การไลฟ์สดเจาะลึก ” เปิดพอร์ตหุ้น-กองทุนเวียดนามที่ไหน อย่างไรดี? “

ในการไลฟ์สดเจาะลึก
” เปิดพอร์ตหุ้น-กองทุนเวียดนามที่ไหน อย่างไรดี? “


แอดมินเพจ #VVI เพจ #ชีวิตเลือกได้ และเพื่อนนักลงทุนหุ้นเวียดนาม
จะมาไลฟ์สดจากประสบการณ์จริงของพวกเราในการ “เปิดพอร์ตหุ้น-กองทุนเวียดนาม”


เนื้อหาไลฟ์


ส่วนที่ 1: เปิดพอร์ตลงทุนหุ้นเวียดนาม

  1. เปิดพอร์ตผ่านโบรกเกอร์ไทย ที่ไหนดี?
  2. เปิดพอร์ตที่เวียดนามทำอย่างไร ที่ไหนน่าสนใจ?
  3. เปรียบเทียบข้อดี-ด้อย การลงทุนผ่านโบรกไทย VS เวียดนาม
  4. วิธีการโอนเงินไปลงทุนต่างประเทศโดยตรง

ส่วนที่ 2: ลงทุนหุ้นเวียดนามผ่านกองทุน

สรุปกองทุนเวียดนามที่น่าสนใจ ได้แก่

  • กองทุนฝรั่ง
    PYN Elite ซื้อได้โดยการโอนเงินไปที่ฟินแลนด์
    VEIL : Dragon Capital ซื้อได้ในตลาดหุ้นอังกฤษ
    VOF : Vina Capital ซื้อได้ในตลาดหุ้นอังกฤษ
    JPMorgan Vietnam Opportunities Fund
    ฯลฯ
  • กองทุนสัญชาติเวียดนาม
    SSI-SCA ฯลฯ
  • กองทุนไทย
    Principal Vietnam Equity Fund
    K-Vietnam Equity Fund
    ASP-Viet Fund
    One Vietnam Fund
    Krungsri Vietnam Equity Fund-A (KFViet-A Fund)
    Phillip
    Jiita Wealth

ส่วนที่ 3 : เจาะลึกการลงทุนกองทุน

PYN Elite
VEIL : Dragon Capital


ส่วนที่ 4 : สัมภาษณ์มุมมองนักลงทุนหุ้นเวียดนามที่เลือกลงทุนผ่านกองทุน

ลงทุนกองไหนบ้าง เพราะอะไร?


ส่วนที่ 5 : สรุปเปรียบเทียบการลงทุนเวียดนามผ่าน ETF เทียบ กองทุนปิด


ส่วนที่ 6 : Top 5 กองทุนหุ้นเวียดนามกับผลตอบแทนปังปุริเย่ ปี 2020


ส่วนที่ 7 : ไอเดียเลือกหุ้นรายตัวจากหุ้นที่กองทุนชอบถือ

พบกัน ใน vvi membership


รับชมย้อนหลัง ไม่เข้าใจ สมาชิกสามารถสอบถามได้กรณีพิเศษแจ้งเป็นสมาชิกและช่องทางการสมัคร ดูรายละเอียดเลือกสมัครที่ https://class.vietnamvi.com/courses-selection/

เวียดนามดีต่อไหม หรือแพงไป?

วันนี้แอดฟังคุณบิวสัมภาษณ์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เรื่อง “เวียดนามดีต่อไหม หรือแพงไป?” ในรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน

ขอนำมุมมองของอาจารย์มาฝากเพื่อนๆ ในยามตลาดหุ้นผันผวน อีกทั้งพรุ่งนี้หุ้นเวียดนามก็จะเปิดเทรดวันสุดท้ายก่อนหยุดยาวตามเทศกาล Tết หรือปีใหม่ของเวียดนามค่ะ โดยตลาดหุ้นเวียดนามจะปิดทำการ 10-16 ก.พ. นี้นะคะ


หุ้นเวียดนามมันมีช่วงที่ลงมา แล้วสัปดาห์เดียวดีดขึ้นไปเร็วมาก ?

ดร.นิเวศน์: ยังดีดไปไม่ถึงที่เดิม (ดัชนี) เค้าเคยขึ้นถึง 1200 (จุด) ตอนนี้อาจกลับมา 1100 (จุด)
เค้าลงไปถึง 1000 (จุด) แล้วมั๊ง โดดขึ้นมาครึ่งหนึ่ง หรือมากกว่านี้นิดหน่อย

แต่ตลาดหุ้นเวียดนามนี่ไม่แพงครับ P/E ยังต่ำกว่าไทย แล้วเค้า Growth สูงมาก

ดูตลาดแล้วเค้าถูกกว่าเมืองไทย แล้วก็อนาคตระยะยาวผมบอกได้เลยว่ามันโต

เดี๋ยวไปอ่าน ดร. ศุภวุฒิ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็จะบอกว่าทำไมเวียดนามจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เพราะตอนนี้ดัชนีชี้นำเรื่องอำนาจว่าประเทศไทยมีอำนาจมากกว่าใครใน Asia ไทยกับเวียดนามนี้สูสี เราชนะอยู่นิดหนึ่ง แต่อนาคตอาจจะแพ้หล่ะ ในขณะที่คนอื่น ประเทศอื่นก็ชัดเจนว่ามีอำนาจแค่ไหน อำนาจนี่พูดถึงเศรษฐกิจ การเมือง อะไรต่างๆ

แต่ว่าเวียดนามทุกอย่างมันออกมาชี้ว่าเวียดนามมันต้องโตอย่างเดียว แล้วก็โตเยอะ แซงไทยได้ค่อนข้างแน่ ใช้เวลานิดหนึ่งช้าหรือเร็ว บางคนก็บอก 20 ปี บางคนก็บอก 10 ปี เค้าก็ไล่กวดมา

แล้วก็ตัวเลขทุกวันที่เปิดออกมาก็เห็นคนไปลงทุนตลอด ทุกอย่างมันมีแต่การเติบโต


คนเวียดนามเองก็มาลงทุนเยอะด้วยใช่ไหมอาจารย์ ?

ดร.นิเวศน์: เค้ามาแน่แหละไม่ต้องห่วง ถ้าถือยาวจริงและเลือกบริษัทที่ดี เราก็จะเริ่มเห็นว่าเค้าจะเริ่มมี super stock เป็นสิบตัว


ก็ยังไม่แพงใช่ไหมคะอาจารย์ ?

ดร.นิเวศน์: ไม่แพง ไม่แพง ขนาดหุ้นที่ผมเรียกว่ามีศักยภาพเป็น super stock ของเวียดนามมีเป็น 10 ตัวเลยนะ Market Cap ยังเล็กจิ๋วเต็มไปหมด
เทียบกับเมืองไทยหุ้นต่อหุ้น อุตสาหกรรมใกล้เคียงกัน ศักยภาพใกล้เคียงกัน ฐานะใกล้เคียงกัน โอ้ว..เวลานี้ Market Cap ยังเล็กมาก

** แต่ลงทุนเวียดนามต้องใจเย็นๆ แล้วก็ไม่ผันผวนไปกับความผันผวนของตลาดหุ้นดัชนีของราคาหุ้น มันก็ขึ้นๆ ลงๆ แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะมีอย่างเงี๊ย คือค่อยๆ ขึ้นไป แล้วก็มีจังหวะที่เป็นปีทอง โอกาสทอง 3 ปี 4 ปี ที่อยู่ๆ ก็ขึ้นไปเป็นบ้าเป็นหลัง ที่ผมคาดว่ามันจะมีอย่างนั้น เช่น เวียดนามเปิดแล้ว กองทุนต่างชาติเข้าได้ง่ายเมื่อไหร่กลายเป็นตลาด Emerging Market มันน่าจะมีแบบ Shoot Up

ของเมืองไทยเรายังเห็นเลยว่าบางช่วง-บางตอน ปีหนึ่งขึ้นเป็น 100% 70% 60% มีอยู่หลายๆ ปีในอดีต ตอนหลังๆ นี่หายหมดเลยนะ 7-8 ปี ที่ผ่านมาไม่มีแล้ว

(เวียดนาม) มันเหมือนเด็กที่แบบว่าเค้ายัง่เด็กหน่อย อายุ 7 วิ่งพรวดไปทีหนึ่ง 10 ขวบ วิ่งอีกพรวด พอถึง 15 16 ตอนนี้ชะลอแล้ว เมืองไทยคือตอนที่เราอยู่ 16-17 แล้วใกล้โตเต็มไวแล้ว ความสูงมันไม่ค่อยขึ้น ตอนเด็กมันโตกระโดด แต่ว่าบางปีตอนเด็กก็ไม่โตเลย มันคล้ายๆ แบบนี้ เวียดนามก็เป็นแบบนี้ บางปีไม่โตเลย บางปีไปเร็ว นี่คือตลาดหุ้น

เวียดนามเดี๋ยวก็ต้องเจอแบบนี้ ใจเย็นๆ เลือกหุ้นนิดหนึ่ง ที่เป็น Represent เป็น superstock ผมว่าไปได้เลย ใจเย็นๆ


ถ้าเลือกแบบว่าดัชนี ETF ไปเลยอะไรแบบนี้พอไหวไหมคะอาจารย์ ?

ดร.นิเวศน์: ก็ได้ตอนนี้ผมก็ลงดัชนีในเวียดนามผมรู้สึกว่าตลาดไม่พร้อมให้เราไปเลือกเท่าไหร่ แล้วอีกอย่างก็คือเรื่องข้อจำกัด Foreign Premium นู่นนี่ทำให้ปวดหัว แล้วก็ไอ้ดัชนีอย่าง Diamond อะไรพวกนี้เค้าก็รวมหุ้นพวกนี้อยู่แล้ว รวมหุ้นพวกที่เป็นแนว Super Stock ในอนาคตอยู่แล้ว ก็เป็นอะไรที่สะดวก

แต่ผมผิดพลาดตอนแรก ไม่มีกองทุนแบบนี้ ตอนที่ผมเข้าไม่มีเลย ไม่รู้ทำยังไงก็กวาดซื้อหุ้นเล็กที่แบบเป็นวีไอ ราคาถูก ปันผลดี ซึ่งมันโอเคนะ นาทีนี้ก็ยังโอเค นาทีนี้ก็ใช้ได้ดีกว่าของไทยอยู่ดี เพียงแต่ว่ามันไม่ดีเลิศเท่ากับไปหาเป็นตัวๆ หรือว่ากองทุนที่อิงดัชนีที่มันดีๆ หรือ ผู้บริหารกองทุนที่เค้าเข้าใจว่าจะไปเล่นเวียดนามต้องเป็นแบบนี้


ตลาดเองก็เหมือนจะมีเครื่องไม้เครื่องมือแล้วก็มีพัฒนาการและเช่นเดี๋ยวก็มี Circuit Breaker ตลาดก็น่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ?

