ตัดจากบทสัมภาษณ์ ของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในรายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน (20-07-63)
8 ปีที่แล้วที่หุ้นไทยไม่ไปไหน …ทางออกของเราคืออะไร?
ตอนนี้ประเทศอื่นเค้าเปลี่ยนหมด บ้านเราพูดตามตรงยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนเลยทางออกคือ "ไปลงทุนต่างประเทศ" ไปลงทุนประเทศที่เค้ามีอนาคตดีๆ
หรือถ้าสู้กันในประเทศไทยต้องเปลี่ยนโหมด เก็งกำไรเอาแบบเดิมหุ้นตัวเล็กแบบเดิม ผมคิดว่าแบบนี้ไปไม่รอดหรอก ตราบใดที่ภาพใหญ่ยังไม่เอื้ออำนวย มันไปยาก
แต่ถ้าคุณเลือกไปประเทศที่อนาคตสดใส ผมยกตัวอย่าง ไม่ได้เชียร์อะไรมากนะ…เวียดนามเนี๊ย !จริงๆ เท่าที่ผ่านมาหลายปีเค้าก็ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรมากมายนะ พอๆ กับเมืองไทย ไม่ค่อยดีหรอก แต่ไปดูพื้นฐานของเค้านี้มันรองรับหมด...
โลกในมุมมองของ Value Investor 18 กรกฎาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี ตลาดหุ้นไทยนั้นดูเหมือนจะไม่ไปไหน สิ้นปี 2555 ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,392 จุด ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ดัชนีอยู่ที่ 1,360 จุดหรือลดต่ำลงประมาณ 2.3% ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 กรกฎาคม 63
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมสังเกตมานานแล้วว่าตลาดหุ้นไทยนั้นเป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศอื่น ๆ ที่ผมรู้จัก การเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลของไทยนั้น ว่าที่จริงแทบไม่เคยหายไปเลยยกเว้นก็แต่ในช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่ เศรษฐกิจไทยแทบจะล่มสลายและคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็คือผู้ประกอบการและนักธุรกิจที่มีเงินมากพอที่จะเล่นหุ้นหรือลงทุนได้ในช่วงเวลานั้น ซึ่งก็ทำให้การ “เก็งกำไร” ในตลาดหุ้นหายไปอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาหลายปีก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวและเกิด “นักลงทุนรุ่นใหม่” ที่มีความหลากหลายมากขึ้นและรวมถึง คนชั้นกลางที่ “กินเงินเดือน” และเริ่มสะสมเงินหรือความมั่งคั่งเพื่อการเกษียณ นักลงทุนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีจำนวนมากขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนรุ่นเก่า พวกเขานอกจากจะมีเงินแล้วก็ยังมี “ความรู้”ในการลงทุนมากขึ้นมาก พวกเขารู้ว่าในการเลือกหุ้นลงทุน เราจะต้องวิเคราะห์และประเมินหามูลค่าที่แท้จริงและเปรียบเทียบกับราคาหุ้น ถ้าหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากหรือที่เรียกว่ามี Margin Of Safety สูง เขาก็จะซื้อ ถ้าราคาหุ้นแพงกว่าก็ต้องขาย นี่คือหลักการที่เรียกว่า “Value Investing” ที่กลายเป็น “กระแสหลัก” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงทุกวันนี้
แต่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นเองนั้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor 4 กรกฎาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมสังเกตเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกิดขึ้นในโลกจำนวนมาก สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น เติบโตอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาไม่นานนักก็แซงหรือทดแทนสิ่งเก่าที่เคยยิ่งใหญ่หรือเป็นสิ่งที่เคยยึดถือกันมายาวนานเป็นสิบ ๆ หรือร้อยปี นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนต้องใช้กัน แต่รวมถึงแนวความคิดและปรัชญาของผู้คนที่เปลี่ยนเร็วไม่แพ้กันหรือเร็วยิ่งกว่าสิ่งของที่จับต้องได้ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ผมคิดว่ามาจากการ “ปฏิวัติ” ของเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิตอลที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จาก 1G กลายเป็น 5G ภายในเวลาแค่ประมาณ 20 ปี ซึ่งทำให้ประชาชนรายเล็ก ๆ...
