โลกในมุมมองของ Value Investor 30 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่กำลัง “เหี่ยวเฉา” ลงเรื่อย ๆ นั่นก็คือ หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผลเพิ่มเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากปันผลปกติประจำปีจำนวน 2.5 บาทต่อหุ้น
หลังจากประกาศ ราคาหุ้นในตลาดก็ปรับตัวขึ้น 3.5 บาทในวันแรก และหลังจากวันนั้นหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปอีก 4 วันที่ 3.5 1.5 3 และ 3.5 บาท ตามลำดับ รวมแล้วหุ้นขึ้นไป 5 วัน คิดเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือขึ้นไปจากปันผลที่ประกาศถึง 6 เท่า โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ
หุ้นอีกตัวหนึ่งที่เงียบเหงามานานมากและราคาก็ไหลลงไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ดำเนินงานไปตามปกติ มีกำไรดีและมีความแข็งแกร่งช่วงหนึ่งอยู่ในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” ของหุ้นขายสินค้าและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจจะอยู่ในช่วงตกต่ำยาวนาน รายได้และกำไรของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นน้อย ราคาหุ้นจึงแทบจะนิ่งตามภาวะตลาด
แต่แล้วบริษัทก็ประกาศว่าจะซื้อหุ้นคืนคิดเป็นเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 6-7% ของหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด และทันทีที่ประกาศ หุ้นก็ปรับตัวขึ้น 9%...
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ก็ได้รับคำถามจากนักลงทุนที่น่าจะลงทุนในตลาดเวียดนามว่า “แล้วตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไร” เพราะเวียดนามอาจจะอยู่ในรายชื่อของประเทศที่จะถูกอเมริกาขี้นภาษีสินค้านำเข้า
เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมาก ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีปัญหามากไหมหลังจากการประกาศรายชื่อรอบต่อมาของประเทศที่จะถูกขึ้น “บัญชีดำ” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้?
คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเมื่อจีนถูกปรับขึ้นภาษีรอบแรกที่ประมาณ 10% ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร เพราะเรื่องนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกเล่นงาน ตลาดหุ้นรับรู้ข่าวนี้มาหลายเดือนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปรับขึ้นขนาดไหน ถ้าปรับขี้นไม่ได้มากกว่าที่คาด ตลาดหุ้นก็จะไม่ตกลงมา ดังนั้น กรณีของเวียดนาม เราก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการประกาศ
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ ในระยะยาว การค้าขายระหว่างเวียดนามกับอเมริกาและประเทศอื่นจะดีขึ้นหรือแย่ลง เหตุผลก็เพราะว่าเวียดนามนั้นอาศัยการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของตนเองมาก และที่ GDP ของเวียดนามโตเอา ๆ ในช่วงอย่างน้อย 10 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะเวียดนามมีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะที่คุณภาพไม่แพ้คนอื่น และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะศักยภาพของคนเวียดนามที่สูงและมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า
ความเห็นของผมก็คือ ถ้าไม่นับเรื่องของสงครามการค้าและ “ระเบียบโลกใหม่” ที่หลายคนพูดว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น Globalized คือเปิดกว้างและไม่มีกำแพงขวางกั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลายเป็นโลกที่ปิดตัวลงไปมากด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำลังทำ เวียดนามก็จะต้องเจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วแบบ “ไม่มีอะไรมาขวางได้” อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่คือ ใต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์เมื่อซัก 5-60 ปีก่อน และเกิดขึ้นกับมาเลเซีย ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 15 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง การเมือง เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย ทิศทางของอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน หุ้นจะขึ้นหรือลง น่าลงทุนหรือไม่ ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปีซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา “เปิดประเทศ” และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้าและการเงินของโลก
เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ “โลกเสรี” อย่างเด็ดขาดและมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ “Marshall Plan” ที่ใช้เงินมหาศาล
ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าไม่ช่วย ประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้นและในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต สรุปก็คือ อเมริกาที่เคย “อยู่เฉย ๆ และไม่ยุ่งกับใคร” ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป “ยุ่ง” หรือช่วยประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ โลกเข้าสู่ช่วง “สงครามเย็น” ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ การค้าและอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย
“โลกเสรี” เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 8 มีนาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สำหรับนักลงทุนแนว VI รวมถึงผมเองนั้น นอกเหนือจากความรู้เรื่อง “จิตวิทยา” การลงทุนหรือจิตวิทยาสังคมอื่น ๆ ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมานั้น ถึงวันนี้คงต้อง “อัพเดท” ความรู้ใหม่อีกข้อหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญและจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปรวดเร็วทั่วโลกผ่านเครือข่ายสื่อสังคมดิจิทัลซึ่งสามารถ “สร้างกระแส” หรือกระตุ้นความรู้สึกหรือความคิดของคนให้รุนแรงขึ้นมากจนทำให้เกิดการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่อาจจะกระทบกับการลงทุนของเราทั้งในทางที่ดีและร้าย แต่ในบทความนี้ผมจะพูดในทางที่ร้ายเป็นหลัก เพราะผลกระทบมันแรงเนื่องจากคนจะตอบสนองกับเรื่องที่ร้ายมากกว่าดี
ประเด็นที่จะพูดก็คือเรื่องของ “Hate Speech” หรือคำพูดที่โจมตี ใส่ร้าย คนอื่นหรือกลุ่มคนอื่นในประเด็นสารพัดทั้งทางร่ายกาย จิตใจ ความคิด เชื้อชาติ ไม่ว่าสิ่งที่พูดหรือเขียนในสื่อนั้นจะจริงหรือถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการพูดที่อคติหรือเป็นเรื่องของการอิจฉาริษยาหรือไม่ โดยในเวอร์ชั่นของไทยซึ่งเรารู้จักกันดีก็คือ ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” นั่นก็คือ มีคอมเม้นต์จำนวนมากมายที่ด่าว่าคนบางคนที่พวกเขา “เกลียด” ไม่เห็นชอบกับสิ่งที่เจ้าตัวทำหรือแสดงความคิดเห็น บ่อยครั้งพวกเขาก็จะเรียกร้องให้ “แอนตี้” กิจกรรมหรือกิจการที่เจ้าตัวทำอยู่
ในกรณีที่รุนแรง ผลกระทบกับเจ้าตัวก็จะหนักจนแทบ “หายนะ” ตัวอย่างเช่น หากเจ้าตัวเป็น “ดารา” ที่ต้องอาศัยลูกค้าที่เป็น “คนดู” จำนวนมาก คนจำนวนหนึ่งซึ่งบางทีก็อาจ
จะมากที่ “เกลียด” เขาก็จะไม่ดูและเลิกดู ผู้สร้างภาพยนต์ก็กลัวว่าหนังจะไม่ได้รับการยอมรับเพราะมีดาราคนนั้นก็จะเลิกจ้าง บริษัทที่ต้องการโฆษณาก็จะไม่จ้างดาราที่ถูกคนจำนวนมากแอนตี้แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความสามารถและเหมาะสมกับงาน แต่บังเอิญไปทำให้คนเกลียดและแสดงออกผ่านสื่อสังคมที่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างของธุรกิจหรือบริษัทเองนั้น ในกรณีของไทยก็มีปรากฎการณ์...
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มีนาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ครบ 2 เดือนของปี 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1204 จุดหรือตกลงไปประมาณ 14% ซึ่งก็เป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” นับจากต้นปี ราคาของหุ้นจำนวนมาก รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดตกลงมาแรงมาก บางตัวระดับหายนะแบบ “คอร์เนอร์แตก”
การตกลงมาของหุ้นนั้น ดูเหมือนจะไม่เลือกว่าเป็นหุ้นแบบไหน และบางทีก็ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใดชัดเจน ตัวอย่างเช่น เรื่องของผลประกอบการซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อการขึ้นหรือลงของราคาหุ้น หุ้นที่ผลประกอบการตกต่ำลงมากนั้น ราคาก็มักจะ “ถล่ม” ทันที แต่หุ้นบางตัวที่มีผลประกอบการที่ดี บางทีดีมากจนน่าประทับใจ แต่หุ้นก็ยังตกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อมีการประกาศผลประกอบการ
นั่นเป็น “ความจริงที่โหดร้าย” สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการรวมถึงเหล่า VI ที่ประเมินและคาดการณ์ผลการดำเนินการของบริษัท และมักจะจดจ้องกับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัททุกไตรมาศ ถ้าประกาศออกมาดีตอนปิดตลาด ปกติพวกเขาก็จะมีความสุขและนอนหลับสบายทั้งคืนและบางทีก็ฝันว่า “พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์หนอ?”
