นิสัยนักสู้ VS นิสัยนักเลือก

0
230

โลกในมุมมองของ Value Investor  6 ธันวาคม 68

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในยามที่การแข่งขันทางเทคโนโลยีและธุรกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI กำลังร้อนแรงเป็นไฟในช่วงเร็ว ๆ  นี้  คนสองกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรงและมีผลประโยชน์และความก้าวหน้าในอาชีพของตนเองเป็นเดิมพันก็คือ  นักธุรกิจหรือผู้บริหารกิจการและนักลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้น

คนสองกลุ่มนี้จริง ๆ  แล้วเกี่ยวข้องกับสิ่งเดียวกันคือบริษัทหรือหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  แต่ความสำเร็จของแต่ละกลุ่มนั้น  อาจจะมาจากความคิดและการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน  หลายเรื่องอาจจะตรงกันข้าม  เหตุผลก็คือ  นักธุรกิจนั้น  ความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว  มักมาจากมุมมองและนิสัยของสิ่งที่ผมเรียกว่าเป็น  “นักสู้”  ส่วนนักลงทุนนั้น  ความสำเร็จในระยะยาวในความคิดของผมแล้ว  มักจะเป็น  “นักเลือก” 

แน่นอนว่านักลงทุนจำนวนมากอาจจะไม่ได้มองแบบผม  โดยเฉพาะถ้าเขามีสไตล์การลงทุนที่เป็นแนว  “เก็งกำไร” หรือการลงทุนแนวทางแบบอื่นที่ไม่ใช่แนว  “ VI” โดยเฉพาะที่เป็นสไตล์แบบ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เน้นการลงทุนระยะยาวมาก  และถือหุ้นที่ผมเรียกว่า “ซุปเปอร์สต็อก” เป็นหลัก

ผมจะเปรียบเทียบความคิดและนิสัยของคน 2 กลุ่มนี้โดยแยกออกเป็นประเด็นต่าง ๆ  ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหรือค่อนข้างมาก  เริ่มตั้งแต่

ข้อแรก มุมมองของเรื่องระยะเวลาของการบรรลุเป้าหมายหรือการทำงาน  สำหรับนักธุรกิจแล้ว  ทุกอย่างต้องเร็ว  ระยะเวลาต้องสั้น  เช่น  ผลงานนั้น  ช้าที่สุดก็คือ 1 ไตรมาศ  เป้าหมายหรือแผนระยะยาวแม้แต่ 1 ปีนั้น  ในยุคปัจจุบันนั้นแทบจะรับไม่ได้  ไม่ต้องพูดถึง “แผน 5 ปี” อย่างสมัยก่อน

แต่สำหรับ “VI พันธุ์แท้” นั้น  เรามองกันที่ 5-10 ปี  โดยเน้นในเรื่องของการ “ทบต้น” ผลงานหรือผลตอบแทนไปเรื่อย ๆ   ส่วนในแต่ละไตรมาศหรือแต่ละปีนั้น  บางทีเราไม่ได้ทำอะไรเลย  ว่าที่จริงโดยส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรมาหลายปีแล้ว  ตามวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ “นั่งทับเงินสดอยู่” ทั้ง ๆ  ที่นักธุรกิจแทบทั้งโลกรวมถึงนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังคึกคักสุด ๆ  

ข้อ 2  ความรวดเร็วของการตัดสินใจ  ซึ่งสำหรับนักธุรกิจแล้ว  เป็นหัวใจของความสำเร็จ  โดยที่ในยุคใหม่นั้น  ถึงกับเปลี่ยนสุภาษิตจาก “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” เป็น  “ปลาเร็วกินปลาช้า”  แต่ VI แบบเรากลับตรงกันข้าม  เพราะส่วนใหญ่แล้ว  เรามักจะไม่ทำอะไรนอกจากคิดและวิเคราะห์โดยไม่เห่อไปกับ “กระแส”  เรารอจังหวะหรือ “จุดที่งดงามที่สุด” ที่จะ “ลงมือทำ” และได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม  อย่างที่บัฟเฟตต์ชอบพูดเปรียบเทียบว่า  ในกีฬาเบสบอลนั้น  เขาจะตีลูกต่อเมื่อคน  คือพิตเชอร์  ขว้างลูกเข้ามาในจุดที่ตีง่ายที่สุด