โลกในมุมมองของ Value Investor
27 มิถุนายน 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงที่การระบาดของโควิด-19 กำลังหมดไปจากประเทศไทยหลังจากเรา “ปิดเมือง” มาหลายเดือนนั้น สิ่งที่ผมเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญมี 2 เรื่องก็คือ เรื่องแรก เกิด “Pent Up Demand” นั่นก็คือ มีความต้องการของสินค้าและบริการหลายอย่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจาก “ความต้องการที่ถูกอั้นไว้” ของผู้บริโภคในสินค้าบางอย่าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การท่องเที่ยว โดยเฉพาะของคนที่มีเงินมากพอที่จะเที่ยวได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือต้องห่วงว่าเงินจะหมดไปมาก และเรื่องที่สองก็คือ “Wealth Effect” on demand ซึ่งก็คือ ความมั่งคั่งของผู้บริโภคที่มากขึ้นหรือในกรณีของโควิด-19 ก็คือความมั่งคั่งที่หดหายหรือลดลงไปที่จะมีผลต่อความต้องการซื้อสินค้าของคนในประเทศ
ในช่วงนี้ ในบางธุรกิจและในบางพื้นที่ เราก็มักจะได้รับ “ข่าวดี” ที่ว่า หลังจากมีการเปิดเมืองบางส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผลประกอบการหรือยอดขายก็ดีหรือกระเตื้องขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมระดับหรูในเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพเช่น หัวหิน มียอดผู้เข้าพักเต็มหรือเกือบเต็มอย่างรวดเร็วหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดใหม่กลายเป็นศูนย์ติดต่อกันเกิน 14 วันหรือมากกว่านั้น และนั่นก็ทำให้ผม “ประหลาดใจ” และรู้สึกมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดเมื่อผมเดินทางไปพักผ่อนที่นั่นเมื่อ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผมก็ได้ข่าวว่าร้านอาหารภัตตาคารที่เริ่มเปิดในห้างต่างก็มีลูกค้าเข้ามากินกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแม้ว่ายังมีข้อกำหนดให้ต้องเว้นระยะห่างอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าคนจะ “อั้น” กันมานาน คือไม่ได้ออกไปเดินห้างและแวะกินอาหารในห้าง เขาเหล่านั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนชั้นกลางกินเงินเดือนและก็ไม่ได้ตกงานจนต้องกระเหม็ดกระแหม่ไม่สามารถมากินอาหารภัตตาคารได้ ดังนั้น พวกเขาก็มากินอาหารอร่อย ๆ ที่ไม่ได้กินมานาน มันเป็น Pent Up Demand หรือความต้องการที่อั้นไว้ในช่วงที่ออกนอกบ้านไม่ได้และร้านปิดเป็นเวลาหลายเดือน
สัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปพักผ่อนอีกครั้งที่สวนผึ้งจังหวัดราชบุรี ในโรงแรมที่ค่อนข้างหรูซึ่งดูเหมือนจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับหัวหิน สวนผึ้งน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเป็นหลักมีต่างชาติน้อย วันที่เข้าพักนั้นก็เป็นแบบเดียวกับที่หัวหินนั่นคือ โรงแรมมีลูกค้าที่ค่อนข้างจะเต็มหรืออย่างน้อยก็พอใช้ได้ไม่เหงา อย่างไรก็ตาม เมื่อออกท่องเที่ยวในวันต่อมาผมก็เริ่มเห็นความแตกต่าง ร้านอาหารส่วนใหญ่แม้แต่ร้านดังก็ยัง “ไม่มีคน” หลายแห่งก็ยังไม่เปิด สภาวะแห่งความเงียบเหงานั้นสัมผัสได้ ผู้บริโภคระดับคนกินเงินเดือนที่ยังต้องระวังว่าเศรษฐกิจยังเลวร้ายอยู่นั้น อาจจะยังไม่พร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้น การท่องเที่ยวย่านสวนผึ้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเป็นหลักนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่กลับมาดี