ผมว่าเค้าก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นะ เวียดนามเองถ้าพูดถึงหน่วยงานรัฐ เค้าก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่หรอก เราก็จะเห็นเลยว่าปัญหาเค้าก็อย่างนี้ เช่น ดูสิเวียดนามทำไมดี ไอ้รถไฟฟ้าสายแรกผ่านไปกี่ปีแล้ว จะสิบปีแล้วยังเปิดไม่ได้เลย มันก็จะเป็นลักษณะนี้ คือ หน่วยงานรัฐมันก็ยังด้อย โดยเฉพาะรัฐที่เป็นแบบเวียดนามสมัยเก่า เค้าก็ไม่สนใจอะไรมากมาย เพราะว่าอยู่ในอำนาจไม่มีใครมายุ่ง แต่พอเริ่มเป็นเอกชนตอนนี้เค้าก็บูมเลย

พี่บิว: ก็เป็นประเทศที่น่าจับตามอง แล้วราคาก็ไม่แพง

ดร.นิเวศน์: ใช่ครับ

Credit: FM.96.5 | รายการ รู้ใช้เข้าใจเงิน (08-02-64)

“ความผันผวน” เป็นเพื่อนแท้ของนักลงทุนระยะยาวในเวียดนาม

เป็น 2 สัปดาห์แห่งความผันผวน จากตกหนัก กลายเป็นตลาดหุ้นเวียดนามในสัปดาห์ล่าสุดฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง (จนติด Top 5 ตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีสุดในโลก +6.65% ภายในอาทิตย์เดียว) ภาพนี้ช่างสวนทางกับความตกใจของนักลงทุนเมื่อวันที่ 28 มกราคม เมื่อดัชนี VN ติดลบ 6.67 เปอร์เซ็นต์ (หุ้นเวียดนาม Floor -7%) พร้อมกับสถานะที่มีแต่คนขายไม่มีคนซื้อ ทำให้ตอนนั้นเพียงครึ่งเดือนหุ้นเวียดนามติดลบไปถึง 15%

อย่างไรก็ตามบทเรียนของตลาดหุ้นในครั้งนี้จะไม่มีวันเก่า ในบริบทที่นักลงทุนชาวเวียดยามหน้าใหม่หลายแสนคนเข้ามาในตลาดหุ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้

อะไรทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวน?
นักลงทุนอ้างเหตุผลทั้งหมด แม้กระทั่งทฤษฎีสมคบคิด เช่น การจัดการตลาดโดยเจ้ามือที่แข็งแกร่ง และการ Corner หุ้น กับการปิดระบบการซื้อขาย แต่มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่กล้ายอมรับความจริงว่าพวกเขาเป็นสาเหตุของความผันผวนเหล่านั้นเอง เมื่อหุ้นไต่ขึ้นสูงอย่างดุเดือด ทุกคนดื่มด่ำกับผลกำไรที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับสุขที่ได้รับ

จากมุมมองทางจิตวิทยา: การพยายามหาเหตุผลภายนอกเพื่ออธิบายผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือความผิดพลาดของตนเองนั้น แท้จริงแล้วเป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดและบรรเทาความเจ็บปวดของตนเอง ที่พบได้บ่อยในตลาดหุ้น
ดังนั้นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นจึงเน้นหลักการขจัดอารมณ์จากการตัดสินใจ หลักการนี้มีเพียงไม่กี่บรรทัดสั้น ๆ แต่นำมาใช้ได้หลายร้อยปี

พวกเขารู้แนวรับแนวต้าน และจุดซื้อทางเทคนิคของหุ้น อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เข้าใจหลักการผลตอบแทน-ความเสี่ยงในแต่ละการซื้อขาย รวมทั้งการสร้างพอร์ตโฟลิโอ และการบริหารความเสี่ยง

นักลงทุนใหม่ในตลาด มักให้ความสำคัญกับผลกำไรเป็นอันดับแรก ในขณะเดียวกันนักลงทุนที่มีประสบการณ์มักจะกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงสูงสุด การลงทุนต้องคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดหวัง

ความปั่นป่วนที่รุนแรง เช่นความผันผวนของตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดขึ้นหลายครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และมีส่วนในการกำจัดนักลงทุนสมัครเล่นหลายรุ่น

แนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวตามการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาคและการเติบโตรายบริษัท การซื้อ-ขายตามอารมณ์ตลาดหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ตลาดปัจจุบัน(อาจ)เป็นขาลงระยะสั้นในขาขึ้นระยะยาว ดังนั้นนักลงทุนระยะยาวไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก

การที่เราไม่รู้ว่าเราลงทุนระยะยาว หรือเก็งกำไรระยะสั้น มันจะนำเราไปสู่การซื้อขายทางอารมณ์ตามคนส่วนใหญ่ ที่แย่กว่านั้นคือเราจะซื้อขายหุ้นผิดติดต่อกันบ่อยครั้งขึ้น และสุดท้ายอาจถูกเตะออกจากเกม

สุดท้ายแอดมินขอยกคำคม นักลงทุนทั้ง 3 ท่าน ที่แอดชอบ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองและเพื่อนๆ ในยามหุ้นเวียดนามค่อนข้างสวิงค่ะ

“The true investor welcomes volatility. ( นักลงทุนที่แท้จริงยินดีรับความผันผวน) Warren Buffett

Risk is not defined by volatility, but rather ill-conceived investment. (ความเสี่ยงไม่ได้ถูกกำหนดโดยความผันผวนแต่เป็นการลงทุนที่ไม่เข้าใจ) Michael Burry

“There are many kinds of risks .. But volatility may be the least relevant of them all. (ความเสี่ยงมีหลายแบบ .. แต่ความผันผวนของราคาหุ้นน่าจะเกี่ยวน้อยที่สุด ) Howard Marks

Credit:

https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-stock-market-among-five-best-global-gainers-4232987.html

https://sggpnews.org.vn/business/investors-need-to-protect-themselves-against-market-volatility-90596.html

อวสานของโรงเรียน

0

โลกในมุมมองของ Value Investor  6 กุมภาพันธ์ 64

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อวสานของโรงเรียน

​เรื่องของ “คน” หรือถ้ามอง “ภาพใหญ่” ก็คือ “ประชากร” ของประเทศไทยนั้น  เป็นเรื่องที่ผมสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่กลายมาเป็นนักลงทุนแบบ “VI” ที่เน้นการลงทุนระยะยาว  เหตุผลก็คือ  ในระยะยาวแล้ว  เรื่องของเศรษฐกิจ  ทั้งการผลิตและการบริการทั้งหลายนั้นก็ขึ้นอยู่กับคน  ถ้าคนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ  และความสามารถหรือประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นเรื่อย ๆ  เศรษฐกิจก็จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  ตรงกันข้าม  ถ้าคนมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อย ๆ  และความสามารถหรือประสิทธิภาพของคนไม่เพิ่มขึ้น  เศรษฐกิจก็จะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ  ซึ่งทั้งสองประการก็กระทบกับการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างรุนแรง  ในกรณีแรกนั้น  เกิดขึ้นกับประเทศไทยมานานมากไม่ต่ำกว่า 60-70 ปีแล้วตั้งแต่ผมเกิดมาจนถึงวันนี้ที่เศรษฐกิจไทยโตขึ้นตลอดอย่างรวดเร็วและส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วปีละเกือบ 10% มาเป็นเวลาเกือบ 46 ปี  แล้ว  

​ในกรณีที่สองที่เศรษฐกิจจะถดถอยลงอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้น  ผมกำลังวิตกว่ากำลังใกล้จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย  นั่นก็เพราะว่าจำนวนคนหรือคนที่ทำงานได้ของประเทศไทยนั้น  กำลังเข้าสู่จุดสูงสุดและจะลดลงมาอย่างต่อเนื่อง  เช่นเดียวกับประสิทธิภาพหรือความสามารถของคนไทยที่จะไม่เพิ่มขึ้นอานิสงค์จากคุณภาพการศึกษาที่ไม่ได้พัฒนาขึ้นและอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วของคนไทยในช่วงเร็ว ๆ  นี้และต่อไปในอนาคต  โดยที่ผมเองก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครสนใจที่จะแก้ไขหรือชะลอปัญหาที่ยิ่งใหญ่และสำคัญขนาดนี้

​ผมเองเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องของประชากรไทยมาหลายครั้ง  แต่ครั้งนี้ผมอยากที่จะเน้นถึงปรากฏการณ์สำคัญที่ยังไม่เคยพูดถึงอย่างจริงจังแต่จะมีความสำคัญมากในอนาคตนั่นก็คือ  การลดลงแบบ “ถล่มทลาย” ของจำนวนเด็กที่เกิดในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะกระทบกับกิจกรรมทั้งหลายเกี่ยวกับทารกและเด็กเล็กซึ่งน่าจะรวมถึงงานของสูตินรีแพทย์  อาหารเด็กเล็ก  โรงเรียนอนุบาลและหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็กมาก่อนหน้านี้แล้ว  อย่างไรก็ตาม  กิจกรรมใหญ่และสำคัญยิ่งกว่าที่จะเริ่มเห็นผลกระทบอย่างแรงก็คือ  “โรงเรียน” ซึ่งก็จะพบว่าจำนวนเด็กที่จะต้องเข้าโรงเรียนนั้น  จะลดลงไปมากและจะลดลงอย่างต่อเนื่อง  ตัวเลขของเด็กที่เกิดเมื่อ 7-8 ปีก่อนนั้นอยู่ที่ประมาณเกือบ 8 แสนคนต่อปี  หลังจากนั้น  ก็ลดลงตลอดทุกปี  ประมาณปีละ 30,000 คน  ทำให้เด็กที่เกิดล่าสุดนั้นอยู่ที่ประมาณแค่ปีละ 550,000 คนหรือเป็นการลดลงถึงประมาณ 30% และตัวเลขนี้ก็น่าจะยังไม่ดีขึ้นเมื่อคำนึงถึงปัญหาโรคโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายที่ตามมาซึ่งน่าจะทำให้คนเลื่อนและลดการมีลูกลงไปอีก