ข้อ 3 เป้าหมายการบริหารงานของนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็คือ  Operation หรือการปฏิบัติการ  การสร้างผลิตภัณฑ์ การแก้ปัญหา  และที่สำคัญที่สุดอาจจะเป็นการสร้างรายได้วันต่อวันเดือนต่อเดือนหรือปีต่อปี  แต่นักลงทุนจะมองที่การสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนที่จะป้องกันคู่แข่งไม่ให้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด  เรามองผลกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและเรื่องความซื่อสัตย์ของผู้บริหารว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการลงทุน

ข้อ 4  ในเรื่องของอารมณ์หรือนิสัยของนักธุรกิจนั้น  คนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นคนที่ขยันมาก  มีไฟแรงขนาดที่บางทีต้องนอนในโรงงานอย่างอีลอนมัสก์  เช่นเดียวกับที่ต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี  กล้าเสี่ยง  นอกจากนั้นก็ยังต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูงและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจพนักงาน  แต่สำหรับนักลงทุน  เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ  ความใจเย็น  รอได้ด้วยใจที่สงบ  ไม่ตกใจเวลาตลาดเกิดวิกฤติ  พูดง่าย ๆ  EQ สำคัญกว่า IQ เวลาลงทุน

ข้อ 5 ในเรื่องมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงนั้น  นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องเน้นที่ตัวกิจการเอง  ทั้งเรื่องของพนักงาน สินค้าคงคลัง  หนี้  และที่สำคัญ  การแข่งขัน  ซึ่งจะต้องเฝ้ามองติดตามตลอดเวลา  หลุดไม่ได้เลยในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูงมาก

ในมุมของนักลงทุน  เราเป็น “นักเลือก” ดังนั้น  เราอยากหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ “ไม่จำเป็น” เช่น  เลือกบริษัทที่มี “คูเมือง” หรือ “Moat” ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งบุกเข้ามาแย่งลูกค้าของบริษัทได้  และมีกำไรที่สม่ำเสมอ   เราเลือกบริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงมาก  มีหนี้น้อยหรือมีกระแสเงินสดดีมากจนแทบไม่มีโอกาสล้มละลาย  เป็นต้น

หัวใจสำคัญของเรื่องความเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างนักธุรกิจกับนักลงทุนก็คือ  นักธุรกิจนั้นชอบ “การเติบโต” มาก  แต่นักลงทุนจะมองที่ “ความเสี่ยง” มากกว่า  ผมเองยึดสุภาษิตว่า  “กำไรมากน้อยไม่ว่ากัน  แต่ต้องไม่ขาดทุน” ตามกฎการลงทุน 2 ข้อของบัฟเฟตต์ที่ว่า  “ข้อ 1 อย่าขาดทุน  และข้อ 2  ให้กลับไปดูข้อ 1”

ข้อ 6 พูดถึงเรื่องของการแข่งขัน  ความคิดเกี่ยวกับการแข่งนั้น  นักธุรกิจซึ่งโดยธรรมชาตินั้นต้องเป็น  “นักสู้” ดังนั้น  พวกเขาก็จะต้องชอบที่จะต่อสู้กับคู่แข่ง  “วันต่อวัน”  ผ่านทางการตลาด  การตั้งราคาขายสินค้า  การให้บริการและการมีผลิตภัณฑ์หรือแนวทางใหม่ ๆ  ที่เรียกว่าต้องมี “Innovation”  นักธุรกิจที่ไม่ Active ในด้านของการแข่งขันในยุคปัจจุบันนั้น  ผมคิดว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จ

นักลงทุนเองนั้น  จะมองเรื่องนี้แตกต่างออกไป  เราเป็น “นักเลือก”  เราไม่อยากได้บริษัทที่ต้องแข่งขันเอาเป็นเอาตายที่ทุกคนมีโอกาสแพ้ได้ง่าย  ดังนั้น  เราชอบบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่มีอำนาจการตลาดสูง  เช่น  มีแบรนด์ที่โดดเด่น  หรือมี Network Effects หรือมี Switching Cost สูง ที่ทำให้ไม่สามารถย้ายหรือเลิกใช้สินค้าหรือบริการจากเราได้ง่าย

