.
จากข้อมูลของ Nikkei Asia ล่าสุด กลุ่ม Central Retail ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกจากประเทศไทย ตั้งเป้าที่จะเพิ่มการลงทุนเป็นสองเท่าในเวียดนาม และวางแผนที่จะใช้จ่ายเงิน ประมาณ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายสาขาอย่างน้อย 710 แห่งภายในปี 2569 จากประมาณ 340 แห่งในปัจจุบัน
“เราต้องการเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคนึกถึง” Olivier Langlet ซีอีโอของ Central Retail Vietnam กล่าวกับ Nikkei เกี่ยวกับเป้าหมายในการสร้างรายได้ให้ถึง 1 แสนล้านบาท (มากกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2569
นับตั้งแต่การเข้าลงทุนในเวียดนามในปี 2555 ตลาดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำรายได้ให้กับ Central Retail ในปีที่แล้ว 3.86 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ สาขาในเวียดนามยังเป็นบริษัทที่สร้างรายได้มากที่สุดให้กับ Central Retail นอกประเทศไทยอีกด้วย
ตามที่ Mr. Langlet กล่าว ภายในปี พ.ศ. 2569 ร้านค้าในเครือ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 ตุลาคม 2565
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ประเด็นทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าจะวนเวียนอยู่กับ 3-4 เรื่องคือ อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลก ทุกประเทศต่างก็ประสบกับปัญหาซึ่งเริ่มต้นจากราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นแรงอานิสงค์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้รัสเซียลดการส่งให้กับยุโรปอย่างกระทันหันผสมกับการที่เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฟื้นตัวขึ้นแรงหลังวิกฤติโควิด-19 ซึ่งทำให้มีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นในขณะที่กำลังการผลิตของโลกไม่ได้ปรับตัวขึ้นมานาน อย่างไรก็ตาม “ภาพใหญ่” ของเรื่องเงินเฟ้อก็คือ เศรษฐกิจของอเมริกาเติบโตร้อนแรงเกินไปทำให้การผลิตตามไม่ทัน การแก้ไขก็คือ ต้องลดอัตราเงินเฟ้อลงอย่างรีบด่วน
วิธีการก็คือ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางหรือเฟดที่อยู่ในอัตราที่ต่ำต่อเนื่องมายาวนานน่าจะเป็น 10 ปีหลังวิกฤติซับไพร์มซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในอัตราบางช่วงที่ 1% หรือต่ำกว่านั้น ให้ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง อาจจะเหลือไม่เกิน 2-3% ต่อปี ซึ่งเป็น “อัตราปกติ” ที่จะทำให้เศรษฐกิจโตแบบมีเสถียรภาพ โดยที่อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะทยอยปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น ก็มองกันว่าจะไปถึงประมาณ 4-5% ภายในสิ้นปีนี้และสิ้นปีหน้า จากอัตราปัจจุบันที่ 3-3.25% และนั่นก็คือ “อัตราดอกเบี้ยปกติ” ของอเมริกาที่เคยเป็นมายาวนานก่อนหน้าที่จะลดลงจนเหลือ 1-2% ช่วงหลังซับไพร์มที่เป็นอัตราที่ “ผิดปกติ”
สรุปก็คือ สหรัฐกำลังพยายามนำพาประเทศกลับสู่ “สภาวะปกติ” ที่จะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ในระยะยาวที่เศรษฐกิจอาจจะโตต่อไปเรื่อย ๆ ในอัตราประมาณซัก 3% ต่อปี แต่ผลกระทบในระยะสั้นก็คือ เศรษฐกิจในช่วงนี้ที่โตเร็วเกินไปจะต้องลดลง คือปีหน้าอาจจะติดลบเล็กน้อย เป็น ...
