ประเทศไทยปฏิรูป-ฝันไป

0
54

โลกในมุมมองของ Value Investor 20 กันยายน 2568

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมมีความคิดมานานแล้วว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้อง  “ปฏิรูป”  คือเปลี่ยนแปลงวิธีคิด  วิธีทำ ที่เคยทำมายาวนานอย่างน้อย 72 ปี ตั้งแต่ผมเกิด  เพราะโลกและประเทศไทยเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่เราจะทำแบบเดิมแล้วยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาอย่างที่เคยเป็นมา

เหตุผลสำคัญก็คือ  โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งทำให้ประเทศที่ “ตามไม่ทัน” และยังทำงานด้วยความรู้และ “ภูมิปัญญาแบบเดิม” พ่ายแพ้แก่ประเทศที่ก้าวหน้ากว่า

ประเด็นก็คือ  ความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยในอดีตนั้น  อาศัย  “การลงทุน” เช่นการตั้งโรงงานจากต่างประเทศ และต่อมาก็จากคนไทยที่ร่ำรวยขึ้น  และอาศัย “คนงาน” ที่ทำงานการเกษตรในชนบทเข้ามาทำงานในเมือง  ต่อมาก็อาศัยชาวต่างชาติรอบบ้านเราที่มาหางานที่มีค่าแรงสูงกว่าทำ

ตอนนี้คนไทยที่ย้ายมาทำงานตามโรงงานก็หมดแล้ว  เพราะนอกจากจะไม่มีคนหนุ่มสาวในชนบทแล้ว  คนไทยโดยรวมก็กำลังลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ  ส่วนคนที่ยังทำงานก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  พวกเขาก็ยังทำงาน  “แบบเดิม” และด้วยเทคโนโลยีแบบเดิม  และประสิทธิภาพก็ “เท่าเดิม”  ผลก็คือ  ขนาดของเศรษฐกิจหรือ  GDP ก็ไม่โตหรือโตน้อยมาก  และถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  GDP ก็อาจจะลดลงในอนาคต

การ “ปฏิรูป” ที่ผมจะพูดถึงก็คือ  1)  การเพิ่มจำนวนประชากรคนทำงานและ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงาน  โดยที่ข้อ 1 นั้นดูเหมือนจะยากกว่าเนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยหรือแม้แต่คนที่พัฒนาแล้วทั่วโลก  ต่างก็ไม่อยากมีลูกมากเหมือนเดิม  ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากหรือไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกอย่างที่ต้องการ

การเพิ่มประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุดข้อแรกก็คือ  การศึกษาหรือการสอนนักเรียนให้เก่งขึ้นในเรื่องของเทคโนโลยี  ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งหมดโดย  ข้อแรกจะต้องปรับให้การใช้ทรัพยากรหรืองบที่ใช้ในการสอนนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ซึ่งวิธีที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ง่ายก็คือ  ปิดโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยมากและให้เด็กไปเรียนรวมกันในโรงเรียนขนาดใหญ่  นี่จะทำให้เกิด Economies of Scale  หรือต้นทุนการสอนต่อเด็กแต่ละคนลดลงได้มาก  โดยที่เงินที่ประหยัดได้ก็จะถูกนำไปใช้ในการจ้างครูหรือเพิ่มและปรับปรุงอุปกรณ์การสอนให้ดีขึ้น

วิชาที่จะสอนแบบปฏิรูปนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงไป  ที่ต้องเน้นเป็นพิเศษก็คือ STEM หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่ต้องใช้ความคิดแบบเหตุผลมีตรรกะ  และต้องลดวิชาเกี่ยวกับศิลปะศาสตร์ที่เน้นให้เด็กท่องจำลง  นอกจากนั้น  ต้องเพิ่มวิชาเกี่ยวกับ AI และการใช้ AI กับเด็กทุกคน

อีกวิชาหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นและมีประโยชน์มากก็คือภาษาอังกฤษ  เหตุผลก็เพราะมันเป็นภาษาของ “โลก” และ “ดิจิทัล”  คนที่ภาษาอังกฤษดีจะทำให้สามารถติดต่อกับคนทั่วโลกและเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ  ง่ายกว่าคนที่ไม่เชี่ยวชาญภาษานี้

การเปลี่ยนแปลงที่ผมคิดว่าจะสำเร็จนั้น  จะต้องทำอย่างมีคุณภาพและได้ผลชัดเจน   อย่างครูภาษาอังกฤษนั้น  ควรจะต้องเป็น  Native Speaker หรือคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือใกล้เคียง  ซึ่งปัจจุบันเราแทบจะไม่มี  ดังนั้น  การจ้างครูจึงเป็นเรื่องใหญ่และอาจต้องใช้เงินมาก  อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของ AI ในปัจจุบัน  เราอาจจะสามารถให้ AI สอนโดยมีครูคนเดิมเป็นผู้สนับสนุนก็ได้

รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษานั้น  ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่พอให้คนในแวดวงการศึกษาคิดก็อาจจะบอกทันทีว่า  “ทำไม่ได้”  อาจจะเพราะ  “ไม่มีเงิน”  “ไม่มีครู”  “ยุบโรงเรียนไม่ได้”  “ลดวิชานั้นวิชานี้ไม่ได้”  และอีกร้อยแปด  นั่นก็อาจจะเพราะว่าพวกเขา “ชินกับความคิดแบบเดิม”  ที่ทำมาแล้วอย่างน้อย  70-80 ปีขึ้นไปจนฝังอยู่ในสมองและมีแนวคิดว่าครูคือ  “แม่พิมพ์” ที่ปั๊มเด็กออกมาให้เหมือนกับตนเอง  แต่ถ้าเราจะ “ปฏิรูป” ก็ต้อง  “คิดใหม่” และก็จะต้องมีคนใหม่ ๆ  ที่อาจจะพูดในสิ่งที่  “ไร้สาระที่สุด” เช่น ไม่ต้องมีครูก็ได้  เพราะ “AI สอนได้ และดีกว่า” เป็นต้น

โรงเรียน “ใหม่” นี้  อาจจะไม่ได้มีต้นทุนสูงก็ได้  เพราะถูกออกแบบมาให้มี Economies of Scale สูงมากคล้าย ๆ  กับสินค้าหลายอย่างในช่วงนี้ที่มีของ “คุณภาพดี  ราคาถูก” ในหลาย ๆ  ผลิตภัณฑ์  และเรื่องนี้อาจจะมีผลกระทบไปถึงเรื่องของการเพิ่มประชากรได้ด้วยหากคนที่ไม่ต้องการมีลูกเพราะคิดว่าไม่สามารถให้การศึกษาที่ดีกับเด็กได้  ค้นพบว่าเขาไม่ต้องจ่ายเงินมากมายอะไรกับการเรียนในโรงเรียนใหม่ที่มีคุณภาพ  พวกเขาก็อาจจะอยากมีลูกมากขึ้น  

การปฏิรูปเรื่องที่สองที่ผมว่าจำเป็นมากที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปอีกระดับหนึ่งก็คือ  การปฏิรูปในเรื่องของระบบราชการและการปกครอง  ประเด็นก็คือ  ประสิทธิภาพของระบบการปกครองและการให้บริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าประเทศอื่นที่ก้าวหน้ากว่า  และสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลเท่าที่ควรทั้ง ๆ  ที่โลกและภาคเอกชนมีและใช้มันมานานแล้ว

เรื่องแรกที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ  หน่วยงานจำนวนไม่น้อยที่ให้บริการประชาชน  เช่นกรมที่ดิน  ยังไม่ได้ใช้ดิจิทัลทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีมีมานานแล้ว  เช่น  ระบบ  GPS ที่บอกพิกัดได้ละเอียดมากพอน่าจะเป็นระดับเซ็นติเมตร  แต่เราก็ยังใช้หมุดและคนรังวัดที่ดินจำนวนมหาศาล  ไม่ต้องพูดถึงการโอนและกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ยังอยู่ในรูปของกระดาษ

ผมเองคิดว่าระบบทั้งหมดนั้นควรจะอยู่ในรูป  “On Line” เวลาจะซื้อหรือขายควรจะทำผ่านคอมพิวเตอร์แบบการซื้อ-ขายหลักทรัพย์  เช่นเดียวกับการจ่ายภาษีที่ดินที่น่าจะจ่ายผ่านแพลทฟอร์มและตัดบัญชีธนาคารได้เลย   แต่ทั้งหมดนั้น  ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย

หน่วยราชการอื่น ๆ  ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ยังทำงานอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพและบางทีก็ซ้ำซ้อน  เรื่องเดียวกันแต่เราต้องผ่านหลายหน่วยงานทั้ง ๆ ที่ข้อมูลก็อยู่ในระบบของราชการอยู่แล้ว  ตัวอย่างเช่น  ถ้าจะตั้งโรงงาน  ก็จะต้องขออนุญาตและผ่านการอนุมัติจากหลายหน่วยงานและก็จะต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ   ทำไมเราไม่หาคนออกแบบระบบ  ทำโปรแกรมที่ลิงค์ข้อมูลถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ทุกอย่างสามารถพิจารณาและอนุมัติได้ทันทีจากปลายนิ้วของคนขอและคนอนุมัติ?

