จาก VI สู่ AI -เทรดเดอร์อัจฉริยะ

0
300

โลกในมุมมองของ Value Investor  13 กันยายน 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ AI ที่จะสามารถเข้ามาแทนที่คนในธุรกิจต่าง ๆ   พบว่าวงการเงินซึ่งรวมถึงธนาคาร  การประกัน  และหลักทรัพย์นั้น  อยู่ในระดับสูงมากถึงระดับ 50% ไปแล้ว  โดยที่ธุรกิจหลักทรัพย์  ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการบริหารทรัพย์สินและการลงทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 40% 

การลงทุนและการเทรดหลักทรัพย์ของผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ  ทั่วโลก ในปัจจุบันนั้น  ผมคิดว่าทำโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์น่าจะมากกว่า 50% ไปแล้ว  บางแห่งอาจจะสูงเป็นกว่า 90% ไปแล้วก็ได้  เพราะแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยเอง  โปรแกรมเทรดดิงกลายเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละวัน  คือเทรดมากกว่ากลุ่มอื่นทั้งหมด  ว่าที่จริงในตลาดอย่างในสหรัฐนั้น  ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่กลายเป็น “เครื่องจักร” หรือหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่นี้เป็นหลัก  โดยเครื่องจักรที่ว่าก็คือคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น  AI ที่คิดแทนคนในการตัดสินใจสั่งซื้อ-สั่งขาย

หลักคิดหรือกลยุทธในการลงทุนในยุคที่คอมพิวเตอร์และ AI มีบทบาทนำในปัจจุบันนั้น  ก็เป็นการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ที่เน้นความรวดเร็วและออกแนวเก็งกำไรเป็นหลัก  และแนวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากก็คือสิ่งที่เรียกว่า  ”Quant” หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก

พวก Quant ก็คือคนที่ประยุกต์สถิติทางคณิตศาสตร์ระดับสูงกับตัวเลขในตลาดการเงินโดยใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์และ AI เข้าไปคำนวณเพื่อมองหารูปแบบและแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์  โดยที่โปรแกรมจะถูกออกแบบมาให้ทำการซื้อ-ขายอย่างอัตโนมัติตามกลยุทธที่จะทำให้สามารถทำกำไรได้

ความสำเร็จและการขยายตัวของพวก Quant นั้น  ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และถึงวันนี้น่าจะเป็น  “กระแสหลัก” ไปแล้ว  และแน่นอนว่า  เหนือกว่าการลงทุนแบบ “VI” ที่เคยโดดเด่นและดังมานานอานิสงค์จากการสนับสนุนและรับรองโดย วอเร็น บัฟเฟตต์  นักลงทุนมือหนึ่งของโลกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมโดยมีผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 20% ติดต่อกันประมาณ70 ปี

ความสำเร็จและความนิยมของ Quant นั้น  ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คงมาจากตัวนักลงทุนที่เป็นผู้นำเช่นกัน  ซึ่งก็คือ  Jim Simons ผู้บริหารของ Renaissance Technologies ซึ่งบริหารกองทุนหลักคือ “Medallion Fund” ตั้งแต่ปี 1988-2018 เป็นเวลา 30 ปีและได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึง 66% ต่อปี  และถ้าหักค่าธรรมเนียมค่าบริหารก็ยังให้ผลตอบแทนถึงปีละ 39% เหนือกว่าผลตอบแทนของบัฟเฟตต์มาก  และกลายเป็นสถิติโลกที่ไม่มีใครทำได้  ส่วนตัวของจิม ไซม่อนเองซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีก่อนที่อายุ 86 ปี  ก็ร่ำรวยติดอันดับโลก  ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 30 พันล้านเหรียญหรือ 1 ล้านล้านบาทในวันที่เขาตาย

ที่มาของการลงทุนแบบ Quant เองนั้น  ก็มีอะไรคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบ VI ในแง่ที่ว่าทั้งคู่มี  “บิดา” หรือผู้ให้กำเนิดแนวคิดที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนแบบใหม่ที่เหนือกว่าได้  ในกรณีของ VI ก็คือเบน เกรแฮม ในช่วงประมาณปี 1934 หลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่หุ้นตกลงมาและมีราคาถูกมาก