Pent Up Demand นั้น มักจะเกิดหลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติ ในช่วงวิกฤตินั้น เศรษฐกิจตกต่ำคนก็มักจะเลี่ยงที่จะใช้เงินโดยเฉพาะกับสินค้าคงทนเช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านและเครื่องใช้ภายในบ้านที่มักจะสามารถเลื่อนการซื้อไปได้ เพราะของที่มีอยู่ก็ยังพอใช้ได้และมีอายุการใช้ยาว เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นและของที่มีอยู่ก็ใกล้ “หมดสภาพ” พวกเขาก็จะเริ่มซื้อกันอย่างรวดเร็วส่งผลให้ความต้องการและยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากการซื้อรอบแรกแล้ว ยอดขายก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติตามภาวะของเศรษฐกิจและความต้องการปกติของผู้บริโภค ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง ยอดขายของสินค้าทุกอย่างก็จะฟื้นตัวดีขึ้นตาม อย่างไรก็ตาม ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวหรือกำลังถดถอยลงด้วยซ้ำ ยอดขายสินค้าต่าง ๆ รวมถึงยอดขายสินค้าที่เกิดจาก Pent Up Demand ก็จะทรุดตัวลงต่อไป
การที่ผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มมากน้อยแค่ไหนนั้น สิ่งหนึ่งที่มีผลมากก็คือ ความรู้สึกว่าเขารวยหรือมีความมั่งคั่งมากน้อยแค่ไหน คนที่รู้สึกว่าตนเองมีเงินหรือความมั่งคั่งสูงและรู้สึกว่าในอนาคตเขาจะยังสามารถหาเงินได้อย่างมั่นคงก็จะกล้าใช้เงินกล้าซื้อของที่ต้องการมากกว่าคนที่คิดว่าตนเองจนและรายได้ในอนาคตไม่แน่นอนและจะลดลง โดยที่ความมั่งคั่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของเม็ดเงินอย่างเดียว ทรัพย์สมบัติเช่น บ้านและที่ดิน หลักทรัพย์เช่น หุ้นและพันธบัตร ทองและอื่น ๆ ก็ถือเป็นความมั่งคั่งทั้งสิ้น และถ้าสินทรัพย์เหล่านั้นมีราคาเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะใช้เงินซื้อสินค้ามากขึ้นซึ่งทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู คำกล่าวที่ว่าในยามที่ตลาดหุ้นดี การขายคอนโดราคาแพงจะดีตามนั้นเป็นความจริง และในยามที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเร็วคนจะบริโภคสินค้าทั่วไปมากขึ้นก็เป็นความจริงเช่นกัน ตรงกันข้าม ในยามที่ทรัพย์สินหลัก ๆ ทั้งอสังหาฯและหุ้นตกหนัก สินค้าโดยเฉพาะที่มีราคาแพงและไม่ใช่สินค้าจำเป็นก็จะมียอดขายตกลงไปมาก ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของ Wealth Effect
