โลกในมุมมองของ Value Investor    15 กุมภาพันธ์ 2568 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร สัปดาห์ที่แล้ว “หุ้นยักษ์” ตัวหนึ่งซึ่งเคยเป็น “เสาหลัก” สำคัญของตลาดหุ้นมีราคาตกลงมาประมาณ 14% หลังจากประกาศงบรายไตรมาสที่แสดงว่าบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลัก  และกำไรก็เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้และเป็นเลข 2 หลักเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  อย่างไรก็ตาม  ตัวเลขทั้งสองนั้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้พอสมควรและดูเหมือนว่า “อนาคต”ของบริษัทอาจจะเติบโตไม่ได้ดีเท่ากับที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเคยประเมินหรือคาดการณ์ไว้ ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น  ทำให้ค่า PE ที่ “สูงลิ่ว” ในระดับ 40 เท่า  ซึ่งเป็นระดับที่น่าจะสูงเกินไปอานิสงค์จากการที่หุ้นน่าจะ “ถูกคอร์เนอร์” มานานเพราะปริมาณหุ้น Free Float ที่อยู่ในมือของนักลงทุนมีน้อยมาก  และทำให้หุ้นเคยมีค่า PE สูงถึงเกือบ 100 เท่า  ตกลงมาเหลือประมาณ 34 เท่า ซึ่งก็ยังไม่ได้ต่ำนักเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศอื่น ๆ   การที่หุ้นตกลงมาสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้  ถ้าจะเรียกว่า “คอร์เนอร์แตก”  ก็อาจจะยังไม่ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์   อย่างไรก็ตาม  ถ้ามองย้อนหลังไป 3-4 ปี  หุ้นก็ถือว่าลดลงมามากในระดับ 40% ขึ้นไป  ตรงกับอาการคอร์เนอร์แตกได้  นั่นก็คือ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor       8 กุมภาพันธ์ 2568 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 68 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้น 20 จุด และถือว่าเป็นการดีดตัวขึ้นแรงหลังจากที่ตกลงมาตั้งแต่ต้นปีถึงเกือบ 10% และเป็นตลาดหุ้นที่  “เลวร้ายที่สุดในโลก” อย่างไรก็ตาม  ในวันนั้น  หุ้น “ขนาดกลาง” ขนาด Market Cap. ระดับประมาณ 10,000 ล้านบาทตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเกิดอาการ   “Corner แตก” คือราคาหุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 30% มูลค่าหายไปประมาณ 3,000 ล้านบาท  หุ้นมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกว่า 100 ล้านหุ้น คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหตุผลที่เห็นได้ชัดน่าจะมาจากการประกาศงบการเงินที่แสดงให้เห็นว่ากำไรของบริษัทนั้น  “ต่ำกว่าคาดมาก”  แม้ว่ารายได้จะยังคงเติบโต  ธุรกิจมีการขยายตัวและขยายสาขา—อย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่อดีตที่ขยายตัวมาตลอด  เพราะร้านของบริษัทนั้น  มีความโดดเด่นและอยู่ใน “เมกาเทรนด์” ของคนที่รักสุขภาพ  เป็นสินค้า “ไฮเอนด์” ที่มี “ราคาแพงแต่คนกินแน่น”...
โลกในมุมมองของ Value Investor    1 กุมภาพันธ์ 2568 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ - 6.1% และเป็นการตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว  ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  หุ้นที่ตกลงมานั้นเกิดขึ้นในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและแทบทุกกลุ่มหุ้น เช่น หุ้น “เก็งกำไร”  หุ้น “ปั่น”  หุ้น “VI” และหุ้น “ปันผล”  ไม่ต้องพูดถึงหุ้น “เติบโต” หรือหุ้น “คอร์เนอร์” ที่เคยเป็น  “ดารา” ที่มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงก่อนและทำให้ราคาหุ้นแพงมากที่มีค่า PE สูงกว่าปกติมากที่  “คอร์เนอร์แตก” ราคาหุ้นตกลงมามากทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับบริษัท การตกลงมาของหุ้นรอบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ  บางทีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น  เพราะเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นยังคงอยู่ “ครบถ้วน” ไม่ว่าจะเป็น 1) การเติบโตของ GDP ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นในปีนี้  2) อัตราดอกเบี้ยที่  “คงจะไม่ลด” และก็จะยังรบกวนไม่ให้หุ้นขึ้นไปได้ทั้งในระดับโลกและของไทย 3) กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะไม่ดีขึ้นเพราะความต้องการสินค้าในประเทศที่ยังอ่อนแออานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี  การใช้จ่ายรายการใหญ่เช่น  การซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว  และ  4) หุ้นโดยรวมมีราคาแพงวัดจากค่า PE ที่สูงถึง 18...
