณะที่ร้านสุกี้หม้อไฟที่ใช้กลยุทธโปรโมชั่นแบบบุฟเฟ่ต์ราคาถูก  คน “แน่น”

ร้านสุกี้บุฟเฟ่ต์ขายของดีราคาถูกได้ก็เพราะว่าสามารถขายได้จำนวนมาก  ภัตตาคารคนเต็มแทบจะตลอดเวลา  และนอกจากนั้นก็ยังเปิดด้วยชั่วโมงบริการยาวนาน  บางร้านแทบจะตลอด24 ชั่วโมง  ผลก็คือ  ต้นทุนต่อหน่วยของการขายลดลงมากจนต่ำกว่ารายได้ต่อหน่วยที่ต่ำมากอยู่แล้ว  ดังนั้น  ธุรกิจก็อยู่ได้และมีกำไร  ในทางวิชาการ  ร้านสุกี้นั้นมี  Economies of Scale หรือมีการประหยัดเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นสูงมาก

หลักการก็คล้าย ๆ  กับธุรกิจแบบสตาร์ทอับ  ที่ตอนเริ่มต้นขายสินค้า  จะขายในราคาที่ต่ำมากเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการก่อน   โดยที่ในช่วงแรกก็จะขาดทุนมหาศาลเพราะต้นทุนสูง  แต่เมื่อขายได้มากขึ้น  ต้นทุนต่อหน่วยก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว  จนถึงจุดหนึ่งบริษัทก็จะมีกำไรแทนที่จะขาดทุน  และกำไรก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ  หลังจากนั้น

ธุรกิจที่สามารถขยายตัวไปเรื่อย ๆ  และกิน  Market Share หรือส่วนแบ่งทางการตลาดของคู่แข่งไปเรื่อย ๆ  สุดท้ายคู่แข่งก็จะตายหมด  เรียกว่าธุรกิจถูก  “Disrupt” หรือถูกทำลายและต้องล้มหายตายจากไป  และนี่ก็คือกรณีของธุรกิจสตาร์ทอับในสายของเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลที่คู่แข่งเดิมไม่สามารถที่จะผลิตหรือให้บริการสินค้าได้เนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีหรือกำลังเงินเพียงพอที่จะลงทุนหรือเพียงพอสำหรับการที่จะต้องขาดทุนมหาศาลในช่วงที่กำลังเพิ่มยอดขายเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรและยืนอยู่ได้

และนั่นก็ไม่เหมือนธุรกิจขายสุกี้หรืออาหารภัตตาคารที่ใช้หลักการคล้าย ๆ  กับธุรกิจสตาร์ทอับ  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  ร้านสุกี้นั้น  พอขยายถึงจุดหนึ่งก็จะเริ่มอิ่มตัว  เพราะคนชอบกินอาหารหลากหลาย  ถึงแม้ว่าสุกี้บุฟเฟ่ต์จะมีคุณภาพดีราคาถูกและเป็นอาหารที่มี Value for money สูงเมื่อเทียบกับอาหารอย่างอื่น  แต่คนก็จะไม่กินทุกวัน  และอาจจะกินแค่ “เดือนละครั้ง” ซึ่งก็ไม่เหมือนกับการใช้เฟซบุคหรือดูไลน์ที่ใช้หรือดูทุกวันไม่เบื่อ

นอกจากนั้น  เมื่อคนนิยมและกินสุกี้จากร้านที่เริ่มเสนออาหาร  “คุณภาพดี  ราคาถูก”  สุดท้ายแนวคิดนี้ก็จะมีคนอื่นที่ทำได้เช่นเดียวกัน  และแถม  “ทำได้ดีกว่าด้วย” และต้นทุนหรือพลังเงินที่จะใช้ในช่วงแรกที่อาจจะต้องยอมขาดทุนก่อนเพื่อดึงลูกค้าก็ไม่ได้สูงนัก  ผู้ประกอบการจำนวนมากสามารถทำได้ไม่ยาก

ยิ่งไปกว่านั้น  ผู้ขายอาหารแบบอื่นที่ถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากสุกี้บุฟเฟ่ต์  เช่น  หมูกระทะ  บางรายที่มีกำลังเงินพอก็อาจจะเริ่มเข้ามาเสนออาหารคุณภาพดี  ราคาถูก แบบ “Value for money” เช่นเดียวกัน  และก็อาจจะได้ลูกค้าจำนวนมากซึ่งทำให้สามารถลดต้นทุนลงเรื่อย ๆ  จนสามารถทำกำไรได้ไม่ต่างจากกรณีของสุกี้มากนัก