ภาวการณ์ของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ผมเองมีความรู้สึกว่าคนรวยหรือคนที่มีทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งสูงนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกระทบอะไรมากนัก เมื่อมีการเปิดเมือง พวกเขาก็กลับมาบริโภคสิ่งที่ถูกอั้นไว้ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกมานาน เช่น การท่องเที่ยวและการซื้อบ้านราคาแพงที่ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นอย่างไม่คาดคิดเมื่อเทียบกับบ้านราคาถูก ในเวลาเดียวกัน คนชั้นกลางนั้น น่าจะถูกกระทบมากจากวิกฤติโควิด-19 เพราะการปิดกิจการจำนวนมากโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเดินทางทำให้คนจำนวนเป็นล้านต้องตกงานหรือทำงานน้อยลง พวกเขาต้องใช้เงินเก็บมาประทังชีวิตทำให้ความมั่งคั่งลดลงและในขณะเดียวกันรายได้ในอนาคตก็ดูไม่แน่นอน ดังนั้น พวกเขารู้สึกจนลง ว่าที่จริงหลายคนอาจต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้น ดังนั้น พวกเขาก็จะใช้จ่ายน้อยลง โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านช่วงPent Up Demand ไปแล้ว
ผมไม่รู้ว่า Pent Up Demand จะหมดลงไปเมื่อไร แต่โดยธรรมชาติก็จะค่อย ๆ หมดไปตามเวลาที่ผ่านไป ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ก็คือ ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำลงมากอานิสงค์จากการที่ภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศยังถูกปิดอยู่และดูเหมือนว่าถึงจะเปิดก็เพียงเล็กน้อย กับเรื่องของการส่งออกที่ชะลอตัวลงอย่างแรงในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะที่เป็นคนชั้นกลางลงมาจะใช้จ่ายน้อยลง เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจ SME โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเองซึ่งคงจะถูกกระทบหนักจนรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งที่น้อยลง ทั้งสองกลุ่มนี้ก็คงบริโภคน้อยลง และดังนั้น สินค้าที่มีราคาปานกลางถึงแพงที่พวกเขาใช้ โดยเฉพาะ บ้านราคาถูก รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าน่าจะถูกกระทบหนักเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน และนี่ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเช่น วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เช่นเดียวกัน ในขณะที่สินค้าราคาแพงที่ “คนรวย” ใช้เองนั้น ผมคิดว่าน่าจะถูกกระทบน้อยกว่า เหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าทรัพย์สินที่มีค่ามากเช่น บ้านและที่ดินรวมถึงหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มีราคาลดลงไม่มาก ทำให้ พวกเขาไม่รู้สึกว่าจนลงมากจนต้องลดการบริโภคลงอย่างมีนัยสำคัญ
สินค้าจำเป็นราคาถูกและคนต้องกินและใช้ประจำวันนั้น น่าจะฟื้นกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมในเวลาไม่นานเพราะอุปสรรคต่าง ๆ ในการซื้อและบริโภคหมดไป คนไทยนั้นถึงจะรู้สึกว่าจนลง ยังไงก็ยังพอบริโภคสินค้าประจำวันได้ไม่ลดลง สินค้าบางอย่างนั้นอาจจะมีความต้องการมากขึ้นเมื่อคนจนลงเช่น บะหมี่สำเร็จรูปที่มีราคาถูกมากซึ่งทำให้คนที่จนลงหันมาบริโภคแทนอาหารที่แพงกว่า นักเศรษฐศาสตร์เรียกสินค้าแบบนี้ว่าเป็น “Inferior...