Quant นั้น  คนที่น่าจะเป็น “บิดา” ก็คือ  Edward O. Thorp ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่หันไปศึกษาเรื่องการพนันในบ่อนและการลงทุนใน “ตลาดการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หรือตลาดหุ้น  โดยวัตถุประสงค์ก็คือการพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้โดยอาศัยการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์และสถิติ

เริ่มแรก  เขาเข้าไปเล่นไพ่แบล็คแจ็คหรือไพ่ 21 ในคาสิโนโดยการคิด “สูตร” ตามสถิติและคณิตศาสตร์และกำหนดวิธีการเล่นโดยการ “นับไพ่” และการกำหนด “เม็ดเงินพนันในแต่ละรอบ” ที่ทำให้เขา “ได้เปรียบ”  ทางสถิติ  ซึ่งผลก็คือ  เขาก็สามารถทำเงินได้กำไรจากบ่อนเป็นประจำจนทำให้คาสิโนต่างก็ปฎิเสธไม่ให้เขาเล่น  เขาเขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ในชื่อ  “Beat the Dealer” หรือ “เอาชนะบ่อน” ในปี 1964 ซึ่งดังมาก  เพราะไม่มีใครเคยคิดว่านักพนันจะชนะบ่อนได้

ต่อมา  เขาเปลี่ยนไปเล่นหุ้นหรือซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด  โดยการใช้สูตรคณิตศาสตร์และเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณหามูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์เช่น  วอแรนต์และออปชั่นที่มีหลักทรัพย์แม่ที่มีราคาตลาดอยู่แล้ว  เขาจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์โดยมีกลยุทธที่จะเฮดจ์ความเสี่ยงที่หุ้นจะขึ้นหรือลงโดยการซื้อหุ้นในด้านหนึ่ง  และขายชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันเมื่ออ็อบชั่นของหุ้นตัวนั้นมีราคาที่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่เขาคำนวณได้มากพอ  ด้วยการทำแบบนั้น  เขาก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  แต่จะได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยในการเทรดแต่ละครั้ง  แต่เมื่อเทรดหุ้นมาก  กำไรก็จะเป็นกอบเป็นกำ  และทั้งหมดนั้นเขาก็เขียนไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ  “Beat the Market” หรือเอาชนะตลาดในปี 1967

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของเขาในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1969-1988 คือ บวก 19.1% ต่อปีแบบทบต้น และไม่มีปีไหนที่ขาดทุนเลย  เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 10.2% และติดลบไป 4 ปี  ความมั่งคั่งของเขาก็  “รวย” ระดับเศรษฐี  แม้อาจจะไม่ใช่มหาเศรษฐี  เขาเลิกจากการลงทุนและกลับไปใช้ชีวิตที่เขาชอบ  นั่นก็คือ  การเป็นนักวิชาการ  ซึ่งนั่นก็คงคล้าย ๆ กับเบน เกรแฮมที่มีธรรมชาติเป็นนักคิดมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนมาก ๆ

โดยสรุปแล้ว  ความแตกต่างระหว่าง VI กับการเทรดหุ้นหรือลงทุนแบบ Quant ก็คือ  คนที่เป็น VI นั้น  จะเป็นคนที่เน้นพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์  ซึ่งต้องมองหรือวิเคราะห์ธุรกิจในระยะยาว  เสร็จแล้วก็ต้องดูว่าผลประกอบการในระยะยาวจะคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่  ดังนั้น  คนที่จะเป็น VI จะต้องรอบรู้ในศิลปะต่าง ๆ ที่หลากหลายมากรวมถึงเรื่องทางธุรกิจที่ทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกัน

พวก Quant นั้น  ต้องใช้ข้อมูลตัวเลขในการคำนวณดูความเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาสถิติและความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ  แล้วถือโอกาสซื้อ-ขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว  คนที่เป็น Quant จึงมักจะเป็นคนที่รู้เรื่องของตัวเลข  การคำนวณและเป็นคนเก่งทางด้านโค้ดดิง  โดยที่แทบจะไม่ต้องรู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทที่ทำอะไร