​ที่จริง  เรื่องของการศึกษาของไทยนั้น  ก่อนหน้านี้เราก็เริ่มเห็นว่านักศึกษาที่เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเริ่มที่จะลดลงเพราะจำนวนคนที่เกิดและอายุครบ 17-18 ปี นั้น เริ่มลดลงจากปีละ 1 ล้านคนเมื่อ 20 ปีก่อนซึ่งก็สอดคล้องกับความเฟื่องฟูของมหาวิทยาลัยที่มีการขยายตัวขึ้นมากทั้งของรัฐและเอกชนในขณะนั้น  แต่พอถึงเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา  จำนวนคนที่อายุถึง 17-18 ปีก็ตกลงมาเหลือปีละ 9 แสนคนมหาวิทยาลัยเอกชนหรือของรัฐที่เน้นการเรียนทางด้านที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจเริ่ม “ว่าง”  ผ่านมาจนถึงวันนี้ตัวเลขคนไทยที่อายุถึงเกณฑ์เข้ามหาวิทยาลัยลดลงอีกเหลือเพียงปีละ 8 แสนคน  นักศึกษาในหลักสูตรทางด้านศิลปศาสตร์ที่ไม่ทำเงินหรือหางานยากหายไปเกือบหมด  มหาวิทยาลัยเอกชนจำนวนมากต้องปิดแผนกเพราะจำนวนนักศึกษาบางแห่งน้อยกว่าอาจารย์ที่สอนเสียอีก อย่างไรก็ตาม  ตัวเลขจำนวนคนที่อายุถึงเกณฑ์ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากนี้จะคงที่ประมาณเกือบ 8 แสนคนไปอีก 10 ปี ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  มหาวิทยาลัยที่ได้ลดขนาดและ “ปรับโครงสร้าง” หลักสูตรในช่วง 2-3 ปีนี้แล้วก็น่าจะยังสามารถรักษาขนาดของตนเองอยู่ได้อีก 10 ปี ก่อนที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป  “อย่างสิ้นเชิง” อีกครั้งหนึ่งเมื่อจำนวนนักศึกษาจะลดแบบ  “ตกหน้าผา” ตั้งแต่ปี 2573-74

​แต่ก่อนจะครบ 10 ปีนั้น  คนที่บริหารมหาวิทยาลัยก็คงไม่ได้อยู่อย่างสบายนัก  เพราะด้วยอัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิตอลที่มีต่อกิจกรรมอย่างการศึกษานั้นสูงลิ่ว  การเรียนการสอนมีโอกาสที่จะถูก Disrupt จากแอ็ปสื่อสังคมอย่างซูมและข้อมูลต่าง ๆ จากเว็ปไซ้ต์อย่างกูเกิลได้   มหาวิทยาลัย  “รูปแบบใหม่” ที่อาจจะลงทุนไม่มากแต่สามารถสอนคนจำนวนมหาศาลและด้วยอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสุดยอด  ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก  อาจจะมาทำลายมหาวิทยาลัย “รุ่นเก่า” ได้  นอกจากนั้น  “ค่านิยม” ใหม่ ๆ ที่ว่านายจ้างไม่สนใจใบปริญญาหรือความรู้ด้านอื่น ๆ  ที่ไม่เกี่ยวข้องอาจจะไม่ต้องการคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย  แต่สนใจความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะของคนที่จะเข้ามาทำงานมากกว่าโดยที่ไม่ต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ได้  ทั้งหมดนั้นทำให้ “อนาคต” ของมหาวิทยาลัย  โดยเฉพาะที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยชั้นนำมีความไม่แน่นอนสูงมาก

​ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็คือ  ทำอย่างไรถึงจะทำให้คนเรียนมีศักยภาพหรือความสามารถเพิ่มขึ้น?  สมัยที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมและไปทำงานในโรงงานนั้น  ก็ต้องบอกว่าทำงานสายตรงกับที่เรียน 100%  แต่ความรู้สึกก็คือ  ที่เรียนมาทั้งหมดนั้นก็ใช้งานได้น้อยมาก  ส่วนใหญ่แล้วต้องไปเรียนรู้เองจากงานที่ทำงาน  ยังจำได้ว่า  ไม่มีหัวหน้างานที่จะ “สอน” เป็นเรื่องเป็นราว  ทำผิดบ้างถูกบ้างและก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถจนเป็นผู้ออกแบบหรือสร้างสรรค์อะไรได้เป็นเรื่องเป็นราว  ความสามารถสูงสุดเป็นได้แค่ “Operator” หรือ ผู้ควบคุมเครื่องจักรอุปกรณ์ให้ทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่  นาน ๆ ครั้งก็เป็นนัก “ก็อปปี้” หรือเลียนแบบคนอื่นหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ  สุดท้ายถ้ายังทำงานอยู่ก็จะถึงจุด “ตัน” ก้าวหน้าต่อไปไม่ได้

​ถ้าจะเปรียบเทียบตัวเองกับภาพใหญ่ของประเทศโดยรวมก็อาจจะคล้าย ๆ การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยที่เติบโตไปเรื่อย ๆ เนื่องจากฐานที่ต่ำ  แต่พอทำได้ดีถึงจุดหนึ่งก็ไปไม่ได้เพราะองค์ความรู้หรือศักยภาพจำกัด  สุดท้ายก็ “ติดกับดัก”  กลายเป็น “Middle Income Trap” ประเทศที่ “แก่ก่อนรวย”  ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่งนั้น  คนของเขาน่าจะได้รับการศึกษาหรือความรู้ที่ดีกว่า  ผมยังจำได้ว่าวันที่ผมอยู่โรงงานเป็น “วิศวกร” นั้น  เรามี  “ช่างเทคนิค” ที่มาจากบริษัทที่ขายเครื่องจักรที่มีความซับซ้อนอย่างเครื่องเทอร์ไบนที่ใช้หมุนเครื่องจักรขนาดใหญ่จากญี่ปุ่นเข้ามาช่วยดูแลเครื่องจักรด้วย  ความน่าทึ่งก็คือ  ช่างเทคนิคที่ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยของเขานั้น  รู้เรื่องเครื่องจักรดีกว่าเรามาก  สามารถแม้กระทั่งแก้ไขปรับปรุงเครื่องจักรที่เราคิดว่า “สมบูรณ์แล้ว” จากโรงงาน  หลังจากการแก้ไขและปรับปรุงจุดอ่อนที่เกิดขึ้นจากการใช้งานแล้ว  ข้อมูลหรือความรู้นั้นถูกป้อนกลับไปสู่บริษัทที่ญี่ปุ่น  เพื่อที่จะปรับปรุงเครื่องจักรรุ่นใหม่ให้ดีขึ้น  และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นเจริญเติบโตและกลายเป็นประเทศพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

​ผมเองไม่ได้อยู่ในแวดวงการศึกษาและก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เราสอนอะไรในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย  จากการอ่านในบทความต่าง ๆ  เขาบอกว่าการศึกษา “ยุคใหม่” จะต้องสอนคนให้รู้จักคิด  รู้จักเรียนรู้เอง  เพราะว่าโลกและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก  บางทีเรียนอะไรบางอย่างมาแต่ถึงเวลาเรื่องนั้นอาจจะ “ล้าสมัย” ไปแล้ว  ดังนั้น  นักศึกษาจะต้องรู้จักวิธีคิดและมีความยืดหยุ่นปรับตัวได้  ผมเองคิดถึงระบบการจัดการการศึกษาของไทยแล้วก็ได้แต่ถอนใจ  ระบบการศึกษาของเรานั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสนใจให้นักเรียนคิด  ครูส่วนใหญ่ก็จะ “รับนโยบาย”จากรัฐหรือส่วนกลางให้มาสอนให้นักเรียนทำหรือคิดตาม  ครูเป็น  “แม่พิมพ์” ของชาติ  เด็กที่ “ถูกพิมพ์” ออกมาก็น่าจะคล้าย ๆ  กับ “แม่พิมพ์”  ดังนั้น  ความคิดสร้างสรรค์จะมาจากไหน?

​ก่อนหน้านี้ภาระของการให้การศึกษาแก่เด็กของเราคงจะหนักมาก  งบประมาณถูกจัดให้สูงสุดในทุกกระทรวงแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดผลดีอะไรมากนัก  บางทีเราอาจจะมีจำนวนเด็กที่ต้องเรียนมากเกินไป  เวลานี้เด็กกำลังลดลงมากมายผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาสนใจการพัฒนาระบบการเรียนการสอนของเราอย่างจริงจังและแบบ  “ปฏิวัติ” เพื่อที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้โตต่อไปได้ในยามที่ทุกอย่างไม่เอื้ออำนวย  ถ้าเราไม่ทำในวันนี้  ผมคิดว่ามันก็คงเป็น  “อวสานของโรงเรียน”

GameStop สงคราม(หุ้น)ประชาชน

0

โลกในมุมมองของ Value Investor     30 มกราคม 64

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

            ปรากฏการณ์หุ้น GameStop (GME) ปรับตัวขึ้นจากราคาประมาณ 17 เหรียญตอนต้นปีเป็น 325 เหรียญในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 19 เท่าในเวลาเพียงเดือนเดียวนั้น  เป็นข่าวที่ดังไปทั่วอเมริกาและทั่วโลกและไม่ใช่เฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น  ว่าที่จริงย้อนหลังไปเพียง 1 ปี  หุ้นตัวนี้มีราคาแค่ประมาณ 4 เหรียญ ซึ่งเท่ากับว่าคนที่ถือหุ้นตัวนี้จะได้กำไรถึง 80 เท่าในเวลาเพียง 1 ปี  และ Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 680,000 ล้านบาท จากมูลค่าประมาณ 8,500 ล้านบาทเมื่อ 1 ปีก่อน

            GME เป็นบริษัทขายปลีกวิดีโอเกมและอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก   มีสาขาประมาณ 5,500  แห่งทั่วสหรัฐ และประเทศอื่น ๆ  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงประมาณเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทก็ขาดทุนมาตลอดเนื่องจากธุรกิจถูก Disrupt เพราะผู้บริโภคหันมาซื้อเกมออนไลน์แทนที่จะไปซื้อแผ่นที่ร้าน  ราคาหุ้น GME เมื่อประมาณ 7 ปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ 55 เหรียญต่อหุ้นจึงตกต่ำลงมา อย่างต่อเนื่อง  ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เฮดจ์ฟันด์ขายชอร์ตหุ้นตัวนี้มาเรื่อย ๆ จนถึงเมื่อเร็ว ๆ  นี้ ซึ่งทำให้มีรายการขายชอร์ตค้างอยู่ถึง “ร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์” ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ซึ่งหมายความว่าหุ้นบางหุ้นถูกยืมมาขายมากกว่า 1 ครั้ง และคนที่ขายชอร์ตหุ้นตัวนี้  ซึ่งมักจะเป็นเฮดจ์ฟันด์ผู้เชี่ยวชาญการชอร์ตหุ้นก็คงทำกำไรไปไม่น้อยมาตลอด