ข้อ 7 การลงทุนขยายธุรกิจ  เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่นักธุรกิจมักจะทำเมื่อมีเงินเหลือในบริษัท  พวกเขามักจะอยากขยายหรือสร้างโรงงานหรือสถานให้บริการใหม่  พวกเขาอยากขยายหรือทำผลิตภัณฑ์ใหม่  หรือบางคนก็อาจจะสนใจไปซื้อกิจการเพื่อเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัททั้ง ๆ  ที่ไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจใหม่นั้น  พูดง่าย  ๆ  นักธุรกิจชอบที่จะ “ขยายอาณาจักร”

แต่นักลงทุนมักจะมองก่อนว่าเมื่อบริษัทมีเงินเหลือ  เราควรจะประเมินดูก่อนว่าควรจะเอาไปทำอะไรถึงจะได้ผลตอบแทนระยะยาวดีที่สุด  ซึ่งก็คือต้องดูว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนเป็นอย่างไร  คุ้มค่าหรือไม่  ถ้าไม่คุ้ม  เช่น ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของเดิมก็ต่ำอยู่แล้ว  ก็ไม่ต้องขยาย  เก็บเป็นเงินสดหรือคืนเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นดีกว่า  หรือถ้าไปลงทุนในกิจการอื่น  กิจการนั้นโดยปกติให้ผลตอบแทนอย่างไร  ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรทำ  เป็นต้น

ข้อ 8 คือเรื่องของการตอบสนองต่อตลาดหุ้นและราคาหุ้น  นักธุรกิจนั้น  มักจะคิดว่าราคาตลาดของหุ้นของบริษัทคือเครื่องวัดความสำเร็จของตนเอง  ถ้าราคาวิ่งขึ้นสูงและเร็วก็คิดว่าตนเองมีฝีมือในการบริหารกิจการสุดยอด  และบ่อยครั้งก็ทำสิ่งต่าง ๆ  ที่มักทำให้ราคาวิ่งโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นกำลังเป็นกระทิงร้อนแรง  เช่น  ประกาศทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์โดยที่ตนเองไม่มีประสบการณ์หรือความสามารถพอ  การซื้อขายกิจการที่ไม่คุ้มค่าแต่ตลาดหุ้นชอบ  เป็นต้น

แต่นักลงทุนแบบ VI นั้น  มักจะมีอารมณ์ตรงกันข้ามเวลาตลาดหุ้นดี  ยิ่งตลาดหุ้นและนักลงทุนทั่วไปคึกคักมาก  “เรากลัว” และเมื่อตลาดหุ้นตกหนัก  ตลาดเหงา  เรากลับรู้สึกว่ามีโอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จมากขึ้น  เราจะ “โลภ” 

ข้อสุดท้ายก็คือ  ความเป็นอิสระในการคิดและการตัดสินใจต่าง ๆ  จากสังคมและสิ่งแวดล้อม  นักธุรกิจนั้น  ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก  ทั้งลูกค้า คู่ค้า และแรงงาน  คนต่าง ๆ  เหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของเขาตลอดเวลา  บ่อยครั้งเขาไม่สามารถคิดและตัดสินใจแบบอิสระและ “ไม่ลำเอียง” ได้

นักลงทุนนั้นเป็นคนที่มีอิสระมากกว่ามาก  เพราะพวกเขาไม่ต้องสนใจคนอื่นว่าจะคิดหรือทำอะไรหรืออย่างไร  นักลงทุนเป็นคนที่ “ไม่มีหัวโขน” ว่าที่จริงพวกเขาแทบจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยเมื่อเขาจะคิดหรือทำอะไร  เขาไม่ต้องสนใจกระแสที่คนจะต่อว่าหรือมองเขาว่าเป็นคนไม่เก่งหรือลงทุนผิดพลาด  ความสำเร็จของการลงทุนทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับตนเอง  เช่นเดียวกับความล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับตนเอง  คุณมีอิสระที่จะซื้อหรือขายก็ได้  คุณสามารถที่จะรอและไม่ทำอะไรก็ได้  คุณไม่มีจ้าวนายที่จะต้องทำตามคำสั่งหรือประเมินผลงานของคุณ  คุณจะทำผลงานที่ดีเพราะคุณคิดถูก  ผลงานแย่เพราะคิดผิด  ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเอง  โทษใครไม่ได้เลย