โลกในมุมมองของ Value Investor 20 กันยายน 2568
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมมีความคิดมานานแล้วว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้อง “ปฏิรูป” คือเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำ ที่เคยทำมายาวนานอย่างน้อย 72 ปี ตั้งแต่ผมเกิด เพราะโลกและประเทศไทยเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่เราจะทำแบบเดิมแล้วยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาอย่างที่เคยเป็นมา
เหตุผลสำคัญก็คือ โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งทำให้ประเทศที่ “ตามไม่ทัน” และยังทำงานด้วยความรู้และ “ภูมิปัญญาแบบเดิม” พ่ายแพ้แก่ประเทศที่ก้าวหน้ากว่า
ประเด็นก็คือ ความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยในอดีตนั้น อาศัย “การลงทุน” เช่นการตั้งโรงงานจากต่างประเทศ และต่อมาก็จากคนไทยที่ร่ำรวยขึ้น และอาศัย “คนงาน” ที่ทำงานการเกษตรในชนบทเข้ามาทำงานในเมือง ต่อมาก็อาศัยชาวต่างชาติรอบบ้านเราที่มาหางานที่มีค่าแรงสูงกว่าทำ
ตอนนี้คนไทยที่ย้ายมาทำงานตามโรงงานก็หมดแล้ว เพราะนอกจากจะไม่มีคนหนุ่มสาวในชนบทแล้ว คนไทยโดยรวมก็กำลังลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ ส่วนคนที่ยังทำงานก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ยังทำงาน “แบบเดิม” และด้วยเทคโนโลยีแบบเดิม และประสิทธิภาพก็ “เท่าเดิม” ผลก็คือ ขนาดของเศรษฐกิจหรือ GDP ก็ไม่โตหรือโตน้อยมาก และถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ GDP ก็อาจจะลดลงในอนาคต
การ “ปฏิรูป” ที่ผมจะพูดถึงก็คือ 1) การเพิ่มจำนวนประชากรคนทำงานและ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงาน โดยที่ข้อ 1 นั้นดูเหมือนจะยากกว่าเนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยหรือแม้แต่คนที่พัฒนาแล้วทั่วโลก ต่างก็ไม่อยากมีลูกมากเหมือนเดิม ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากหรือไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกอย่างที่ต้องการ
การเพิ่มประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุดข้อแรกก็คือ การศึกษาหรือการสอนนักเรียนให้เก่งขึ้นในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งหมดโดย ข้อแรกจะต้องปรับให้การใช้ทรัพยากรหรืองบที่ใช้ในการสอนนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ง่ายก็คือ ปิดโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยมากและให้เด็กไปเรียนรวมกันในโรงเรียนขนาดใหญ่ นี่จะทำให้เกิด Economies of Scale หรือต้นทุนการสอนต่อเด็กแต่ละคนลดลงได้มาก โดยที่เงินที่ประหยัดได้ก็จะถูกนำไปใช้ในการจ้างครูหรือเพิ่มและปรับปรุงอุปกรณ์การสอนให้ดีขึ้น
วิชาที่จะสอนแบบปฏิรูปนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ที่ต้องเน้นเป็นพิเศษก็คือ STEM หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่ต้องใช้ความคิดแบบเหตุผลมีตรรกะ และต้องลดวิชาเกี่ยวกับศิลปะศาสตร์ที่เน้นให้เด็กท่องจำลง นอกจากนั้น ต้องเพิ่มวิชาเกี่ยวกับ AI และการใช้ AI กับเด็กทุกคน
อีกวิชาหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นและมีประโยชน์มากก็คือภาษาอังกฤษ เหตุผลก็เพราะมันเป็นภาษาของ “โลก” และ “ดิจิทัล” คนที่ภาษาอังกฤษดีจะทำให้สามารถติดต่อกับคนทั่วโลกและเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ง่ายกว่าคนที่ไม่เชี่ยวชาญภาษานี้