            การระบาดของโควิด-19 เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิด “นักลงทุนรุ่นใหม่” จำนวนมากที่มาจากคนที่ตกงานและคนที่ต้องทำงานที่บ้าน  พวกเขาไม่ค่อยได้ไปไหนและไม่มีงานทำมากนักแต่ยังต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  ในเวลาเดียวกันนั้น  ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กลับปรับตัวขึ้นแรงและเร็วมาก  อานิสงค์จากสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือเนื่องจากการอัดฉีดของรัฐบาลเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่ตามมาจากโควิด  ทำให้ดูเหมือนว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นจะง่ายและเร็วกว่าการทำอย่างอื่น  ดังนั้น  คนหนุ่มสาวเหล่านี้จึงเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นที่ทำได้ง่ายมากเนื่องจากระบบที่เอื้ออำนวยให้กับนักลงทุนรายย่อยเช่น  Platform การซื้อขายหุ้นอย่าง Robinhood ที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยมากไม่ว่าจะซื้อหรือขายกี่หุ้น

            คนหนุ่มสาวที่เข้ามาลงทุนหรือ “เล่นหุ้น” นั้น  ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความรู้หรือข้อมูลที่จะช่วยตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากนัก  แต่ขณะเดียวกัน  พวกเขาก็หวังที่จะเทรดหุ้นหรืออ็อปชั่นที่มีราคาผันผวนมาก ๆ  เพื่อให้ได้กำไรเร็วและมากที่สุด  ดังนั้น  สิ่งที่เขาทำก็คือการเข้าไปในเว็บไซ้ต์ยอดนิยมอย่าง Reddit และเข้าไปดูหรือพูดคุยในห้องที่เกี่ยวกับการเทรดหรือซื้อขายหุ้นแนวเก็งกำไรที่ชื่อว่าWallstreetBets  และสิ่งที่เขาพบเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือการพูดคุยคอมเม้นต์หุ้นตัวหนึ่งที่ชื่อว่า GameStop ที่หลายคนมีความเห็นว่าน่าสนใจและ “น่าเล่น” แต่สิ่งที่น่าจะเป็นตัว “จุดชนวน” ให้หุ้นตัวนี้  “ระเบิด” หรือราคาวิ่ง “ทะลุฟ้า” ก็คือการที่มีคนออกมาโพสท์ว่าหุ้น GME นั้นมีการชอร์ตไว้เกินกว่าจำนวนหุ้นที่มีคือประมาณ 70 ล้านหุ้น  และนี่น่าจะประกอบกับการที่ Ryan Cohen อดีตผู้ก่อตั้งบริษัท Chewy ที่ขายปลีกสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงผ่านออนไลน์ได้สำเร็จ  ได้เข้ามาซื้อหุ้นกว่า 10% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และได้เป็นกรรมการของบริษัทในวันที่ 11 มกราคมและบอกว่าจะปรับให้ GME ขายออนไลน์แบบเดียวกัน

            สิ่งที่คนใน WallstreetBets ซึ่งมีจำนวนสมาชิกถึง 3 ล้านราย “บอกต่อ ๆ  กัน” ก็คือ  หุ้น GME นั้น  ที่ไม่ได้ไปไหนเลยและทำให้รายย่อยที่เล่นขาดทุนหนักเพราะถูกพวกขาใหญ่หรือเฮดจ์ฟันด์ ขายชอร์ตเซลอย่างหนัก  การที่จะต่อสู้หรือ “แก้แค้น” กับคนพวกนี้ก็คือ  พวกเราต้องซื้อหุ้นและไม่ให้ใครยืม  ซื้อไปเรื่อย ๆ  และเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งคนที่ชอร์ตไว้ก็จะต้องมาซื้อหุ้นคืน  แต่จะซื้อได้อย่างไรถ้าจำนวนหุ้นที่มีอยู่มีไม่พอ  ผลก็คือ  ราคาหุ้น GME ปรับตัวขึ้นไปเป็นร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ต่อวันและขึ้นไปเรื่อย ๆ  ภายในเวลา 10 วันหุ้นขึ้นไป 10 เท่า  สิ่งนี้ในภาษาของชาวหุ้นก็คือการทำ “Short Squeeze” คนที่ขายชอร์ตหุ้นไว้ต้องซื้อหุ้นคืนในราคาแพงขึ้นไปเรื่อย ๆ  เพื่อ “หนีตาย” คนที่ขายชอร์ตหุ้นไปในราคา 30 เหรียญอาจจะต้องซื้อคืนในราคา 300 เหรียญ “เจ๊ง” ไปตาม ๆ กัน  กองทุนเฮดจ์ฟันด์บางกองต้องปิดตัวลง  เซียนชอร์ตเซล เช่น Citron Research ซึ่งเคยสร้างชื่อไว้มากมายในการชอร์ตหุ้นและได้เข้ามาชอร์ต GME ด้วยก็เจ็บตัวอย่างหนัก  และผู้บริหารบอกว่า  “ขาดทุน 100%” โดยรวมแล้ว  คนที่ทำชอร์ตหุ้น GME ขาดทุนไปประมาณ 150,000 ล้านบาท

            ความสำเร็จของการ “ต่อสู้” ของนักเล่นหุ้นรายย่อยในกรณีของหุ้น GME เริ่มลามต่อไปในหุ้นตัวอื่น ๆ  ที่อาจจะมีคุณลักษณะคล้าย ๆ  กัน ตัวอย่างเช่น หุ้น AMC ที่ทำโรงหนังและหุ้นตกย่ำแย่เนื่องจากโควิด-19 ซึ่งผลก็คือ หุ้นขึ้นจาก 5 เป็น 20 เหรียญ ในที่ 27 มกราคม 64 หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าในวันเดียว  เช่นเดียวกับหุ้นอย่างผู้ผลิตโทรศัพท์แบล็คเบอรี่ที่เคยโด่งดังในอดีตก็กำลังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น  นอกจากนั้น  ข่าวล่าสุดจากตลาดหุ้นมาเลเซียก็คือ  มีคนตั้งห้องหุ้นเลียนแบบ WallstreetBets ชื่อว่า  Bursabets เพื่อที่จะขับดันราคาหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มโดยเฉพาะที่ผลิตถุงมือยางที่พวกเขาบอกว่าราคาหุ้น “ถูกเกินไป”  ผมไม่รู้ว่าในตลาดหุ้นไทยจะมีแบบนี้ไหม  เพราะดูไปแล้วนักเล่นหุ้นรายย่อยของเราน่าจะมีฝีมือไม่แพ้นักเล่นหุ้นมาเลเซียในด้านของการเก็งกำไร

          หลังเหตุการณ์ GME เพียงไม่กี่วัน  จำนวนสมาชิก WallstreetBets เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนกลายเป็น 5 ล้านคน  พวกเขาคุยกันถึงกำไรที่ได้มาง่าย ๆ  และมีความสุข  คนตกงานที่มีลูกอ่อนและต้องกลับมาเลี้ยงลูกที่บ้านพูดว่า  “วันนี้ได้เตียงใหม่ให้ลูก”  เด็กอายุ 16 ปีใช้ชื่อพี่ชายซื้อขายหุ้นได้กำไรวันเดียวหลายหมื่นบาท  และก็มีบางคนที่ถูกกล่าวขวัญถึงว่าทำเงินจาก 5 หมื่นเหรียญเป็น 22 ล้านและอีกวันเป็น 48 ล้านเหรียญเพราะถือหุ้น GME มาเป็นปี ทั้งหมดนี้พวกเขาคิดว่า  “เราทำได้”  ไม่ใช่เฮดจ์ฟันด์หรือคนในวอลสตรีทฝ่ายเดียวที่จะรวยแบบง่าย ๆ  เพราะได้เปรียบและมี “อภิสิทธ์” เหนือ “ประชาชน”

          แน่นอนว่า “คนดัง” จำนวนมากต่างก็เข้ามา “เกาะกระแส” อีลอนมัสก์ออกมา “เชียร์” ว่า  รายย่อยเหล่านี้ “โคตรเจ๋ง” มันคงคล้าย ๆ กับหุ้นเทสลาที่โดนกองทุนและรายใหญ่ขายชอร์ตก่อนที่จะต้อง “เจ๊ง” เพราะหุ้นเทสลาขึ้นเอา ๆ จนมัสก์กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก  หลังจากคอมเม้นต์ของมัสก์ออกไป  หุ้น GME ก็วิ่งขึ้นไปอีก 100%   ทางฝ่ายการเมืองเองนั้น  Elizabeth Warren ผู้นำของสมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครทก็ออกมาเชียร์สนับสนุน “เม่า” ทั้งหลายว่า “ไม่ได้ทำอะไรผิด”

            ในอีกซีกหนึ่งก็คือผู้นำและฝ่ายที่คุมกฎที่เป็น  “เจ้าหน้าที่”  รวมถึงผู้เล่นรายใหญ่ซึ่งก็คือผู้บริหารกองทุนทั้งหลายต่างก็ออกมา  “โจมตี” และกล่าวโทษว่ากรณีของ GME นั้น  อาจจะมีการ “แฮ็ค” ข้อมูลหรือมีการร่วมกัน “ปั่นหุ้น” ที่ผิดกฎของตลาด  จะต้องมีการตรวจสอบและเอาผิดตามกฎหมายมิฉะนั้นตลาดหลักทรัพย์ก็จะหมดความน่าเชื่อถือและจะไม่สามารถเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น  แต่เอาเข้าจริง ๆ  ก็คงเอาผิดได้ยากกับคนเป็น “ล้าน”

            กรณี GME ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแตกแยกทางความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวที่มักเป็นคน “ด้อย” กว่าในสังคมที่มักจะถูก “กดขี่” ถูก  “เอารัดเอาเปรียบ” โดยคนสูงอายุกว่าและมีอำนาจกว่าและมี “ความโลภ” มากกว่า  ที่ทำอะไรก็ “ไม่ผิด” เพราะอาศัยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์รวมถึงการตีความจากฝ่ายเดียวกัน  ตัวอย่างเช่น  ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ขาใหญ่สามารถ “รวมหัวกัน” ชอร์ตเซล  แล้วก็ออกมาป่าวประกาศว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องลงเพราะเหตุผลต่าง ๆ  รวมถึงการที่นักวิเคราะห์ช่วยกันแนะนำให้ขายหุ้นโดยไม่มีความผิด  แต่พอนักลงทุนรายย่อยคุยปรึกษากันในเว็บกลับถูกข่มขู่ว่าจะถูกเล่นงาน  เป็นต้น  ดังนั้น  นี่เป็นเวลาที่คนตัวเล็ก ๆ  จะต้องรวมพลังผ่านสื่อสังคมเพื่อตีโต้กลับ  และ “เราจะต้องเป็นฝ่ายชนะ!”