โลกในมุมมองของ Value Investor       25 มกราคม 2568 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตลาดหุ้นไทยนั้น  เป็น “แหล่งที่อยู่” ของเศรษฐีไทยมาน่าจะไม่น้อยกว่า 20 ปีแล้ว  ความหมายก็คือ  คนรวยในประเทศไทยนั้น  ตั้งแต่อย่างน้อยก็ 20 ปีมาแล้ว  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในจำนวนและปริมาณที่คิดเป็นเงินแล้ว  “มาก”  เมื่อเทียบกับทรัพย์สินอย่างอื่น  เช่น  อสังหาริมทรัพย์  ทอง  พันธบัตร  หุ้นกู้  หรือเงินสด  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  ถ้าจะบอกว่าใครรวยแค่ไหนจริง ๆ  ก็จะต้องไปดูว่าเขาถือหุ้นอะไรในตลาดจำนวนเท่าไร  มากกว่าจะบอกว่าเขาทำธุรกิจอะไรหรือเป็นเจ้าของที่ดินที่ไหนและรวยแค่ไหนโดยที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมีค่าเท่าไรและสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ไหม โชคดีที่ว่าข้อมูลการถือหุ้นของบุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นอย่างน้อย 0.5% ของบริษัทจดทะเบียนนั้น  ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดเผยให้เป็นข้อมูลสาธารณะที่ทุกคนเข้าไปดูได้  แม้ว่าจะปรับข้อมูลให้ทันสมัยเพียงประมาณปีละหน  เราก็พอที่จะประมาณได้คร่าว ๆ  ว่าใครมีความมั่งคั่งจากการถือหุ้นคิดเป็นเงินอย่างน้อยเท่าไร  กี่ร้อยหรือกี่พันล้านบาทสำหรับคนที่เข้าข่ายว่าเป็น  “เศรษฐี” หุ้น  และข้อมูลนี้  โชคดีอีกที่มีวารสารการเงินธนาคารได้จัดทำและเผยแพร่บทวิจัยทุกปีมานานน่าจะเกือบ 20 ปีแล้ว  ซึ่งนี่ก็จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ผมนำมาวิเคราะห์ต่อในบทความนี้ ผมจะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล “เศรษฐีหุ้นไทย” ตั้งแต่ประมาณสิ้นปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาเป็น “วิกฤต” ตามวิกฤตซับไพร์มในอเมริกา  ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาประมาณ 50%...