การเปลี่ยนแปลงที่ผมคิดว่าจะสำเร็จนั้น จะต้องทำอย่างมีคุณภาพและได้ผลชัดเจน อย่างครูภาษาอังกฤษนั้น ควรจะต้องเป็น Native Speaker หรือคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันเราแทบจะไม่มี ดังนั้น การจ้างครูจึงเป็นเรื่องใหญ่และอาจต้องใช้เงินมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของ AI ในปัจจุบัน เราอาจจะสามารถให้ AI สอนโดยมีครูคนเดิมเป็นผู้สนับสนุนก็ได้
รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษานั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่พอให้คนในแวดวงการศึกษาคิดก็อาจจะบอกทันทีว่า “ทำไม่ได้” อาจจะเพราะ “ไม่มีเงิน” “ไม่มีครู” “ยุบโรงเรียนไม่ได้” “ลดวิชานั้นวิชานี้ไม่ได้” และอีกร้อยแปด นั่นก็อาจจะเพราะว่าพวกเขา “ชินกับความคิดแบบเดิม” ที่ทำมาแล้วอย่างน้อย 70-80 ปีขึ้นไปจนฝังอยู่ในสมองและมีแนวคิดว่าครูคือ “แม่พิมพ์” ที่ปั๊มเด็กออกมาให้เหมือนกับตนเอง แต่ถ้าเราจะ “ปฏิรูป” ก็ต้อง “คิดใหม่” และก็จะต้องมีคนใหม่ ๆ ที่อาจจะพูดในสิ่งที่ “ไร้สาระที่สุด” เช่น ไม่ต้องมีครูก็ได้ เพราะ “AI สอนได้ และดีกว่า” เป็นต้น
โรงเรียน “ใหม่” นี้ อาจจะไม่ได้มีต้นทุนสูงก็ได้ เพราะถูกออกแบบมาให้มี Economies of Scale สูงมากคล้าย ๆ กับสินค้าหลายอย่างในช่วงนี้ที่มีของ “คุณภาพดี ราคาถูก” ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ และเรื่องนี้อาจจะมีผลกระทบไปถึงเรื่องของการเพิ่มประชากรได้ด้วยหากคนที่ไม่ต้องการมีลูกเพราะคิดว่าไม่สามารถให้การศึกษาที่ดีกับเด็กได้ ค้นพบว่าเขาไม่ต้องจ่ายเงินมากมายอะไรกับการเรียนในโรงเรียนใหม่ที่มีคุณภาพ พวกเขาก็อาจจะอยากมีลูกมากขึ้น
การปฏิรูปเรื่องที่สองที่ผมว่าจำเป็นมากที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปอีกระดับหนึ่งก็คือ การปฏิรูปในเรื่องของระบบราชการและการปกครอง ประเด็นก็คือ ประสิทธิภาพของระบบการปกครองและการให้บริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าประเทศอื่นที่ก้าวหน้ากว่า และสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลเท่าที่ควรทั้ง ๆ ที่โลกและภาคเอกชนมีและใช้มันมานานแล้ว
เรื่องแรกที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ หน่วยงานจำนวนไม่น้อยที่ให้บริการประชาชน เช่นกรมที่ดิน ยังไม่ได้ใช้ดิจิทัลทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีมีมานานแล้ว เช่น ระบบ GPS ที่บอกพิกัดได้ละเอียดมากพอน่าจะเป็นระดับเซ็นติเมตร แต่เราก็ยังใช้หมุดและคนรังวัดที่ดินจำนวนมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงการโอนและกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ยังอยู่ในรูปของกระดาษ
ผมเองคิดว่าระบบทั้งหมดนั้นควรจะอยู่ในรูป “On Line” เวลาจะซื้อหรือขายควรจะทำผ่านคอมพิวเตอร์แบบการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับการจ่ายภาษีที่ดินที่น่าจะจ่ายผ่านแพลทฟอร์มและตัดบัญชีธนาคารได้เลย แต่ทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย
หน่วยราชการอื่น ๆ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ยังทำงานอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพและบางทีก็ซ้ำซ้อน เรื่องเดียวกันแต่เราต้องผ่านหลายหน่วยงานทั้ง ๆ ที่ข้อมูลก็อยู่ในระบบของราชการอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าจะตั้งโรงงาน ก็จะต้องขออนุญาตและผ่านการอนุมัติจากหลายหน่วยงานและก็จะต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ ทำไมเราไม่หาคนออกแบบระบบ ทำโปรแกรมที่ลิงค์ข้อมูลถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างสามารถพิจารณาและอนุมัติได้ทันทีจากปลายนิ้วของคนขอและคนอนุมัติ?