            และทั้งหมดนั้นก็คือ  “กระแส” ของโลกยุคใหม่ที่จะมีความเป็น “ประชาธิปไตย”มากขึ้นมากในทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง-และตลาดหุ้น  ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น  มีสิทธิมีเสียงมากขึ้น  คน “ตัวเล็ก” ทุกคนจะมีความหมายด้วยการรวมพลังผ่านสื่อที่ทรงประสิทธิภาพนั่นก็คืออินเตอร์เน็ตที่จะสามารถล้ม “ระบบเก่า” ที่เป็นอยู่มาช้านานได้

หุ้นเวียดนาม..ซื้อทุกการปรับฐาน?

เมื่อสักครู่แอดได้อ่านบทวิเคราะห์จาก J.P.Morgan ฉบับวันที่ 29 ม.ค.64
ที่พาดหัวค่อนข้างแรงในภาวะตลาดหุ้นรถไฟเหาะตีลังกาของเวียดนามว่า
“Vietnam Equity Strategy: Buy at every correction” ( กลยุทธ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม ซื้อทุกการปรับฐาน )

ขอแปลสรุปบทความที่อ่านดังนี้ค่ะ

  • จากการที่เวียดนามพบการระบาดของโควิด 19 ในรอบเกือบ 2 เดือน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาอีกครั้ง
    นักวิเคราะห์มองว่า: แม้จะมีความเสี่ยงที่การระบาดของโควิด 19 ในเวียดนามจะรุนแรงขึ้นในระยะสั้น แต่เราเชื่อว่าผลกระทบกับเศรษฐกิจมีจำกัด
  • รัฐบาลเวียดนามสั่งซื้อวัคซีน 30 ล้านโดส จาก AstraZeneca และพร้อมฉีดในไตรมาสแรกของปีนี้
  • พวกเรามองการปรับฐานของเวียดนามเป็นโอกาสในการซื้อ เราชอบธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ อุปโภคบริโภค และไอที
  • ภาคธนาคารกำไรดี NPL ยังต่ำ นอกจากนี้มีFDI ไหลเข้าเวียดนามมาก โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีทั้ง Intel Foxconn Apple มีการลงทุนเพิ่มในเวียดนาม
  • การปรับฐานแบบรุนแรงทำให้มูลค่ากลับมา (Steep correction brings value)
  • VN-Index dropped 12% ใน 1 สัปดาห์ ทำให้ forward P/E ตลาดอยู่ที่ 13.5 เท่า และ EPS คาดเติบโต 22% จากปีที่แล้ว

ในมุมมองของ JP Morgan ตลาดหุ้นน่าจะเด้งกลับมาได้เพราะ 4 ปัจจัยหลัก

  1. ดอกเบี้ยเงินฝากในเวียดนามต่ำเป็นประวัติศาสตร์
  2. ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นบวก มาพร้อมกับนโยบายรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการเติบโต
  3. การลงทุนต่างชาติที่เข้ามา
    4.Valuation ที่น่าดึงดูดด

ภาพรวม Valuation ราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) ตลาดหุ้นต่างๆ ในเอเชีย

ข้อมูลจาก Bloomberg และ VN Direct (วันที่ 29 ม.ค.64) ระบุว่าราคาหุ้นต่อกำไร (P/E)

  • Thailand 26.0 เท่า
  • Vietnam 16.9 เท่า
  • China 20.6 เท่า (แต่ถ้าเฉพาะ HSI จะประมาณ 14.5 เท่า)
  • India 33.2 เท่า
  • Indonesia 27.4 เท่า
  • Singapore 25.5 เท่า
  • Malaysia 21.9 เท่า
  • Philippines 26.3 เท่า
  • Taiwan 22.3 เท่า

ข้อมูลนี้เป็นเพียงการให้มุมมองกว้างๆ นะคะ เวียดนามปรับฐานรอบนี้เป็นจังหวะให้ซื้อหุ้นไหม? หรือ ควรรอต่อไป? ก็เป็นเรื่องที่เพื่อนๆ ก็ควรศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

Bloomberg: หากคุณมีเงินเย็นเกิน $10,000 ก็ควรพิจารณาลงทุนหุ้นเวียดนาม

0

เป็นปีที่ต้องลืมแต่เป็นตลาดที่ต้องจดจำ ตลาดหุ้นจบปี 2020 ด้วยการพุ่งขึ้นอย่างไม่คาดฝัน หลังจากตกหนักช่วงเดือนมีนาคม

ภาพที่ไม่มั่นคง ผู้จัดการเงินEric Balchunas นักวิเคราะห์ ETF ของ Bloomberg Intelligence และ Morgan Barna ได้ตอบคำถามที่ว่า: หากมีเงิน 10,000 ดอลลาร์ให้เค้าตอนนี้คุณจะเอาไปลงทุนอะไร

ทั้งคู่ได้พูดและแนะนำการลงทุนเวียดนามกับญี่ปุ่น

เวียดนาม

เวียดนามยังคงมีอัตราการเติบโตของ GDP ที่สูง การคำนวณล่าสุดของ Bloomberg แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของ GDP ของเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 3% ในปี 2020 และ 7-8% ในปี 2021

การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศหลายอย่าง ทั้งการบริโภคภายใน โครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิด และมาตรการสนับสนุนต่างๆ

อีกทั้งเวียดนามกำลังมีความแข็งแกร่งเมื่อได้ลงนามในข้อตกลงการค้าที่สำคัญหลายฉบับ ในปี 2020 เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป

นอกจากนี้ทั้งเวียดนามยังความสามารถในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ได้เป็นอย่างดี ( ถึงแม้จะพบเคสใหม่เป็นจำนวนมากไม่นานนี้ แต่ส่วนตัวแอดก็เชื่อว่าเค้าจะรับมือได้ดีอีกครั้ง สถาบันโลวีของออสเตรเลีย เพิ่งจัดอันดับว่าเวียดนามรับมือโควิดได้ดีอันดับ 2 ของโลก รองจากนิวซีแลนด์ ไทยได้อันดับ 4 ส่วนประเทศที่ทำผลงานได้แย่สุดคือบราซิล)

แม้ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีการฟื้นตัวและปรับตัวขึ้นมากจากจุดต่ำสุด แต่ตลาดหุ้นของเวียดนามก็มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน มากกว่า 40% เพราะยังคงจะได้รับประโยชน์จากการค้าและซัพพลายเชน รวมทั้งเมื่อตลาดทุนพัฒนาขึ้น และมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นเวียดนาม

ใน Bloomberg เค้าก็มีแนะนำการลงทุนหุ้นเวียดนามผ่านตลาดหุ้นอังกฤษและอเมริกา เช่น
Vietnam Enterprise Investments Ltd. (VEIL.LN) และ VinaCapital Vietnam Opportunity Fund Ltd. (VOF.LN) ที่ List ในตลาดหุ้นอังกฤษ
รวมทั้ง ETF ของสหรัฐ VanEck Vectors Vietnam ETF (ชื่อย่อ VNM แต่ไม่ใช่ Vinamilk บริษัทขายนมขนาดใหญ่ของเวียดนามนะคะ)

ในฐานะนักลงทุนชาวไทย โชคดีที่เรามีทางเลือกมากกว่าชาวต่างชาติประเทศอื่นๆ เพราะบางโบรกเกอร์ในไทยค่อนข้างจะ Professional ในตลาดหุ้นเวียดนามมาก เทรดหุ้นเวียดนามรายตัวออนไลน์ก็ได้ ซื้อ Local ETF ที่ได้เปรียบกว่า Foreign ETF ก็ง่าย แอดมีเพื่อนต่างชาติที่อยากลงทุนหุ้นเวียดนาม แต่โบรกเกอร์ประเทศเค้าไม่ค่อย Active เหมือนบ้านเราเลยค่ะ

Credit:
https://www.bloomberg.com/features/how-to-invest-10k/?sref=Mc2S4NkB
https://www.stockbiz.vn/News/2021/1/29/908657/bloomberg-neu-du-ra-10-000usd-co-the-can-nhac-dau-tu-vao-co-phieu-viet-nam.aspx

นักลงทุนตื่นตระหนก VN Index ตก 15% ในครึ่งเดือน

นักลงทุนตื่นตระหนก VN Index ตก 15% ในครึ่งเดือนในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา VN-Index ลดลงจาก 1,200 จุดเหลือ 1,026 จุด นับเป็นการลดลง ถึง 15%


5 ปัจจัยหลัก ที่มีอยู่นักลงทุนต้องพิจารณาในช่วงนี้

  1. Margin Call สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น สิ้นปี 2020 มียอดการให้กู้ยืมมาร์จิ้นประมาณ 81,000 ล้านด่อง เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาส 3 และ เพิ่มขึ้น 84% เทียบกับช่วงที่ตลาดทำจุดต่ำสุดที่ 660 จุด

แม้ว่ามาร์จิ้นบาลานซ์ในตลาดจะสร้างสถิติใหม่ แต่ตัวเลขนี้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับขนาดของตลาดหุ้นเวียดนามในปัจจุบัน
ยอดเงินกู้มาร์จิ้น/มูลค่าธุรกรรมเฉลี่ยในไตรมาส 4/2020 อยู่ที่ประมาณ 7.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าตอนที่ VN-Index ที่จุดสูงสุดที่ 1,204 จุด (ไตรมาส 2 ปี 2018) ที่ 12 เท่า
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเชื่อว่ามาร์จิ้นบาลานซ์ที่สูงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตลาด

การซื้อขายวันนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากจาก Margin Call