ในระยะยาว ภัตตาคารที่ไม่ใช่  “Value for money”  ก็จะค่อย ๆ  ตายเพราะขายไม่ได้  เพราะถ้าอาหารมีคุณภาพดีเท่า ๆ  กันแต่ราคาแพงกว่าใครจะไปซื้อ?  ถ้าจะอยู่ได้ก็ต้องคุณภาพสูงกว่าหรืออร่อยกว่า  และราคาก็สูงกว่าได้  แต่ก็ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมที่ลูกค้ายอมรับ  ทั้งหมดนั้น  “กลไกตลาด” ก็จะบอกเอง  โดยที่กลไกตลาดเองนั้น  ก็ขึ้นอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจของผู้บริโภคเองด้วยว่าดีหรือแย่แค่ไหน  อย่างช่วงนี้  ก็ต้องถือว่าเศรษฐกิจไม่ดี  คนไม่ค่อยยอมจ่ายเงินมากเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้นไม่มาก  ผลก็คือ  สินค้า Value for money  ขายดีกว่าปกติ

ที่กล่าวมาข้างต้นค่อนข้างยาวเพื่อที่จะได้เข้าใจกลไกของการตลาดของสินค้าแบบนี้ที่ผมพบว่ากำลังเฟื่องฟูในตลาดไทย  ซึ่งผมจะพูดถึงแบบเร็ว ๆ ดังต่อไปนี้

กลุ่มแรกที่เกิดขึ้นนานแล้ว  แต่ถึงวันนี้ก็ยังเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คือสินค้าอุปโภคหรือของใช้ในบ้าน  ของใช้ส่วนตัว  และอื่น ๆ  อีกมากที่เรียกกันว่า “ร้าน 100 เยน” ในญี่ปุ่น หรือ “ร้าน 1 ดอลลาร์” ในอเมริกา  

เหล่านี้ก็คือร้านที่เสนอขายสินค้า “คุณภาพดี  ราคาถูก” คุ้มค่าเงิน  พวกเขาอยู่ได้เพราะขายของได้มากกว่าร้านเล็ก ๆ  แบบโชห่วยที่ “คุณภาพแย่  ราคาแพง”  ของไม่ครบ   และต้นทุนของร้าน  Value for money นั้นจะถูกลงเรื่อย ๆ  เนื่องจากเขาสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก  เขาสามารถออกแบบที่สวยและน่าใช้ให้กับสินค้าโดยต้นทุนในการออกแบบนั้นน้อยมากเนื่องจากกระจายไปยังสินค้าจำนวนเป็นล้าน ๆ  ชิ้น  เช่นเดียวกับต้นทุนในการขายและการสร้างระบบต่าง ๆ  ของร้านที่ก็น้อยนิดเช่นเดียวกันเมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อหน่วย

คงไม่ต้องบอกว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้ใช้ได้ผลมากในตลาดไทย  เพราะธุรกิจขยายตัวและมีการเลียนแบบไปใช้กับสินค้าอื่น ๆ  เช่น  สินค้า  “กุ๊กกิ๊ก” สำหรับเด็กสาวหรือผู้หญิงทำงาน  หรือ  “สินค้าชิ้นละ 10 บาท” ที่มักจะเป็นร้านขนาดเล็ก  และสินค้าประเภทซ่อมแซมบ้านประเภท “Do it yourself” หรือทำด้วยตนเอง  เป็นต้น

กลยุทธขายสินค้าหรือบริการ คุณภาพดี ราคาถูก คุ้มค่า  โดยอาศัยการแย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว  ขยายธุรกิจจนมี Economies of Scale สูง  ลดต้นทุนต่อหน่วยและทำกำไรในภายหลังนั้น  ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้ในทุกอุตสาหกรรม  แต่ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่มีการวิเคราะห์แล้วว่าเมื่อขยายยอดขายหรือจำนวนหน่วยที่ผลิต  ต้นทุนส่วนเพิ่มนั้นจะน้อยมาก  บางทีใกล้ศูนย์อย่างในกรณีของดิจิทัล  และก็ต้องดูว่าตลาดที่จะขยายไปนั้น  จะทำได้มากน้อยแค่ไหน  และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การที่คู่แข่งจะเข้ามานั้นทำได้ยากแค่ไหนด้วย  แม้ว่าประเด็นหลังนี้  คนที่ทำก่อนก็อาจจะได้เปรียบว่าเป็น  “First Mover” ที่ลูกค้าจะคุ้นเคยกว่า

ตัวอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นการแข่งขันโดยอาศัยกลยุทธ  คุณภาพดี  ราคาถูก  เพื่อขยายธุรกิจและลดต้นทุนในภายหลังก็คือ  “การส่งพัสดุ” ที่เกิดขึ้นมามากอานิสงค์จากการบูมของ E-commerce หรือการขายสินค้าออนไลน์   ซึ่งผมเองก็ยังสงสัยว่าคนใช้กลยุทธนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่

เพราะการส่งพัสดุในไทยเองนั้นก็อาศัยแต่ไรเดอร์หรือคนขับรถซึ่งไม่สามารถลดต้นทุนได้มากนักแม้ว่ายอดส่งจะมากขึ้น  เพราะเมื่อยอดส่งมากขึ้น  คนขับรถก็ต้องคิดค่าแรงตามจำนวนที่ส่ง  สิงที่จะประหยัดได้เมื่อขนาดธุรกิจเพิ่มขึ้นนั้น  ก็อาจจะเป็น “ระบบ” คัดแยกหรืออื่น ๆ  ที่ต้นทุนไม่ค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนพัสดุมากขึ้น  แต่สิ่งนี้อาจจะไม่มากนัก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผู้ให้บริการอื่น ๆ  นั้นก็มักจะไม่ใช่รายเล็กมากที่จะไม่สามารถมีระบบคัดแยกที่ลดต้นทุนลงมากอยู่แล้ว

และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม  แม้แต่รายใหญ่ในวงการส่งพัสดุที่ใช้กลยุทธคุณภาพดี  ราคาถูก  ก็ไม่ประสบความสำเร็จในด้านของกำไรของกิจการมากนัก

ยังมีธุรกิจที่ใช้โมเดลคุณภาพดี ราคาถูก  คุ้มค่าอีกมากมายที่เพิ่งจะเข้าสู่ตลาด  อาทิเช่น  ซุ้มหรือร้านขายน้ำหวานตามศูนย์การค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวหรู  ที่เริ่มเห็นการ  “ขายระเบิด” และขยายสาขาอย่างรวดเร็ว  เพราะ “รสชาติอร่อย”  ราคาพอ ๆ  กับ “แผงข้างทาง” ที่ “ไม่อร่อยและไม่สะอาด”

ผมเองก็ไม่เคยกิน  แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะทำกำไรได้ดีไหม  เพราะต้นทุนสถานที่และพนักงานซึ่งเป็นรายการใหญ่นั้น  ดูเหมือนว่าจะไม่ลดลงเมื่อมีการขยายธุรกิจ  นอกจากนั้น  น้ำหวานแต่งกลิ่นเองก็เป็นอะไรที่คนอาจจะไม่กินซ้ำมากและก็อาจจะเจอคู่แข่งในอนาคต  อย่างไรก็ตาม  การเข้ามาเป็นรายแรกหรือ First Mover ก็อาจจะได้เปรียบเล็กน้อยและอาจจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้  แต่ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีมากในระยะยาว

ว่าที่จริงผมเองไม่ค่อยชอบธุรกิจที่แข่งขันกันหนักทางด้านราคาเป็นหลัก  โดยเฉพาะที่ไม่ได้เป็นธุรกิจดิจิทัล  เพราะราคานั้นเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกแห่งสามารถทำได้และทำได้ง่าย  ทำให้ต้องแข่งกันตลอดเวลา  ซึ่งวันหนึ่งก็จะต้องมีคนแพ้และอาจตายได้  ไม่เหมือนกับคุณภาพที่ต้องเก่ง  ต้องพยายาม  ต้องสร้างมายาวนานและคนเลียนแบบยาก  ดังนั้น  ความยั่งยืนจึงสูงกว่ามาก

ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ดูธุรกิจรถไฟฟ้าที่หลายรายต้องเลิกกิจการไปแล้วหลังจากที่ขายได้ดีมากในช่วงแรกเพราะลดราคากันแบบไม่คิดถึงต้นทุน  และเมื่อรายแรกเริ่มทำ  รายหลัง ๆ  ก็ต้องทำด้วย  และกลายเป็นสงครามราคาที่ทำให้เสียหายและล้มหายตายจากกันไป  เหลือไว้เฉพาะบริษัทที่แข็งแรงที่สุดที่ยังเอาตัวรอดอยู่ได้แต่ก็ไม่ได้กำไรอะไร  เพราะต้นทุนที่ไม่ได้ลดลงมากนักแม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นมาก    


VVI Membership ดูรายละเอียดและสมัคร https://class.vietnamvi.com