จากประกาศล่าสุดของ FTSE Russell เวียดนามจะยังคงอยู่ในกลุ่มตลาดชายขอบ (Frontier Market) และอยู่ในรายการ Watchlist ของ ตลาดเกิดใหม่ ระดับ 2 (Secondary Emerging Market) โดย FTSE จะประเมินโอกาสในการยกระดับตลาดเวียดนามสู่ ตลาดเกิดใหม่ระดับ 2 อย่างเป็นทางการอีกครั้งในปีหน้า
จากข้อมูลของ FTSE Russell ความคืบหน้าของกระบวนการอัพเกรดตลาดหุ้นของเวียดนามนั้นช้ากว่าที่คาด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบของการระบาดของ Covid-19
ปัจจุบัน เวียดนามยังไม่สามารถนำ ระบบการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ในเวลาเดียวกัน (Delivery versus Payment หรือ DvP) ตามมาตรฐานสากลมาใช้ได้ ฉะนั้นจึงยังไม่ผ่านเกณฑ์ของ FTSE อีกทั้ง ระบบการลงทะเบียนบัญชีที่จะสามารถเอื้ออำนวยให้นักลงทุนต่างชาติ สามารถซื้อหลักทรัพย์ที่มี Foreing Limit ได้ง่ายขึ้นนั้น ยังคงไม่ถูกนำมาใช้
เวียดนามจะยังคงอยู่ในกลุ่มตลาดชายแดน (Frontier) และอยู่ใน Watchlist ของตลาดเกิดใหม่ ระดับ 2 (Secondary Emerging Market) และในเดือนมีนาคม 2023 FTSE จะประเมินโอกาสในการยกระดับตลาดเวียดนามอีกครั้ง
ในประกาศล่าสุด กระทรวงการคลังกล่าวว่าปัญหาของตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่จะถูกพัฒนา
“ปัจจุบัน ตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานจัดอันดับ เวียดนามได้บรรลุเกณฑ์ที่สำคัญมากมาย...
__________________________
สนใจสมัครคอร์ส / สัมมนา / VVI Membership
คลิ๊กดูรายละเอียดและสมัครได้ที่
https://class.vietnamvi.com
ขอบคุณข้อมูลจาก Chainanalysis 2022 (Central & South Asian and Oceania Report)
__________________
สนใจสมัครคอร์ส / สัมมนา / VVI Membership
คลิ๊กดูรายละเอียดและสมัครได้ที่
https://class.vietnamvi.com
บทความ
>>> มูลค่าแบรนด์พุ่ง 44% Viettel รักษาแชมป์ แบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุด ด้าน MB Bank คว้าแบรนด์สุดแกร่ง ส่วน Bach Hoa Xanh เติบโตแรงสุด
Admin - NAN - 0
.
>> Viettel เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดของเวียดนามที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ <<
Viettel (มูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้น 44% เป็น 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นแบรนด์เวียดนามที่มีมูลค่ามากที่สุด ตามรายงานฉบับใหม่จาก Brand Finance ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำ Viettel ยังคงครองตำแหน่งแบรนด์เวียดนามที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน แซงหน้า VNPT อันดับสอง (มูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้น 4% เป็น 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ Vinamilk (มูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้น 18% เป็น 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ทุกๆ ปี Brand Finance จะทดสอบแบรนด์ชั้นนำของโลกหลายพันแบรนด์ โดยประเมินว่าแบรนด์ใดมีมูลค่าและแข็งแกร่งที่สุด Brand Finance เพิ่งเปิดเผยรายงานประจำปีของ Brand Finance Vietnam 50 2022 ซึ่งแสดง 50 แบรนด์เวียดนามที่มีมูลค่าและแข็งแกร่งที่สุด
Viettel คาดการณ์ว่าองค์กรให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพในเมือง ดังที่เห็นได้ชัดเจนทั่วทั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท Viettel Global บริษัทลูกของ telco Viettel และหนึ่งในนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รายงานรายรับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 237...
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 กันยายน 2565
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คน Gen Z ซึ่งเกิดตั้งแต่ช่วงปี 1997 ถึง 2012 หรือคนที่ในวันนี้มีอายุ 10-25 ปี นั้น ถูกนิยามว่าเป็นคนรุ่นที่ “เหงาที่สุด” และก็ผูกพันกับสื่อสังคมยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลมากที่สุด พวกเขาน่าจะมีพี่น้องน้อย และเมื่อเติบโตขึ้นและมีหรือไม่มีคู่ชีวิตก็น่าจะมีลูกน้อยมากหรืออาจจะไม่มีเลย ดังนั้น พวกเขาจึงมักจะไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้มากนักในยามแก่เฒ่า และนั่นทำให้การวางแผนการเงินสำหรับคนเจน Z เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด
ก่อนที่จะเริ่มคิดวางแผนการเงินนั้น คงต้องตั้งสมมุติฐานที่สำคัญเสียก่อนเพราะคนเจน Z นั้นผมคิดว่าจะมีความแตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนโดยเฉพาะคนรุ่นเบบี้บูมอย่างผมค่อนข้างมาก ประการแรกก็คือ เราคงต้องกำหนด “วันตาย” หรืออายุขัยของคนเจน Z ว่าจะต้องเป็นประมาณ 90-100 ปี ไม่ใช่ 7-80 ปีอย่างในปัจจุบัน เหตุเพราะการสาธารณสุขและสุขภาพของคนรุ่นหลัง ๆ ดีขึ้นมาตลอดซึ่งทำให้อายุขัยของคนไทยสูงขึ้น
เรื่องที่สองก็คือ ประเทศไทยกลายเป็น “สังคมคนแก่” ซึ่งทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงมากและในไม่ช้าก็อาจจะไม่เติบโตเลย และคนเจน Z ก็อาจจะประสบกับการที่จะมีรายได้ที่แท้จริงเท่าเดิมไปเรื่อย ๆ หรือถ้าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นก็มักจะมาจากภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้การบริโภคไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คล้าย ๆ กับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ดูเหมือนว่าคนงานทั่ว ๆ ...