  1. เริ่มเข้าสู่ฤดูรายงานผลประกอบการ เราพบว่าหลายบริษัทมีผลกำไรสูง แต่บางผลประกอบบางธุรกิจก็ไม่ดีแบบที่คิด
    เราขอแนะนำให้นักลงทุนอ่านงบการเงินของธุรกิจอย่างละเอียดเพื่อหาหุ้นที่สดใส เพราะในช่วงที่ตลาดฟื้นตัวหุ้นเหล่านี้จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า
  2. นักลงทุนจำนวนมากต้องการถอนเงินเพื่อใช้จ่ายในช่วงวันหยุด Tet พวกเขารีบขายทำกำไร และออกจากตลาดหุ้นชั่วคราวก่อนวันหยุดยาว
    อย่างไรก็ตามไม่มีใครคาดคิดว่าตลาดหุ้นที่กำลังพุ่งจะตกลงเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นจุดที่ดีสำหรับการลงทุนในตลาดอีกครั้ง
  3. การแพร่ระบาดของโควิด -19 เกิดขึ้นอีกครั้งในเวียดนาม นี่ทำให้นักลงทุนหลายคนหวาดกลัว แต่หนึ่งปีที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามก็สามารถควบคุมได้อย่างน่าทึ่ง เรายังเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะมันได้อีกครั้ง นักลงทุนควรเลือกอ่านข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานอย่างใจเย็นเพื่อปรับพอร์ตอย่างถูกต้อง ความตื่นตระหนกจะทำให้คุณทำผิด
  4. เศรษฐกิจมหภาคของเวียดนามยังคงมีเสถียรภาพและเติบโต
    เวียดนามยังคงเป็นดาวรุ่ง การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2564 คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับโลก
    นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด

ข่าวอื่นๆ วันนี้

  • วันนี้ (28 ม.ค.) ครึ่งเช้า นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิมากกว่า 560 พันล้านด่อง ( 730 ล้านบาท) หลังจากที่ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายขายมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา
  • ฮานอยระงับเทศกาล Tet เมื่อพบอันตรายจากการติดเชื้อ Covid-19 ในชุมชน

Credit:
https://cafef.vn/5-diem-nha-dau-tu-nhat-dinh-phai-luu-y-trong-boi-canh-thi-truong-chung-khoan-hien-tai-20210128130039611.chn

รวยเร็ว VS รวยช้า

โลกในมุมมองของ Value Investor       24 มกราคม 64

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

            คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างจริงจังและมุ่งหวังที่จะ “รวย” จากตลาดหุ้นหรือมีอิสรภาพทางการเงินก่อนเกษียณจากการทำงานประจำนั้น  ควรที่จะมี “ยุทธศาสตร์” การลงทุนตั้งแต่เริ่มต้นมิฉะนั้นเวลาลงทุนก็จะเกิดความสับสนและไม่สามารถสร้างสไตล์การลงทุนที่จะเกิดความเชี่ยวชาญและนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้

            จุดเริ่มต้นก็คือ  เราควรที่จะต้องมี “ยุทธศาสตร์หลัก” ก่อนว่า  เราจะ “รวยเร็วแต่มีความเสี่ยงสูง”  หรือ “รวยช้าแต่มีความเสี่ยงต่ำ”  เราจะต้องเลือกว่าจะเอาแบบไหน?  อย่าบอกว่าเราอยาก “รวยเร็วและมีความเสี่ยงต่ำ”  เพราะในความเป็นจริงของการลงทุนนั้น  มันเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากที่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถเป็นพิเศษจะสามารถสร้างผลตอบแทนดีเลิศมาก ๆ โดยที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าปกติ  วอเร็น บัฟเฟตต์ อาจจะเป็นนักลงทุนน้อยคนมากในโลกที่สามารถทำได้  คนที่ “รวยเร็วมาก” อาจจะเร็วกว่าบัฟเฟตต์หลายเท่าในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น คนที่รวยจากบิทคอย หรือคนที่รวยจากหุ้นดิจิตอลในช่วงเวลาหนึ่งนั้น  สุดท้ายมักจะไม่สามารถรักษาความมั่งคั่งในระดับที่ดีเลิศได้  เพราะในไม่ช้าก็อาจจะขาดทุนอย่างวอดวายเพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมีความเสี่ยงสูงเกินไป  หุ้นหรือตราสารที่ลงทุนอาจจะตกลงมาอย่างหนัก  ทำให้เกิดการขาดทุนแทบจะเป็น “หายนะ” ซึ่งผลก็คือ  ที่คิดว่าจะรวยเร็วก็กลายเป็นรวยช้าหรือ “เจ๊ง” ไปเลยก็เป็นได้

            ถ้าคิดจะ “รวยเร็วแต่ความเสี่ยงสูง” สิ่งที่จะต้องทำก็คือ  ลงทุนหุ้นแบบน้อยตัวหรือ “Focus Investment” มาก ๆ   การเล่นหุ้นน้อยตัวในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าถือหุ้นแค่ 2-3 ตัวหรือเป็นสิบ ๆ ตัว  แต่หมายถึงการถือหุ้นที่มี “นัยสำคัญ” จำนวนน้อยตัว  โดยเกณฑ์ของผมก็คือ  คนที่ถือหุ้นน้อยตัวที่สุดก็คือคนที่ถือหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวมีมูลค่า 70% หรือมากกว่าของมูลค่าพอร์ตโฟลิโอการลงทุนทั้งหมด  หรือพูดหยาบ ๆ  ก็คือคนที่ “เล่นหุ้นตัวเดียว” หรือเล่นทีละตัว  ดังนั้น  ถ้าหุ้นขึ้นมาก ๆ  ก็รวยไปเลย  แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นตกลงมามาก  ก็ “จน” เลย  นี่ก็คือความหมายที่ว่า  “รวยเร็วแต่เสี่ยงสูง” ว่าที่จริง  เจ้าของบริษัทที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทบทั้งหมดก็คือคนที่เข้าข่ายนี้  หลายคนก็กลายเป็นเศรษฐีหุ้นระดับต้น ๆ ของประเทศ  แต่บ่อยครั้งที่เวลาผ่านไป  ความมั่งคั่งก็ตกลงไปมากเพราะหุ้นตกลงไปมาก

            คนที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 5 ตัวแรก มีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 70% หรือมากกว่าของพอร์ตโดยรวมผมถือว่าเป็นนักลงทุนที่หวัง “รวยเร็วแต่ความเสี่ยงสูง”  อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั้นจะน้อยกว่าการถือหุ้นตัวเดียวมาก  น่าจะไม่ถึงครึ่งโดยเฉพาะถ้ากระจายการถือหุ้นในอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกันในทั้ง 5 อุตสาหกรรม  และโดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นความเสี่ยงที่  “รับได้”  ถ้าคน ๆ  นั้น  เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ  และความทุ่มเทที่จะวิเคราะห์  ศึกษาและติดตามตัวกิจการและหุ้นอย่างใกล้ชิด  โดยที่การถือหุ้นแบบนี้พวกเขาจะต้องคิดเหมือนกับว่าเป็นการลงทุนทำ “ธุรกิจ” 5 อย่าง ที่ไม่เหมือนกัน  และต้องคอยเฝ้าดูและติดตามว่าแต่ละธุรกิจที่ทำนั้น “ยังดีอยู่”  หากเห็นว่าตัวไหนเริ่มจะแย่หรือตกต่ำลงในระยะยาวก็จะต้องเปลี่ยนตัวหุ้นไปเรื่อย ๆ  อย่างช้า  ๆ  โดยอัตราการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างน้อยก็จะต้องในระยะ 3-5 ปี ไม่ใช่เปลี่ยนทุกปี  ถ้าทำแบบนี้  ผมคิดว่าเราสามารถ  “รวยเร็ว” ได้โดยที่ความเสี่ยงไม่สูงเกินไป  และโอกาสที่จะไม่รวยหรือจนลงก่อนก่อนเกษียณก็น่าจะต่ำ  ว่าที่จริง  นี่ก็อาจจะเป็นกลยุทธ์ของ “VI ผู้มุ่งมั่น” ของไทยในช่วงไม่ต่ำกว่า 10 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้หลาย ๆ  คน  “รวย” ไปแล้ว  และผมก็เชื่อว่าพวกเขาไม่น่าที่จะกลับมา “จน”  ลงในอนาคตแม้ว่าภาวะตลาดหุ้นต่อจากนี้อาจจะไม่เอื้ออำนวยนัก

            คนที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 10-12 ตัว มีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 70% หรือมากกว่าของพอร์ตนั้น  จะหวังให้รวยเร็วมาก ๆ  แบบคนที่ถือหุ้นตัวเดียวหรือ 5 ตัวดังกล่าวข้างต้นไม่ได้  แต่ความเสี่ยงของการลงทุนแบบนี้ก็ต่ำกว่ามาก  ว่าที่จริงผมคิดว่าความเสี่ยงแทบจะใกล้เคียงกับกับการถือกองทุนรวมหุ้นด้วยซ้ำถ้าเราถือหุ้นกระจายไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย  เหตุผลที่ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยจะไม่สูงมากจนทำให้ “รวยเร็ว” ก็คือ  โอกาสที่เราจะเลือกหุ้นได้ “สุดยอด” ในหุ้นทุกตัวหรือหลายตัวก็จะน้อยลง  และหุ้นตัวที่ดีเยี่ยมและอาจจะทำกำไรได้เป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ในเวลา 3-4 ปี นั้นก็อาจจะมีแค่ไม่เกิน 2-3 ตัว ซึ่งเมื่อเฉลี่ยกับหุ้นอื่น ๆ  เป็น 10 ตัวก็จะทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยไม่สูงมากเหมือนคนที่ถือหุ้นตัวเดียวหรือไม่กี่ตัว  อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกหนัก ๆ  ทุกตัวก็มีน้อยเช่นเดียวกัน  ดังนั้น  คนที่ถือหุ้นแบบนี้ก็มักจะสบายใจกว่า  และนี่ก็อาจจะเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และความสามารถในการเลือกหุ้นระดับหนึ่งและอาจจะไม่มีเวลามากนัก  อาจจะเนื่องจากมีภาระงานประจำค่อนข้างมาก  ตัวอย่างอาจจะรวมถึงหมอหรือผู้บริหารกิจการขนาดใหญ่  เป็นต้น