แม้แต่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นเช่น  อำเภอและจังหวัด  เองนั้น  ก็ควรจะต้อง “ปฏิรูป” เพราะเหตุผลที่ต้องแบ่งเป็นเขตแดนจำนวนมากก็เพราะในสมัยก่อนนั้นเราไม่มีระบบ Logistic ที่ดี  การเดินทางเข้า “ส่วนกลาง” ใช่เวลานานมาก  อาจจะหลาย ๆ  วัน  แต่ทุกวันนี้  ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ  เป็นออนไลน์หมดแล้ว  การมีอยู่ของเขตการปกครองแบบท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ  แทบไม่มีความจำเป็น  ดังนั้น  อำเภอหรือจังหวัดในปัจจุบันนั้น  จึงมีจำนวนมากเกินไป  สามารถยุบรวมกันได้  อย่างน้อยก็น่าจะซัก 2 จังหวัดเหลือ 1 จังหวัด  เช่นเดียวกับอำเภอที่น่าจะสามารถลดลงได้ในอัตราส่วนที่มากกว่าด้วยซ้ำ

นอกจากจะลดงบประมาณลงได้แล้ว  ยังสามารถเพิ่มคุณภาพหรือประสิทธิภาพให้กับการปกครองหรือการให้บริการได้  เพราะคนจะใช้เวลาน้อยลงในการขอรับบริการ  เนื่องจากมันเป็นดิจิทัล  ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

การปฏิรูปอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าหรือพัฒนาเร็วขึ้นก็คือเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศอื่นและเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความมั่นคงซึ่งระยะหลัง ๆ  นี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ  กล่าวโดยเฉพาะก็คือ  ถ้าความมั่นคงไม่ดีมีศึกสงคราม  เศรษฐกิจก็จะแย่ไปด้วย  ไม่ใช่เฉพาะการค้าขาย  แต่การลงทุนก็จะถูกกระทบ  นักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทุนในประเทศที่กำลังทำสงครามอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับสงครามก็คือเรื่องของความไม่สงบของสังคมภายในประเทศที่มักจะเกิดขึ้นจากอาชญกรรม  การโกง  และจากความไม่พอใจใน “กติกา” ทางสังคมและการเมือง  ซึ่งก็คือเรื่องของรัฐธรรมนูณและกฎหมายต่าง ๆ   เพราะความไม่สงบนั้นทำให้คนไม่มั่นใจที่จะมาลงทุนทำธุรกิจหรือแม้จะแค่มาท่องเที่ยวซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินให้แก่ประเทศมหาศาลและเป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้ GDP เติบเติบโตขึ้นได้ไม่น้อย

การปฎิรูปในเรื่องเหล่านี้ก็คือ  ทำให้ประเทศมีความสงบ  มีความมั่นคง  อาชญากรรมน้อย  และผู้คนมีความพอใจกันทุกฝ่ายในด้านของการเมือง  ซึ่งนั่นก็จะเป็นการส่งเสริมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี  และสุดท้ายก็จะกลับมาส่งเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น  พูดง่าย ๆ  การปฏิรูปเรื่องนี้เราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า   ความมั่นคงและความสงบนั้นมาจากหลาย ๆ มิติ  ไม่ใช่เฉพาะการมีกำลังทางทหารหรือมีอาวุธที่เข้มแข็งในปัจจุบัน  แต่มาจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการเติบโตที่จะทำให้เรามีพลังที่จะต่อสู้และป้องกันศัตรูได้ในระยะยาวด้วย

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น  ว่าที่จริงก็คล้าย ๆ  กับการแถลงนโยบายของรัฐบาลหรือการเสนอนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่มักจะ  “เกิดขึ้นยาก” หลายเรื่องเสนอหรือทำไปแล้วก็ไม่ได้รับความนิยม  เรื่องที่ทำก็ไม่สำเร็จเพราะอาจจะถูกต่อต้านจนคนทำต้องล้มไปก่อน  ดังนั้น  ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้สำหรับประเทศไทยแล้ว มันคงเป็นแค่  “ความฝัน”  แต่ผมเองก็ยังฝันว่าวันหนึ่งมันอาจจะเป็นความจริงได้ 


เจาะลึกหุ้นเวียดนาม ’68 – BULL RUN
2 พ.ย. 2568 | Marriott Sukhumvit (BTS ทองหล่อ) 
08.30–17.00. ดูรายละเอียด:https://www.vietnamvi.com/2025/09/07/vvi68/