โลกในมุมมองของ Value Investor    18 มกราคม 2568 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เกือบทุกสัปดาห์จะมีหุ้นที่บ่อยครั้งถูกคิดว่าเป็น  “หุ้นดี” หรือ “หุ้นสุดยอดแห่งยุคสมัย” เกิดอาการ  “คอร์เนอร์แตก” นั่นคือ  ราคาหุ้นตกลงมาอย่างแรงโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือผิดปกติกับตัวบริษัท  และหลังจากนั้นอีกหลายวัน  ราคาหุ้นก็ยังคงตกลงมาต่อเนื่อง  จนบางทีราคาตกลงไปเกินครึ่งก่อนที่ทางตลาดหลักทรัพย์และ/หรือบริษัทจะแถลงว่าเกิดอะไรขึ้น? ส่วนใหญ่แล้ว  คำตอบก็คือ  ไม่มีอะไร!  บริษัทยังดำเนินการตามปกติ  ผลประกอบการก็ปกติ  บางทีจะบอกว่าดีขึ้นด้วยซ้ำ   เหตุการณ์หุ้นตกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการขายหุ้นที่อาจจะถูกบังคับขายหรือ Force Sale โดยสถาบันการเงินที่รับจำนำหุ้นไว้จำนวนมากที่ต้องการเงินคืนและคนจำนำ  ซึ่งบางครั้งก็คือผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท  ไม่มีเงินสดที่จะไปใช้คืนเงินที่กู้มามากมาย และเงินที่กู้มาก็เพื่อที่จะไป “ไล่” ซื้อหุ้นจำนวนมากจนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นสูงลิ่ว   ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่เรียกว่าการ  “Corner หุ้น” ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาหรือมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงไปมาก  และทำให้คนทำมีความมั่งคั่งสูงเกินความเป็นจริงไปมาก  และก็เป็นอยู่อย่างนั้นมา  บางทีหลายปี  มองในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะอธิบายได้ว่า  ราคาหุ้นปกตินั้นถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อหุ้นและปริมาณหุ้นที่คนต้องการขายที่เรียกว่า “หุ้น Free Float”  ซึ่งโดยปกติแล้ว  ราคาของหุ้นก็จะอยู่ที่การประเมินหรือคาดการณ์ตามพื้นฐานของกิจการเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกำไรของบริษัทและมุมมองในอนาคตว่าจะเติบโตไปแค่ไหนอย่างไร พูดง่าย ๆ  ราคาหุ้นปกติจะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อของคนที่ลงทุนที่เน้นพื้นฐานของกิจการ  และ  เช่นเดียวกับคนที่ต้องการขายหุ้นที่ประเมินมูลค่าพื้นฐานเช่นเดียวกัน  เมื่อคนสองฝ่ายเจอกันในปริมาณหุ้นที่เท่ากัน  ราคาจึงตกลงกันและเกิดเป็น  “ราคาตลาด” ที่เหมาะสม  เช่น  ถ้าเป็นสถาบันการเงินระดับปานกลาง ...

Sudden Death

0
โลกในมุมมองของ Value Investor        11 มกราคม 68 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร สัปดาห์ที่แล้ว  หุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาถึง “ฟลอร์” ที่ 30% เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน  และวันที่ 4 ก็ยังตกต่อจนราคาลดลงถึงกว่า 70%  มูลค่าตลาดหรือ Market Cap.ของหุ้นลดลงจากระดับหมื่นล้านบาทเหลือเพียงประมาณ 3 พันล้านบาทในเวลาเพียง 3-4 วัน  อาการแบบนี้ผมอยากจะเรียกว่า  “Sudden Death” หรือ  “การตายที่เกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่นาทีจากสาเหตุอะไรก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความรุนแรง” เพราะบริษัทหรือหุ้นที่กล่าวถึงนั้น  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย  ไม่มีข่าวที่กระทบทางด้านลบกับการดำเนินงานโดยตรงแม้ว่าตลาดหุ้นในช่วงนั้นอาจจะตกลงมาประมาณ 2-3% จากความกังวลในระดับโลกที่เข้ามากระทบกับตลาดไทย  แต่ผลกระทบกับตัวบริษัทมีน้อยมาก  อย่างไรก็ตาม  คำชี้แจงของบริษัทหลังจากหุ้นตกลงมาแล้วก็คือ  ผู้บริหารถูกบังคับขายหุ้นที่นำไปจำนำไว้กับสถาบันการเงินจำนวนมาก  ดังนั้น  สาเหตุที่หุ้นตกลงมาหนักมากระดับ  “ตาย” ทันทีก็คือการที่หุ้นที่ถูกบังคับขายนั้น  “ไม่มีคนรับ”  ราคาหุ้นจึงตกลงมาแบบไม่มี “พื้น” ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นในช่วงที่หุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 3 วันติดต่อกันนั้นมีเพียง 36 ล้านหุ้น  คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 113 ล้านบาท  ในขณะที่เงินกู้ที่ใช้หุ้นจำนำและจะต้องขายหุ้นเพื่อเอาไปคืนเงินกู้นั้น  ว่ากันว่าอาจจะเป็นหลัก “พันล้านบาท” ดังนั้น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor         4 มกราคม 2568 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปี 2025 และอาจจะปีต่อ ๆ ไปอีกหลายปี  ตลาดหุ้นไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักลงทุนคุ้นเคยมานาน  อาจจะเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป  การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น  จะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่จะอยู่อย่างเดิมต่อไปอีกหลายปี  กลายเป็นเรื่องปกติ  หรือที่เราเรียกว่าเป็น  “New Normal” การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจาก  “การเปลี่ยนแปลงหลัก” ของเศรษฐกิจไทย  จากเศรษฐกิจโตเร็ว  เป็นเศรษฐกิจโตช้า  ซึ่งเป็นผลจากสังคมไทยที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  คนเกิดใหม่น้อย  ในขณะที่คนตายมากขึ้นเรื่อย ๆ  เช่นเดียวกับคนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอายุน้อยมาก  เพราะภายในอีกไม่กี่ปี  แต่ละปีจะมีคนสูงอายุที่จะ “เกษียณ” ปีละเป็นล้านคน  ในขณะที่เด็กที่เติบโตถึงวัยทำงานใหม่มีแค่ 6-700,000 คนเป็นต้น  จำนวนคนทำงานที่ลดลงในแต่ละปีนั้น  จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยากมาก  ถ้าไม่ติดลบก็อาจจะดีมากแล้ว  ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะเติบโตไปได้อย่างไร?  และถ้าเศรษฐกิจเหงาลงเรื่อย ๆ   ตลาดหุ้นจะโตไปได้อย่างไร? New Normal แรกที่เกิดขึ้นชัดมากโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2024 ก็คือ  ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ลดลงหนักมากและอยู่ในระดับ 30,000 ล้านบาทบวกลบ  จริงอยู่  ในวันที่ตลาดหุ้นบวก  “แรง”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 ธ.ค. 67 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พอถึงสิ้นปี  ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการประเมินผลตอบแทนการลงทุนของตลาดหุ้นและปรากฎการณ์สำคัญต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นระหว่างปีเพื่อที่จะเก็บไว้เป็นบทเรียนของปีต่อไปและอนาคต ปี 2024 หรือ 2567 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกเพียง 1 วันทำการนั้น  ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 1,402 จุด จากสิ้นปีที่แล้วที่ 1,416 จุด เท่ากับว่าติดลบประมาณ 1% หรือพูดง่าย ๆ  ว่า  “เสมอตัว” และเป็นอีกปีหนึ่งที่ “สูญหายไป” หลังจากที่ปี 2566 ตลาดหุ้นไทยก็ติดลบไปประมาณ 15%  และทั้งสองปีก็เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเกือบจะ  “แย่ที่สุดในโลก” เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ทำผลตอบแทนที่ดีกันทั่วหน้าในระดับ “เลขสองหลัก” และนั่นก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็น  “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” คือเป็นตลาดหุ้นที่ไม่ให้ผลตอบแทนเลยในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา  “อย่างเป็นทางการ”  เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อสิ้นปี 2014 อยู่ที่ 1,498 จุด สูงกว่าดัชนีในวันนี้ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 10 ปีเต็ม ปี 2024 นั้น  มองในภาพใหญ่ก็คือ  เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวต่อจากปี...