            คนที่มีความรู้ในการเลือกหุ้นน้อย  หรือมีความสนใจในการลงทุนต่ำ  ส่วนหนึ่งอาจจะไม่ได้เรียนหรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขหรือเงินทองแต่มีรายได้ดีและมีเงินออมสูง  ต้องการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ  พวกเขาควรลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีของประเทศหรือตลาดหุ้นที่ยังเติบโตสูงในระยะยาวต่อจากนี้  ซึ่งในช่วงปัจจุบันนี้ที่ผมเห็นก็คือ  ประเทศในย่านเอเชียที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วและยังเติบโตต่อไปอีกนานเนื่องจากโครงสร้างประชากรที่ยังไม่แก่ตัวเร็ว  หรือเป็นประเทศที่ธุรกิจยังเติบโตได้มากเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างสหรัฐอเมริกาหรือจีน  นี่คือการลงทุนที่  “รวยช้าแต่ความเสี่ยงต่ำ” ซึ่งนับวันจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าเทียบกับกลยุทธ์ “รวยเร็วแต่มีความเสี่ยงสูง” โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้มีความสามารถทางการลงทุนแต่คิดว่าตนเองมีหรือคนที่ “เล่นหุ้นตามเซียน” เพื่อหวังจะรวยเร็ว

            นอกจากจำนวนหุ้นที่ถือลงทุนแล้ว  การที่จะรวยเร็ว-เสี่ยงสูง  หรือ รวยช้า-เสี่ยงต่ำ ยังขึ้นอยู่กับลักษณะหรือคุณสมบัติของหุ้นที่เลือกด้วย  หุ้นวัฎจักร  หุ้นโภคภัณฑ์ หรือ “หุ้นปั่น” หรือหุ้นเก็งกำไร  หุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่ถูก “Corner” ได้ง่าย  ก็เป็นหุ้นที่ทำให้รวยเร็วมากแต่ความเสี่ยงก็มักจะสูงมาก  ในทางตรงกันข้าม  หุ้นแข็งแกร่ง  หุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยังยืน  หุ้นที่มีขนาดใหญ่และเล่นกันในหมู่นักลงทุนสถาบัน  เหล่านี้  แม้ว่ามันมักจะไม่ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก  โอกาสที่จะได้กำไรเป็น “เด้ง ๆ” มีน้อย  แต่ความเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือ  “เจ๊ง” หนักก็จะมีน้อยโดยเฉพาะถ้าเราถือลงทุนระยะยาว 

            ปัจจัยสำคัญสุดท้ายที่จะทำให้รวยเร็วแต่เสี่ยงสูงก็คือ   การลงทุนในหุ้น 100% หรือมากกว่านั้นโดยการกู้เงินแบบใช้มาร์จินหรือการซื้อหุ้นหุ้นโดยใช้บล็อกเทรดที่สามารถลงทุนในหุ้นได้  อาจจะ 1,000% หรือ 10 เท่าของเงินที่มี  นี่คือกลยุทธ์ “รวยเร็วสุดยอด” แต่ก็ “เสี่ยงสุดยอด” คล้าย ๆ  กับการเล่นการพนันหรือการแทงหวย  ที่ถ้าไม่รวยก็จนกันไปเลย  กลยุทธ์รวยช้าแต่เสี่ยงต่ำนั้น  ผมคิดว่าน่าจะยังต้องถือหุ้นเป็นสัดส่วนอย่างน้อย 50% ขึ้นไป  เหตุผลก็คือ  การถือหุ้นในระยะยาวนั้น  ไม่ได้เสี่ยงมากอย่างที่บางคนอาจจะเข้าใจ  โดยเฉพาะถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศที่ยังเติบโตและแข็งแรงอย่างชัดเจนในระยะยาว

            ข้อสรุปก็คือ  คนที่จะรวยเร็วที่สุดก็คือ  คนที่ลงทุนในหุ้นตัวเดียวหรือน้อยตัวมากที่สุด  ถือหุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นที่ผันผวนเป็นวัฏจักร หรือถือหุ้นปั่นหรือเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นที่ถูก Corner และลงทุนโดยใช้การ Leverage หรือใช้เงินคนอื่นสูงมาก ๆ  เช่น  การเล่นแบบมาร์จินหรือใช้บล็อกเทรด  จะเป็นคนที่รวยเร็วที่สุดพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากที่สุด  โดยส่วนตัวผมเองนั้นใช้กลยุทธ์ถือหุ้น 5 ตัวเกิน 70% ของพอร์ต  ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืน และมักจะลงทุนในหุ้น 100% มาแทบจะตลอดเวลาหลายสิบปี  ซึ่งก็ได้ผลตอบแทนที่ดีมากจนถึงเมื่อเร็ว ๆ  นี้  ในด้านของความเสี่ยงนั้นผมคิดว่าไม่สูงเห็นได้จากการขาดทุนของพอร์ตนั้นเกิดขึ้นน้อยและเกิดขึ้นไม่กี่ปี  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าผลตอบแทนที่ดีมากนั้น  น่าจะเกิดจาก “โชค” ที่ว่าในช่วงที่ผ่านมานั้น  หุ้นที่ถูกเรียกว่า “VI” นั้น  ให้ผลตอบแทนที่ดีมากอานิสงค์จากการที่นักลงทุนไทยหันมาลงทุนในหุ้นประเภทนี้กันมาก  ผมเองไม่คิดว่ามันจะต่อเนื่องไปในอนาคต

            สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่ไม่ได้มีความรู้  ความสามารถและเวลารวมถึงความสนใจในการลงทุน  ผมคิดว่า  กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีของประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืน  น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีและให้ผลตอบแทนที่จะทำให้รวยแบบช้า ๆ แต่ยาวนานจนสามารถบรรลุเป้าหมายของการมีอิสรภาพทางการเงินในยามเกษียณหรือภายในเวลาซัก 20-30 ปีได้

เปิดพอร์ตหุ้นเวียดนามยังไง ที่ไหนดี?

“เปิดพอร์ตหุ้นเวียดนามยังไง ที่ไหนดี?” เป็นคำถามยอดฮิตที่ inbox มาหาแอดในช่วงนี้ ช่วงที่ดัชนีหุ้นเวียดนามเริ่มพุ่งใกล้ New High เดิม

ผลตอบแทนจากดัชนี 6 เดือนล่าสุด VN index ของเวียดนาม +36.2% ขณะที่ SET index ของไทย +10.2%

โพสต์นี้แอดยังไม่ขอพูดเรื่อง Valuation หรือ ตอบว่าซื้อหุ้น/ ETF เวียดนามตอนนี้แพงไหม แต่สิ่งที่แอดอยากบอกในโพสต์นี้คือ ถ้าเพื่อนๆ ตั้งใจลงทุนหุ้นเวียดนามแบบโฟกัสในระยะยาว  “การเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นเวียดนามมีความสำคัญมาก และควรรีบเปิด”

เพราะ

  1. 1 การเปิดพอร์ตหุ้นเวียดนามจะช่วยให้เราได้รับบทวิเคราะห์และข้อมูลประกอบการลงทุน

การรีบเปิดพอร์ต ไม่ได้แปลว่าต้องรีบซื้อหุ้น (รอให้ชัวร์ก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้นเวียดนามนะคะ) แต่การเปิดพอร์ตหุ้นเวียดนามจะช่วยให้เราได้รับบทวิเคราะห์และข้อมูลประกอบการลงทุน ทั้งทาง E-mail ที่โบรกเกอร์ส่งให้รายวัน อีกทั้งเราก็สามารถขอ Username Password อ่านบทวิเคราะห์ย้อนหลังในเว็บของโบรกเกอร์เวียดนามด้วย (ข้อมูลหุ้นเวียดนามจะไม่ค่อย Publish เหมือนหุ้นไทย-อเมริกา-จีน ส่วนใหญ่ต้องเป็นลูกค้าเค้าก่อนถึงจะมี access บทวิเคราะห์ค่ะ)

2. การเปิดพอร์ตเป็นการเตรียมความพร้อมในการซื้อหุ้นเมื่อมีจังหวะลงทุน

แม้ตลาดหุ้นเวียดนามจะดูดีมีอนาคต แต่ก็ยังเป็นตลาด Frontier ที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่หากเรามีพอร์ตหุ้นเวียดนามแล้ว เราสามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนในการซื้อหุ้นตอนที่ตลาดตกหนัก ทั้งหุ้นรายตัว และ ETF ได้

ตัวอย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ดีๆ ก็ตลาดหุ้นก็ติด Floor ทั้งที่ไม่ได้มีข่าวร้ายอะไรเป็นพิเศษ  นลท. รายย่อยเวียดนามก็ Panic เทขายหุ้นแบบไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ 

จากประสบการณ์ 5 ปี ในตลาดหุ้นเวียดนาม แอดมักเห็นภาวะ Panic ที่บางทีราคาหุ้นเวียดนามถูกจนงง (แอดไม่ค่อยเห็นภาวะนี้ในไทย ที่เป็นแนว sideway มากกว่า)   

เราก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่หุ้นตกมากทั้งที่ Valuation ยังดีอีกเมื่อไหร่

สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือ “ การเตรียมความพร้อมเปิดพอร์ตไว้รอวันที่เราชัวร์ในการซื้อหุ้นเวียดนาม”

สิ่งสำคัญในการเลือกโบรกเกอร์ลงทุนหุ้นเวียดนาม

  1. เลือกโบรกเกอร์ที่มี “ความเข้าใจ และ Focus ตลาดหุ้นเวียดนาม” ข้อนี้สำคัญสุดในความคิดเห็นของแอดค่ะ

ถ้าเป็นหุ้นไทย อเมริกา จีน แอดว่าเปิดพอร์ตโบรกไหนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ต่างบ้างก็แค่ค่าธรรมเนียม ซึ่งเราเทรดเองอยู่แล้ว  แต่จากปัญหาที่เพื่อนๆ inbox มาช่วงนี้  แอดก็รู้สึกเวียดนามนี่เปิดพอร์ตผิดโบรกเกอร์ชีวิตอาจเปลี่ยนได้เหมือนกันนะคะ เพราะตลาดหุ้นเวียดนามมีความยากกว่าตลาดไทย และที่อื่นๆ ในโลก 

เปรียบเหมือนทั่วโลกต่อยมวยสากล แต่เวียดนามมีต่อยมวยวัดผสมผสาน บางทีก็มีกฎอะไรแปลกๆ  เช่น  Foreign Ownership Limit  หุ้นดีๆ หลายตัวที่ ไม่สามารถเทรดซื้อผ่านกระดานทั่วไป โบรกเกอร์บางแห่งก็จะไม่ค่อยช่วยนักลงทุนในการซื้อหุ้นประเภทนี้