“บิดา” ของ Quant คือ Ed Thorp นั้น  เป็นนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์  เช่นเดียวกับ Jim Simons ก็เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และเคยเป็นนักถอดระหัดโค้ดในช่วงสงครามเย็น  นอกจากนั้น  เฮดจ์ฟันด์ดัง ๆ ส่วนใหญ่เวลาจ้างพนักงานก็มักจะไม่จ้างนักการเงินแต่จ้างนักคณิตศาสตร์  นักวิทยาศาสตร์  นักคอมพิวเตอร์  วิศวกร  หรือแม้แต่นักดาราศาสตร์มาบริหารกองทุน  ถ้าจะพูดไป  คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคน  “อัจฉริยะ” IQ ระดับ 130-140 น่าจะเป็นเรื่องปกติ  ผมเองรู้จักเด็กหนุ่มสาวคนไทยที่ทำงานให้กับกองทุนเหล่านี้ที่ไม่ได้จบทางด้านการเงินการลงทุน  แต่เป็นเด็กทุนระดับ Top ของประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก

ผลงานของ VI นั้น  มองในระยะยาวแล้วก็ค่อนข้างโดดเด่น  โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับ “เซียน” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่ยอมรับของสังคมการลงทุน  เหตุผลอาจจะเป็นว่าคนรู้ว่ากองทุนอย่าง ARK Invest ของป้าเคที่วูด หรือบริษัทอย่างเบิร์กไชร์นั้น  “รวยยังไง”  ถือหุ้นอะไรบ้าง

ในกรณีของ Quant นั้น เกมก็คือการทำกำไรแต่ละครั้งจะน้อย ๆ  และมีการป้องกันความเสี่ยงได้ดี  ไม่มีการขาดทุนเพราะทุกเทรดทำด้วยโปรแกรมที่คำนวณถึงโอกาสขาดทุนไว้แล้ว  วิธีทำกำไรให้มากก็คือการเทรดให้มากด้วยต้นทุนที่ต่ำ  เช่น  ค่าธรรมเนียมน้อยมาก  คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะใกล้ 0  ดังนั้น  Quant จำนวนมากในช่วงเวลานี้จึงอาจจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากโลกของการเทรดหลักทรัพย์พัฒนาไปมาก  ต้นทุนการดำเนินการลดลงมาก  เช่นเดียวกับโปรแกรมหรือโค้ดก็อาจจะทำได้เร็วและถูก  อานิสงค์จากความก้าวหน้าของ AI 

อย่างไรก็ตาม  ผลงานของ Quant ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนัก  เพราะกองทุนมักจะเสนอให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวนจำกัดที่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน   สิ่งที่พอรู้นอกจากผลงานของ Jim Simons ในกองทุน Medallion Fund ซึ่งไม่ได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปที่โดดเด่นมากแล้ว  ผลงานกองทุนอื่น ๆ  ของ Jim Simons เองก็อยู่ในระดับประมาณปีละ 8-12% แบบทบต้นเท่านั้น  และน่าจะไม่ต่างจากผลงานในกลุ่ม VI ทั่วไปมากนัก

สุดท้ายก็คือ  เราในฐานะของนักลงทุน  ควรจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน  ควรจะเป็นแนว VI หรือเชื่อในแนว Quant?  

โดยส่วนตัวผมเองนั้น  ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักลงทุนแนว Quant นั้น  จะต้องมีความรู้ความสามารถทางตัวเลขและวิทยาศาสตร์สูง  หรือเป็นพวก  “อัจฉริยะ” คนที่รู้แต่วิธีใช้โปรแกรมเทรดหุ้นนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน  เพราะโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จนั้น  พอใช้ไปซักระยะก็มักจะใช้ไม่ได้ต่อไป  คนที่จะชนะคงต้องเป็นคนที่สามารถดัดแปลงโปรแกรมไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าของเดิมเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว

ด้วยการพัฒนาของ AI ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ผมเองคิดว่ามีความเสี่ยงมากสำหรับคนที่ลงทุนระยะสั้นหรือเทรดหุ้นที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ไม่ว่าจะใช้กลยุทธไหนรวมถึง VI  ดังนั้น  ผมคิดว่าน่าจะยังเหลือแค่ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในตลาดนั่นก็คือ  การ “ลงทุนระยะยาวจริง ๆ”  ที่ AI ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีกว่าคนที่ยังมี  “จินตนาการ” มากกว่า


เจาะลึกหุ้นเวียดนาม ’68 – BULL RUN
2 พ.ย. 2568 | 🏨 Marriott Sukhumvit (BTS ทองหล่อ) ⏰ 08.30–17.00
ดูรายละเอียด:https://www.vietnamvi.com/2025/09/07/vvi68/