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor    7 ธันวาคม 2567 สังคมไทยในปัจจุบันนั้นคนค่อนข้างจะเน้นเรื่องการมีเงินสูงมาก  คนคิดว่าถ้ามีเงิน  เขาคงมีความสุขมาก  ยิ่งมีเงินมากเท่าใด  ความสุขก็คงมีมากขึ้นเท่านั้น  เขาคิดว่าเงินซื้อความสุขได้  แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?   ผมจะตอบในฐานะของคนที่เคยแทบจะไม่มีเงินเลยเป็นเวลาหลายสิบปีตั้งแต่เกิด   และต่อมาก็มีเงินมากพอที่จะใช้ซื้อความสุขได้แทบทุกอย่างที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่ก่อนที่จะพูดถึงว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้หรือไม่นั้น  เราจำเป็นต้องนิยามเสียก่อนว่าอะไรคือความสุข?  เพราะความสุขนั้น  ไม่มีตัวตน  มันคือความรู้สึกของคนแต่ละคน  ผมยังจำได้ว่าท่านพุทธทาสภิกขุ  พระนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากสมัยที่ผมบวชเมื่อประมาณ 50 มาแล้วเคยบอกว่า  ความสุขก็คืออารมณ์ความรู้สึกที่เราอยากให้เป็นอยู่อย่างนั้น  ส่วนความทุกข์ก็คือสิ่งที่เราอยากจะหนีไปให้พ้น  ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเป็นคำนิยามที่ง่ายดี  ตรงไปตรงมา  ไม่ต้องถกเถียงว่าเป็นความสุขหรือความทุกข์แบบไหนหรือของใคร ถึงยุคสมัยนี้ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สูงมาก  เราก็รู้ว่าความสุขนั้นมีหลายแบบ  แต่ละแบบจะมีความรู้สึกหรืออารมณ์ที่แตกต่างกัน  และสามารถ “วัดได้” ด้วยปริมาณของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในร่างกายเวลาที่เรา  “มีความสุข”  ความสุขแบบแรกก็คือความสุขแบบ Serotonin  ซึ่งเป็น  “ความสุขทางร่างกาย” เป็นหลัก  ตัวอย่างความสุขแบบนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องของการมีความสุขเมื่อได้กินอาหารอร่อย   นอนหลับพอเพียง  การมีอารมณ์ที่ดีเมื่ออยู่ในบรรยากาศที่ดี  การที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย  การปราศจากความเครียดและความกังวล  เหล่านี้เราก็จะ “มีความสุข” ซึ่งร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนเซอโรโทนินและทำให้เรารู้สึก “สบายและมีความสุข” ประเด็นก็คือ  การที่จะมีความสุขแบบเซอโรโทนินนั้น  เราสามารถจะใช้เงินซื้อหรือไม่  คำตอบก็คือ  ถ้าจนมากจนไม่สามารถที่จะซื้ออาหารที่มีคุณภาพดี  หรือเวลาเจ็บป่วยไม่สามารถใช้บริการการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพเพียงพอ  ความสุขก็คงจะหายไปมาก  และความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นก็คงทำลายความสุขส่วนนี้ไปมาก   ...
โลกในมุมมองของ Value Investor  30 พฤศจิกายน 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะมีกรณีการ “โกง” ครั้งใหญ่ ๆ  ระดับ “พันหรือหมื่นล้านบาท”เกิดขึ้นมากในสังคม  และคนที่โกงก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีเงินมาก  บางคนในระดับ “ซุปตาร์” หรือ “มหาเศรษฐี” นอกจากนั้น  ก็เป็นทั้งคน “รุ่นใหม่” และ “รุ่นเก่า”   เกิดอะไรขึ้น?  และจะแก้ไขกันอย่างไร? ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น  มาทบทวนกันว่าทำไมคนจึงโกงเสียก่อน  คำตอบของผมก็คือ  คนนั้นมี “ยีนโกง” กันทุกคน  เพราะคนที่ไม่โกงเลยตั้งแต่สมัยหมื่นปีแสนปีนั้น  ตายหรือสูญพันธุ์กันไปหมดแล้ว  มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่นั้นจะต้องมี “ยีนโกง” กันทุกคนถึงจะเอาตัวรอดได้   และนี่ก็เหมือนกับยีนอื่น ๆ  ที่ติดอยู่กับตัวมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เช่น  “ยีนโลภ” “ยีนโกรธ” “ยีนหลง” และที่สำคัญที่สุดก็คือ  “ยีนเห็นแก่ตัว” ที่เป็น “ยีนแม่ของทุกยีน”  ที่กล่าวถึง แน่นอนว่าคนก็ยังมียีนที่  “ไม่เห็นแก่ตัว” อยู่ด้วย  แม้ว่ามันจะน้อยกว่า  เช่นเดียวกับยีนที่ “ไม่โกง” และอื่น ๆ  ที่จะกระตุ้นให้คนเราทำและแสดงออกให้เพื่อนมนุษย์เห็น  เพราะว่าเราเป็น “สัตว์สังคม”...

MOST POPULAR