หรือ ช่วงที่ผ่านมามีคนมาบ่นกับแอดเยอะว่าไม่สามารถซื้อ Diamond ETF ได้เพราะ Broker บอกว่า Foreign room เต็มตลอดมาหลายเดือน ซึ่งไม่ก็ถูกต้องค่ะ Diamond ETF ไม่มีคำว่า Foreign room เต็ม แล้วตอนนี้ ETF ก็ขึ้นมาเยอะแล้ว เพื่อน นลท. ท่านนั้นก็พลาดโอกาสลงทุนไป   

หรือบางทีมีหุ้น IPO บางโบรกที่เค้าไม่ Active เวียดนามเค้าก็จะทำเรื่อง IPO ให้เรา  หรือ บางทีมีหุ้นเพิ่มทุน หรือ สิทธิ์จองซื้อ convertible bond บางโบรกเกอร์ก็อาจไม่บอกเราเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของ นลท. ต้องศึกษาติดตามเองค่ะ

แอดก็เข้าใจมุมมองของโบรกเกอร์นะคะว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังเล็ก Volume น้อย เลยจะไม่คุ้มที่จะ Active เท่าไหร่ วิธีแก้สำหรับนักลงทุนที่ Focus และ Active กับตลาดหุ้นเวียดนาม คือ เปิดพอร์ตโบรกเกอร์ที่เค้า “ เข้าใจและ Focus เวียดนาม” ควบคู่ไปด้วยค่ะ  (เพื่อนๆ คิดว่าโบรกเกอร์ไหน “ มีความเข้าใจและ Focus หุ้นเวียดนาม” ก็มาช่วยกัน comment อธิบายใต้โพสต์นี้หน่อยนะคะ  แอดไม่อยากฟันธงค่ะ ^^ )

2.เลือกโบรกเกอร์ที่ให้บทวิเคราะห์ที่ดีและหลากหลาย

เรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่แอดมินให้ความสำคัญอันดับ 2 ค่ะ  เวียดนามเค้าค่อนข้างหวงข้อมูล Search หาเรื่องที่เราสงสัยไม่ได้จาก Google  แต่สิ่งเหล่านี้มีบอกในบทวิเคราะห์ โบรกเกอร์ไทยบางแห่งก็เป็น Partner กับโบรกเกอร์เวียดนามหลายเจ้าก็ ซึ่งเป็นประโยชน์ให้เราได้รับบทวิเคราะห์ที่ดีและหลากหลายนะคะ  แถมบางโบรกเกอร์ไทยบางแห่งเค้าแปล Recap หุ้นเวียดนามเป็นภาษาไทยให้เราอ่านทุกวันด้วยนะคะ  ส่วนตัวแอดมินชอบอ่านบทวิเคราะห์ของ Vietcapital , SSI ,  VNdirect,  HSC  ฯลฯ ค่ะ

3. ค่าธรรมเนียม  

เรื่องนี้ นลท. ชอบ inbox มาถามสั้นๆ ว่าโบรกไหนค่ะธรรมเนียมต่ำสุด  ซึ่งแอดก็ไม่ได้ตอบกลับ เพราะส่วนตัวให้ Value กับโบรกเกอร์ที่มีความเข้าใจ Focus หุ้นเวียดนาม มี Service Mind  ดี ช่วยอำนวยความสะดวกเรามากกว่าเรื่องของค่าธรรมเนียมค่ะ  (แต่ถ้าเป็นหุ้นไทย อเมริกา จีน แอดจะซีเรียสเรื่องค่าคอมหน่อย) คร่าวๆ คือ ค่าธรรมเนียมเทรดหุ้นเวียดนามประมาณ 0.428% (รวม VAT 7%) ถ้าเทรดออนไลน์เองบางแห่งจะอยู่ที่ประมาณ 0.36% (รวม VAT 7%)   สำหรับ นลท. รายย่อยที่ไม่ได้เทรดทีละเยอะๆ แนะนำให้เลือกโบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าคอมขั้นต่ำ เพราะเวียดนามบางหุ้นสภาพคล่องต่ำต้องทยอยเก็บหุ้นหลายวัน หรือบางคนอยาก DCA ก็จะได้ไม่ต้องมีกฏตรงนี้มาให้คิดค่ะ

4. เลือกโบรกเกอร์ที่มี Online Trading สำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นอีกทางเลือกให้พิจารณาตลาดหุ้นเวียดนาม ณ. วันนี้ ก็มี Finansia Syrus KT-Zmico และ Bualuangที่ให้บริการ Online Trading ซึ่งเหมาะกับท่านที่ชอบความรวดเร็วและทำอะไรด้วยตัวเองค่ะ  ในอนาคตคาดว่าจะมีบริการ Online Trading เพิ่มอีกอย่างแน่นอนในหลายโบรกเกอร์

สำหรับท่านที่อยากฟังเรื่องจริงประสบการณ์ตรง ในการเปิดพอร์ต ในไลฟ์สดมีเฉพาะในกลุ่มปิดเท่านั้น. ครั้งแรกในการไลฟ์สดเจาะลึก ” เปิดพอร์ตหุ้น-กองทุนเวียดนามที่ไหน อย่างไรดี? “ เท่านั้น เปิดพอร์ตผิดที่. คิดได้อีกทีก็สายไปแล้ว


วิธีการเปิดพอร์ตหุ้นเวียดนามผ่านโบรกเกอร์ไทย


  1. เลือกโบรกเกอร์ที่จะเปิดพอร์ต (เช่น KT-Zmico / Finansia Syrus / Bualuang / CGS CIMB/ SCBS  ฯลฯ )

แต่ละโบรกเกอร์จะมีข้อกำหนดต่างกัน เช่น  KT-Zmico ต้องแสดง Statement  รวมไม่น้อยกว่า 200,000 บาท  Finansia Syrus ต้องแสดง Statement รวมไม่น้อยกว่า 300,000 บาท  หรือ Bualuang ก็จะกำหนดว่าโอนเงินไปเทรดครั้งแรกต้องไม่ต่ำกว่า 500,000 บาทค่ะ ( Statement หมายความรวมถึง พอร์ตหุ้น-กองทุน บัญชีเงินฝากในธนาคาร ฯลฯ ที่เป็นชื่อเรานะคะ )

2. โทรหาเจ้าหน้าที่ของแต่ละโบรกเกอร์ (ตามเบอร์โทรตามข้อมูลด้านล่าง) เพื่อขอเปิดพอร์ตหุ้นเวียดนาม (เจ้าหน้าที่จะจัดส่งเอกสารคำขอเปิดบัญชีให้เราเซ็นต์ พร้อมให้เราแนบสำเนาบัตรประชาชน และ สำเนา book bank กลับมา

3. ส่งเอกสารฯ กลับ ให้เจ้าหน้าที่ (ท่านที่อยู่ กทม. โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมี messenger มารับ-ส่งเอกสารถึงที่ค่ะ)

4. ประมาณ 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ก็จะแจ้งว่าบัญชีเปิดได้แล้ว ให้โอนเงินไปเวียดนามได้ (บัญชีเราจะ เป็นแบบ Cash Balance โอนเงินเท่าไหร่ซื้อหุ้นได้เท่านั้น) ใช้เวลาการโอนเงินประมาณ 2 วันทำการ เดิมการโอนเงินแต่ละครั้งจะมี Fix cost ทีประมาณ 1,000 กว่าบาท แต่ปัจจุบันหลายโบรกเกอร์จัดโปรโอนฟรี เช่น KT Zmico , Finansia Syrus , Bualuang (โอนฟรีทุกวันอังคารและพุธ)  ก่อนโอนลองโทรเช็คกับมาร์นะคะ เวลาเรา Convert เงินบาทไทยไปเวียดนาม จะเป็น Corporate rate เรทจะดีกว่าเวลาเราไปแลกเงินเที่ยวต่างประเทศกับธนาคารนะคะ

ตัวอย่างค่าธรรมเนียมที่ให้ในการโอนเงินเพื่อลงทุนปัจจุบันค่อนข้างประหยัดหลักร้อยเองนะคะ Credit: Finansia Syrus

5. เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ทราบว่าสามารถซื้อขายหุ้นเวียดนามได้แล้ว ต้องการซื้อ-ขาย หุ้นอะไร จำนวนเท่าไหร่สามารถโทร / E-mail / คีย์เทรด ได้  ค่าคอมประมาณ 0.428 % (แต่ละโบรกเกอร์จะต่างกัน  บางโบรกเกอร์จะมีค่ารักษาบัญชีหุ้น ฯ ด้วยค่ะ)

6.แจ้งโบรกเกอร์ได้รับคำแนะนำการเปิดพอร์ตจาก vvi group อาจได้รับการดูแลพิเศษ

7 ก่อนเปิดพอร์ต จะเลือกโบรกไหน อย่างไรดี ควรศึกษาเพิ่มเติมก่อนเปิด ที่ https://www.vietnamvi.com/2021/02/09/open-account/

สนใจเรียนรู้ออนไลน์ ลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีน สามารถดูรายละเอียดและ

สมัครได้ที่: https://class.vietnamvi.com/

ท่านสามารถติดตามข่าวสารจาก vietnamviได้ที่

Website – https://www.vietnamvi.com

Facebook –https://www.facebook.com/vvinvestor/

Line @vietnamvi- https://lin.ee/47V0kep

YouTube- https://youtube.com/c/Vietnamvi

ข้อมูลโบรกเกอร์ที่ท่านสามารถเปิดพอร์ตหุ้นเวียดนามได้

บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด

ฝ่ายค้าหลักทรัพย์ต่างประเทศ โทรศัพท์ : +66 2 695 5959-60 Email: Z-Inter@ktzmico.com

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

ฝ่ายธุรกิจสถาบันและการตลาดต่างประเทศ โทรศัพท์:  +66 2 625 2477-82 Email: gt@fnsyrus.com

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

ฝ่าย Offshore Trading & TFEX Product โทรศัพท์ : 02-618-1999 Email : globalinvest@bualuang.co.th

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด: CGS-CIMB

http://www.cimbsecurities.co.th โทร . 02 846-8698-99

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด

ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ต่างประเทศ โทรศัพท์: +662 9491225-6, +662 949 1231 Email:offshore@scb.co.th

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

โทรศัพท์: +662-658-6300 #1801


สำหรับเพื่อนๆ สนใจเรียนรู้หุ้นเวียดนาม รับฟังประสบการณ์การเปิดพอร์ตจริงจากเพื่อนนักลงทุน. ตลอดจนรายละเอียดอื่นๆ ดูคลิปวีดีโอ Update การลงทุนหุ้นต่างประเทศ เป็นสมาชิก vvi membership คลิก สมัครได้ที่: https://class.vietnamvi.com/