สนใจสมัครคอร์ส / สัมมนา / VVI Membershipคลิ๊กดูรายละเอียดและสมัครได้ที่https://class.vietnamvi.com/
บทความ
วิเคราะห์ปัจจัยหลักที่จะทำให้ Long Chau, An Khang, Pharmacity ครองตลาดค้าปลีกยาเวียดนาม
Admin - NAN - 0
.
จากความเป็นไปได้ที่สินค้าประเภทยาจะขาดแคลนอีกครั้งในปี 2566 SSI Research เชื่อว่าผู้ค้าปลีกยารายใหญ่จะสามารถรักษาสินค้าคงคลังที่เพียงพอและได้รับส่วนแบ่งการตลาดที่น่าพอใจ
ตามรายงานของ EIU (Economist Intelligence Unit) รายรับจากเภสัชภัณฑ์ในเวียดนามจะสูงถึง 5.9 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 9.6% จากช่วงเวลาเดียวกัน) ในปี 2564 ในช่วงปี 2560 - 2564 รายได้ด้านเภสัชกรรมมีการเติบโต 7.4% CARG และ EIU คาดการณ์ CAGR ที่ 9.5% ในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการใช้จ่ายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับรายได้ของผู้คน
ที่ผ่านมาบรรดาเชนร้านขายยาสมัยใหม่ต่างๆ ได้เร่งการเปิดสาขาใหม่ตั้งแต่ปี 2564 เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากร้านขายยาแบบดั้งเดิม จากข้อมูลของ IQVIA เวียดนามมีร้านขายยา 55,300 แห่งในปี 2559 โดย 185 แห่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายร้านขายยาสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2564 จำนวนร้านขายยาทั้งหมดจะลดลงเป็น 44,600 แห่ง แต่จำนวนร้านค้าในเครือร้านขายยาสมัยใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 1,600 แห่ง
และในปี 2565 เครือข่ายร้านขายยาสมัยใหม่ขนาดใหญ่ก็ยังคงตั้งเป้าหมายเปิดใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทใหม่จำนวนมากได้เข้าสู่ตลาดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น...
จากข้อมูลของกรมอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัล - กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ในปี 2564 โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกิจกรรมการค้าและบริการของเวียดนาม การเติบโตติดลบของอุตสาหกรรมบริการบางประเภท ส่งผลให้อัตราการเติบโตโดยรวมของภาคบริการและเศรษฐกิจโดยรวมลดลง จากข้อมูลของสำนักงานสถิติทั่วไป ตลอดทั้งปี 2564 การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามอยู่ที่ 2.58% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของเวียดนามยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่มั่นคงที่ 16% โดยมีรายรับสูงถึง 13.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564
สัดส่วนการขายปลีก จากช่องทางอีคอมเมิร์ซ สูงขึ้นแตะระดับ 7% ของยอดขายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการรวมทั่วประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปี 2020
รายงานคาดการณ์ว่าในปี 2565 ขนาดของตลาดอีคอมเมิร์ซค้าปลีกของเวียดนามจะสูงถึง 16.4 พันล้านดอลลาร์ และจำนวนผู้ใช้ บริการช้อปปิ้งออนไลน์ ในปี 2565 จะสูงถึง 57 - 60 ล้านคน
หมวดหมู่การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ
เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องสำอาง (69%)
เครื่องใช้ในครัวเรือน (64%)
เทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ (51%)
หนังสือ เครื่องเขียน ดอกไม้ ของขวัญ (50%)
อาหาร (44%)
ในแง่ของมูลค่าสินค้าที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์นั้น รายงานพบว่าคำสั่งซื้อที่มี
มูลค่าต่ำกว่า 2 ล้านดอง คิดเป็น 25%
มูลค่า...