โลกในมุมมองของ Value Investor 20 มิ.ย. 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยหรือมีฐานะพอสมควรนั้น ก่อนที่จะคิดลงทุนในสินทรัพย์ ธุรกิจ หรือหุ้นและหลักทรัพย์ในตลาด เขาควรจะเริ่มต้นโดยการ “ลงทุนในตัวเอง” ซึ่งความหมายในที่นี้ก็คือ ลงทุนปรับปรุงตัวเองให้มีศักยภาพที่จะทำเงินให้มากขึ้นและเหลือเก็บพอที่จะนำเงินนั้นมาลงทุนในธุรกิจ สินทรัพย์ และหลักทรัพย์ทางการเงินที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีต่อไป การลงทุนในตัวเองนั้นมีข้อดีก็คือ ตัวเราจะ “มีค่ามากขึ้น” และมันจะติดตัวตลอดไป ไม่มีใครมาเอาไปได้ และที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ การลงทุนกับตัวเองนั้น เราสามารถที่จะใช้ “แรงงาน” ของเราแทนเงินได้มาก ดังนั้น นี่คือหนทางสำคัญที่สุดสำหรับคนจนที่อยากรวยหรือมีชีวิตที่ดีขึ้นมากในอนาคต
การลงทุนกับตนเองที่สำคัญที่สุดเรื่องแรกก็คือในตอนเด็กที่เราจะต้องศึกษาและเรียนรู้วิชาการต่าง ๆ รวมถึงวิชาชีพที่เราจะนำมาทำงานหาเงินใช้ ยิ่งเรียนมากเราก็มักจะทำเงินได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนในการศึกษานั้นก็สูงขึ้นจนบ่อยครั้งก็อาจจะ “ไม่คุ้ม” ถ้าเรา “ลงทุนไม่เป็น” แต่นี่ก็มองเฉพาะด้านของผลตอบแทนทางการเงินซึ่งไม่ใช่ผลตอบแทนทั้งหมดที่เราได้จากการศึกษา ว่าที่จริง การศึกษานั้นให้ผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินมากมาย เช่น ความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต ความเข้าใจโลกที่ทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น ความบันเทิงและรื่นรมย์จากการคิดและจินตนาการต่าง ๆ ที่ตามมา พูดง่าย ๆ ความรู้ทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น
การลงทุนกับตนเองที่สำคัญไม่แพ้ความรู้นักก็คือ “การลงทุนกับสุขภาพ” นี่ก็มักสำคัญขึ้นเมื่อเราเริ่มมีอายุมากขึ้นและสุขภาพเริ่มจะร่วงโรยและเราเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายขึ้น สุขภาพของคนเรานั้น หลายคนคิดว่ามาจากยีนหรือโชคชะตาเป็นหลัก และในช่วงที่ยังเป็นหนุ่มสาวนั้น คนก็มักจะไม่ตระหนักว่าสุขภาพดีมีผลกับชีวิตมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญก็คือ อาจจะไม่รู้ด้วยว่าสุขภาพที่ดีโดยเฉพาะเมื่อตนเองมีอายุมากขึ้นนั้นจะต้องมีการ “ลงทุน” จริงอยู่ ยีนมีความสำคัญต่อสุขภาพมาก แต่การ “ลงทุนในสุขภาพ” ที่ดีและมากนั้นก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นมากในยามที่เราแก่ตัวลง และนี่ก็มักจะสำคัญและบ่อยครั้งมากกว่าเรื่องของเงินด้วยซ้ำ
ประสบการณ์ของผมเองเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนในเรื่องของความรู้นั้นน่าจะเรียกได้ว่าผมลงทุนค่อนข้างมาก เหตุผลสำคัญก็คือครอบครัวของผมค่อนข้างจน พ่อทำงานเป็นช่างก่อสร้างและต่อมาเป็นช่างไม้ ที่ไม่เคยมีเงินเหลือเก็บและบ่อยครั้งไม่พอใช้ ว่าที่จริงเขาไม่เคยมีบัญชีเงินฝากในธนาคารเลย การศึกษาหรือการเรียนในโรงเรียนของลูกเป็นเรื่องที่ “ฟุ่มเฟือย” แต่ผมเองโชคดีที่เป็นลูกคนสุดท้องที่ได้เข้าเรียนใน “โรงเรียนวัด” ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมต้นและได้เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเนื่องจากเรียนเก่งพอสมควร ทั้งหมดนี้ใช้เงินน้อยมาก