แต่เมื่อตลาดเปิด สิ่งที่พบกลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นร่วงลงไปแรง ทั้ง ๆ ที่ 2 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ทยอยตกลงมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว บางทีการประกาศผลประกอบการที่ดีอาจจะทำให้มีคนสนใจเข้ามาไล่ราคากันมาก และนั่นอาจจะเป็นโอกาสที่คนที่ “จ้องขายหุ้น” ตัวนั้นมาอย่างต่อเนื่อง ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 กุมภาพันธ์ 2568
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การต่อสู้หรือแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนใน “สงครามเย็น” ยุคใหม่ดูเหมือนว่ากำลังรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ตั้งแต่การเมืองระหว่างประเทศไปจนถึงเทคโนโลยีซึ่งเป็นเครื่องวัดว่าใครจะเป็น “ผู้ชนะ” และดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งที่สำคัญมากในโลกยุคใหม่ก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นที่เป็นตัวนำของประเทศ ซึ่งนาทีนี้ก็คือ “หุ้นเท็ค” ขนาดใหญ่
ก่อนหน้านี้ซัก 1-2 ปี ดูเหมือนว่าอเมริกาจะนำไปมาก อานิสงค์จากเทคโนโลยี AI ซึ่งนำโดยหุ้น NVIDIA ตามด้วย TESLA หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม การปรากฏขึ้นของ DEEPSEEK ซึ่งสามารถสร้าง AI ได้ดีใกล้เคียงกับ CHAT GPT ของอเมริกาได้ด้วยต้นทุนเพียงเสี้ยวเดียวเมื่อประมาณ 2-3 เดือนก่อนก็ทำให้ภาพเปลี่ยนแปลงไปมาก และดูเหมือนว่าการแข่งขันจะใกล้เคียงกันขึ้นมาก หลายคนคิดว่าจีนกำลังจะเอาชนะอเมริกาได้ในเวลาอีกไม่นาน
และสัญญาณอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเท็คขนาดใหญ่ของจีน ที่เคยเงียบเหงาและไม่ไปไหนมานานก็เริ่มขยับและวิ่งขึ้นมาอย่างแรงและเหนือกว่าหุ้นอเมริกาไปแล้วในช่วงประมาณ 1 ปี ที่ผ่านมา ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปรับตัวขึ้นไปถึงประมาณ 40% และจากต้นปีนี้ก็ปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณ 20% ไม่ต้องพูดถึงหุ้นไฮเท็คที่ปรับตัวขึ้นไปสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงพบและจับมือกับแจ็คหม่าซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนนโยบายเป็นการสนับสนุนหุ้นเท็คขนาดใหญ่แทนที่จะ “จัดการ” กับบริษัทยักษ์เหล่านั้นอย่างในอดีต
การวิ่งของหุ้นไฮเท็คจีนอย่างแรงนั้น เป็นอาการเดียวกับหุ้นไฮเท็คยักษ์ในตลาดสหรัฐ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 15 กุมภาพันธ์ 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ที่แล้ว “หุ้นยักษ์” ตัวหนึ่งซึ่งเคยเป็น “เสาหลัก” สำคัญของตลาดหุ้นมีราคาตกลงมาประมาณ 14% หลังจากประกาศงบรายไตรมาสที่แสดงว่าบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลัก และกำไรก็เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้และเป็นเลข 2 หลักเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทั้งสองนั้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้พอสมควรและดูเหมือนว่า “อนาคต”ของบริษัทอาจจะเติบโตไม่ได้ดีเท่ากับที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเคยประเมินหรือคาดการณ์ไว้
ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้น ทำให้ค่า PE ที่ “สูงลิ่ว” ในระดับ 40 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่น่าจะสูงเกินไปอานิสงค์จากการที่หุ้นน่าจะ “ถูกคอร์เนอร์” มานานเพราะปริมาณหุ้น Free Float ที่อยู่ในมือของนักลงทุนมีน้อยมาก และทำให้หุ้นเคยมีค่า PE สูงถึงเกือบ 100 เท่า ตกลงมาเหลือประมาณ 34 เท่า ซึ่งก็ยังไม่ได้ต่ำนักเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศอื่น ๆ
การที่หุ้นตกลงมาสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวโดยที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่า “คอร์เนอร์แตก” ก็อาจจะยังไม่ชัดร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองย้อนหลังไป 3-4 ปี หุ้นก็ถือว่าลดลงมามากในระดับ 40% ขึ้นไป ตรงกับอาการคอร์เนอร์แตกได้ นั่นก็คือ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 8 กุมภาพันธ์ 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 68 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้น 20 จุด และถือว่าเป็นการดีดตัวขึ้นแรงหลังจากที่ตกลงมาตั้งแต่ต้นปีถึงเกือบ 10% และเป็นตลาดหุ้นที่ “เลวร้ายที่สุดในโลก” อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น หุ้น “ขนาดกลาง” ขนาด Market Cap. ระดับประมาณ 10,000 ล้านบาทตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเกิดอาการ “Corner แตก” คือราคาหุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 30% มูลค่าหายไปประมาณ 3,000 ล้านบาท หุ้นมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกว่า 100 ล้านหุ้น คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท
เหตุผลที่เห็นได้ชัดน่าจะมาจากการประกาศงบการเงินที่แสดงให้เห็นว่ากำไรของบริษัทนั้น “ต่ำกว่าคาดมาก” แม้ว่ารายได้จะยังคงเติบโต ธุรกิจมีการขยายตัวและขยายสาขา—อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตที่ขยายตัวมาตลอด เพราะร้านของบริษัทนั้น มีความโดดเด่นและอยู่ใน “เมกาเทรนด์” ของคนที่รักสุขภาพ เป็นสินค้า “ไฮเอนด์” ที่มี “ราคาแพงแต่คนกินแน่น”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 กุมภาพันธ์ 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ - 6.1% และเป็นการตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นที่ตกลงมานั้นเกิดขึ้นในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและแทบทุกกลุ่มหุ้น เช่น หุ้น “เก็งกำไร” หุ้น “ปั่น” หุ้น “VI” และหุ้น “ปันผล” ไม่ต้องพูดถึงหุ้น “เติบโต” หรือหุ้น “คอร์เนอร์” ที่เคยเป็น “ดารา” ที่มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงก่อนและทำให้ราคาหุ้นแพงมากที่มีค่า PE สูงกว่าปกติมากที่ “คอร์เนอร์แตก” ราคาหุ้นตกลงมามากทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับบริษัท
การตกลงมาของหุ้นรอบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ บางทีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นยังคงอยู่ “ครบถ้วน” ไม่ว่าจะเป็น 1) การเติบโตของ GDP ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นในปีนี้ 2) อัตราดอกเบี้ยที่ “คงจะไม่ลด” และก็จะยังรบกวนไม่ให้หุ้นขึ้นไปได้ทั้งในระดับโลกและของไทย 3) กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะไม่ดีขึ้นเพราะความต้องการสินค้าในประเทศที่ยังอ่อนแออานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี การใช้จ่ายรายการใหญ่เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว และ 4) หุ้นโดยรวมมีราคาแพงวัดจากค่า PE ที่สูงถึง 18...
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 มกราคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตลาดหุ้นไทยนั้น เป็น “แหล่งที่อยู่” ของเศรษฐีไทยมาน่าจะไม่น้อยกว่า 20 ปีแล้ว ความหมายก็คือ คนรวยในประเทศไทยนั้น ตั้งแต่อย่างน้อยก็ 20 ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในจำนวนและปริมาณที่คิดเป็นเงินแล้ว “มาก” เมื่อเทียบกับทรัพย์สินอย่างอื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทอง พันธบัตร หุ้นกู้ หรือเงินสด พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะบอกว่าใครรวยแค่ไหนจริง ๆ ก็จะต้องไปดูว่าเขาถือหุ้นอะไรในตลาดจำนวนเท่าไร มากกว่าจะบอกว่าเขาทำธุรกิจอะไรหรือเป็นเจ้าของที่ดินที่ไหนและรวยแค่ไหนโดยที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมีค่าเท่าไรและสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ไหม
โชคดีที่ว่าข้อมูลการถือหุ้นของบุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นอย่างน้อย 0.5% ของบริษัทจดทะเบียนนั้น ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดเผยให้เป็นข้อมูลสาธารณะที่ทุกคนเข้าไปดูได้ แม้ว่าจะปรับข้อมูลให้ทันสมัยเพียงประมาณปีละหน เราก็พอที่จะประมาณได้คร่าว ๆ ว่าใครมีความมั่งคั่งจากการถือหุ้นคิดเป็นเงินอย่างน้อยเท่าไร กี่ร้อยหรือกี่พันล้านบาทสำหรับคนที่เข้าข่ายว่าเป็น “เศรษฐี” หุ้น และข้อมูลนี้ โชคดีอีกที่มีวารสารการเงินธนาคารได้จัดทำและเผยแพร่บทวิจัยทุกปีมานานน่าจะเกือบ 20 ปีแล้ว ซึ่งนี่ก็จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ผมนำมาวิเคราะห์ต่อในบทความนี้
ผมจะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล “เศรษฐีหุ้นไทย” ตั้งแต่ประมาณสิ้นปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาเป็น “วิกฤต” ตามวิกฤตซับไพร์มในอเมริกา ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาประมาณ 50%...