แม้แต่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นเช่น อำเภอและจังหวัด เองนั้น ก็ควรจะต้อง “ปฏิรูป” เพราะเหตุผลที่ต้องแบ่งเป็นเขตแดนจำนวนมากก็เพราะในสมัยก่อนนั้นเราไม่มีระบบ Logistic ที่ดี การเดินทางเข้า “ส่วนกลาง” ใช่เวลานานมาก อาจจะหลาย ๆ วัน แต่ทุกวันนี้ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นออนไลน์หมดแล้ว การมีอยู่ของเขตการปกครองแบบท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ แทบไม่มีความจำเป็น ดังนั้น อำเภอหรือจังหวัดในปัจจุบันนั้น จึงมีจำนวนมากเกินไป สามารถยุบรวมกันได้ อย่างน้อยก็น่าจะซัก 2 จังหวัดเหลือ 1 จังหวัด เช่นเดียวกับอำเภอที่น่าจะสามารถลดลงได้ในอัตราส่วนที่มากกว่าด้วยซ้ำ
นอกจากจะลดงบประมาณลงได้แล้ว ยังสามารถเพิ่มคุณภาพหรือประสิทธิภาพให้กับการปกครองหรือการให้บริการได้ เพราะคนจะใช้เวลาน้อยลงในการขอรับบริการ เนื่องจากมันเป็นดิจิทัล ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
การปฏิรูปอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าหรือพัฒนาเร็วขึ้นก็คือเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศอื่นและเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความมั่นคงซึ่งระยะหลัง ๆ นี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวโดยเฉพาะก็คือ ถ้าความมั่นคงไม่ดีมีศึกสงคราม เศรษฐกิจก็จะแย่ไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะการค้าขาย แต่การลงทุนก็จะถูกกระทบ นักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทุนในประเทศที่กำลังทำสงครามอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับสงครามก็คือเรื่องของความไม่สงบของสังคมภายในประเทศที่มักจะเกิดขึ้นจากอาชญกรรม การโกง และจากความไม่พอใจใน “กติกา” ทางสังคมและการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของรัฐธรรมนูณและกฎหมายต่าง ๆ เพราะความไม่สงบนั้นทำให้คนไม่มั่นใจที่จะมาลงทุนทำธุรกิจหรือแม้จะแค่มาท่องเที่ยวซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินให้แก่ประเทศมหาศาลและเป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้ GDP เติบเติบโตขึ้นได้ไม่น้อย
การปฎิรูปในเรื่องเหล่านี้ก็คือ ทำให้ประเทศมีความสงบ มีความมั่นคง อาชญากรรมน้อย และผู้คนมีความพอใจกันทุกฝ่ายในด้านของการเมือง ซึ่งนั่นก็จะเป็นการส่งเสริมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี และสุดท้ายก็จะกลับมาส่งเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น พูดง่าย ๆ การปฏิรูปเรื่องนี้เราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า ความมั่นคงและความสงบนั้นมาจากหลาย ๆ มิติ ไม่ใช่เฉพาะการมีกำลังทางทหารหรือมีอาวุธที่เข้มแข็งในปัจจุบัน แต่มาจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการเติบโตที่จะทำให้เรามีพลังที่จะต่อสู้และป้องกันศัตรูได้ในระยะยาวด้วย
ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ว่าที่จริงก็คล้าย ๆ กับการแถลงนโยบายของรัฐบาลหรือการเสนอนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่มักจะ “เกิดขึ้นยาก” หลายเรื่องเสนอหรือทำไปแล้วก็ไม่ได้รับความนิยม เรื่องที่ทำก็ไม่สำเร็จเพราะอาจจะถูกต่อต้านจนคนทำต้องล้มไปก่อน ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้สำหรับประเทศไทยแล้ว มันคงเป็นแค่ “ความฝัน” แต่ผมเองก็ยังฝันว่าวันหนึ่งมันอาจจะเป็นความจริงได้
เจาะลึกหุ้นเวียดนาม ’68 – BULL RUN
2 พ.ย. 2568 | Marriott Sukhumvit (BTS ทองหล่อ)
08.30–17.00. ดูรายละเอียด:https://www.vietnamvi.com/2025/09/07/vvi68/