ผมเรียนปริญญาตรีในคณะวิศวกรรมของรัฐซึ่งใช้เงินน้อยมาก ด้วยเหตุผลก็คือ มันคือคณะที่น่าจะสามารถทำเงินได้ดี “จบแล้วมีงานทำแน่นอน” และใช้เวลาไม่มากเหมือนคณะแพทย์ที่ทำเงินได้มากกว่าแต่ต้องเรียน 7 ปี ดังนั้นการเรียนวิศวน่าจะเป็น “การลงทุนที่ดี” และเมื่อจบแล้วผมก็เลือกไปทำงานในต่างจังหวัดซึ่งเป็นโรงงานน้ำตาลที่ทุกปีในช่วง “เปิดหีบ” ประมาณ 4 เดือน เราจะได้เงินเดือนค่าล่วงเวลาเป็น 2 เท่าของเงินเดือนปกติ นอกจากนั้น เขามีที่อยู่และอาหาร 3 มื้อซึ่งทำให้เราแทบไม่มีค่าใช้จ่าย ผมคิดว่านี่คือ “สวรรค์” ของการเก็บเงินเพื่ออนาคต
ทำงานในโรงงาน 2 ปี ผมก็รู้สึกว่าศักยภาพของตนเอง “ตีบตัน” งานช่างนั้นเป็นงานที่เงินเดือนดีในตอนเริ่มต้น แต่หลังจากนั้นเงินเดือนก็จะปรับขึ้นช้า ๆ ปีละประมาณ 7-10% และแทบจะไม่มีโอกาสปรับแบบก้าวกระโดดเพราะการเลื่อนหรือปรับตำแหน่ง บริษัทเป็นธุรกิจครอบครัวที่เจ้าของคุมตำแหน่งบริหารที่สำคัญ อย่างมากที่เราจะเป็นได้ก็อาจจะเป็นนายช่างคุมโรงงานเมื่อถึงวันที่เราใกล้เกษียณ ผมคิดแล้วก็ตัดสินใจ “ลงทุนในการศึกษา” เพิ่ม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำเงินของตนเองโดยการ “เรียน MBA” ซึ่งเป็นสาขาวิชาใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มมีในประเทศไทยในขณะนั้น ผมคิดว่า การเรียน MBA จะทำให้ผมสามารถเข้าสู่วงการ “บริหารธุรกิจ” ที่เป็นงานใหญ่ขึ้น และในบริษัทที่ก้าวหน้าหรือเป็นบริษัทต่างชาติ เงินที่เก็บได้ทั้งหมดถูกนำมาใช้ในการเรียนและสนับสนุนทางบ้านแบบเดิมที่ทำมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี
ผมจบปริญญาโททางด้านการตลาดภายใน 2 ปี ด้วยการเรียนและทำงานอย่างละครึ่งเวลาหรือสัปดาห์ละ 3 วัน การเรียนและการเดินทางไปกลับต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่เหนื่อยหนักไม่น้อย แต่เมื่อเรียนจบผมก็ไม่ได้เปลี่ยนงานตามที่หวัง ผมยังทำงานที่เดิมแต่ได้รับการปรับงานให้ช่วยบริหารภายในโรงงานเพิ่มขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม งานหลักก็ยังเป็นเรื่องของการผลิต เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นทำให้การไปเริ่มงานใหม่ในสาขาใหม่ที่เงินเดือนต่ำกว่าไม่น่าสนใจเท่าที่ควร สำหรับคนที่เป็นช่างซึ่งมักจะ “อนุรักษ์นิยม” และไม่ได้อ่านหนังสือแนวธุรกิจสังคมหรือการพัฒนาตนเอง รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจ การเปลี่ยนแปลงชีวิตมากมายแบบนี้พร้อม ๆ กับการลดรายได้ลงเป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้ยาก ผมจึงยังทำงานเก็บเงินต่อไปอีก 2 ปี การเรียน MBA ยังไม่สามารถที่จะทำให้ผมเห็นหรือเลือกช่องทางที่จะเปลี่ยนชีวิตตนเองได้ และนั่นนำมาสู่การ “ลงทุนในตัวเองต่อไป” โดยการไปเรียนต่อต่างประเทศทั้ง ๆ ที่ “ไม่มีเงินพอ”
การไปอเมริกาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านการเงินนั้น ผมคิดว่าคงช่วยให้ผมสามารถเปลี่ยนไปทำงานทางด้านการเงินที่มักเป็นงาน “ใหญ่ที่สุด” ในกระบวนการหาเงิน แต่ลึก ๆ แล้ว ผมก็ไม่หวังจะรวยจากการเรียนมากนัก สิ่งที่ผมหวังก็คือ การได้ไป “เปิดโลก” ไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ไปเห็นประเทศที่เจริญก้าวหน้า ผมคิดว่าผมอยากมีชื่อเป็น“ด็อกเตอร์” และเป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างน้อยก็ในฐานะของนักวิชาการ ผมต้องใช้เงินทั้งหมดที่สะสมมาได้เพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน “เที่ยวเดียว” และที่เหลือทิ้งไว้สนับสนุนพ่อแม่ การไปเรียนปริญญาเอกนั้นผมได้ทุนช่วยวิจัยจากมหาวิทยาลัยซึ่งพอใช้ทั้งค่าเรียนและการเป็นอยู่ตราบเท่าที่ยังได้ทุนอยู่
ผมจบปริญญาเอกทางด้านการเงินและการลงทุนในเวลา 4 ปี เมื่ออายุ 32 ปี กลับมาประเทศไทยโดยที่ไม่มีเงินเก็บเลย สรุปแล้ว เป็นเวลา 10 ปีนับจากการทำงานวันแรก เงินเก็บเป็นศูนย์ เงินที่ทำมาหาได้ทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปลงทุนในการศึกษาหาความรู้ต่อจากปริญญาตรีเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตนเองในการทำงานหาเงินในอนาคต ผมเริ่มทำงานทางด้านการเงิน แต่การจบปริญญาเอกก็มักจะได้ทำงาน “กึ่งวิชาการ”เช่น งานวางแผนและกำหนดกลยุทธ์องค์กรมากกว่าการทำงานสายปฏิบัติการจริง ๆ ดังนั้น ผมก็ยังคงเป็นพนักงานกินเงินเดือนต่อไป แต่ก็โชคดีที่ว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มบูมและความต้องการคนทำงานระดับหัวหน้างานที่มีความซับซ้อนเช่น งานวานิชธนกิจ มีมากขึ้น และนั่นทำให้ผมมีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับ “ตลาดหุ้น” และ “การลงทุนในหุ้น” ในบริษัทหลักทรัพย์ รายได้จากงานนี้ค่อนข้างจะดีและทำให้ผมมีเงินเก็บพอสมควรเมื่ออายุ 44 ปี แต่เนื่องจากมีครอบครัวและมีลูกที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ซึ่งต้องใช้เงินมากทำให้ผมไม่ได้ลงทุนทางทางการเงินเป็นเรื่องเป็นราวเพราะ “กลัวความเสี่ยง”
แต่วิกฤติต้มยำกุ้งทำให้ผมต้อง “ตกงาน” และมีทางเลือกไม่มากที่จะรักษาสถานะความเป็นอยู่แบบเดิมได้—นอกจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนักและราคาหุ้นจำนวนไม่น้อยมีราคาถูกมาก หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” หลายตัวมีค่า PE แค่ 6-7 เท่าจ่ายปันผลถึงปีละ 10% เงินเก็บทั้งหมดถูกนำมาลงทุนในหุ้น ชีวิตเปลี่ยนเป็น Value Investor หรือVI ผู้มุ่งมั่น ตลาดหุ้นฟื้นตัวและเติบโตมหาศาลหลังวิกฤติ ภายในเวลาเพียง 8 ปี ผมก็มี “อิสรภาพทางการเงิน” และเกษียณจากการทำงานประจำตั้งแต่อายุ 52 ปี และนี่ก็น่าจะเป็นบทเรียนได้ว่า “ความรู้”บวกกับ “โอกาสทอง” สามารถ “เปลี่ยนชีวิต” คนได้มากและรวดเร็วแค่ไหน
สรุปก็คือ ความสำเร็จในชีวิตผมนั้นน่าจะเป็นผลจากหลายสิ่งคือ หนึ่ง การที่ผมลงทุนในการศึกษาสูงมาก ไม่ใช่เฉพาะจากห้องเรียน แต่ผมศึกษาต่อเนื่องมาตลอดเวลาจนถึงทุกวันนี้ สอง เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในปี2540 โดยที่ผมไม่ได้เสียหายทางด้านการเงินมากนักเนื่องจากยังไม่ได้เป็นนักลงทุนแต่เป็นแค่คนกินเงินเดือนธรรมดา และสุดท้าย ผมโชคดีที่ถูก “บังคับ” ด้วยสถานการณ์ให้ต้อง “เลือก” เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และผมเลือกที่จะลงทุนแบบ VI ที่ผมศึกษามาแล้วว่าเป็นหลักการที่ดีเยี่ยมและปลอดภัยกว่าแนวทางที่นักลงทุนใช้กันก่อนหน้านั้น
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 มิถุนายน 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงนี้มีความผันผวนสูงมาก สองสัปดาห์ก่อนดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ในเวลาสัปดาห์เดียว แต่สัปดาห์ต่อมาคือสัปดาห์ที่แล้วดัชนีกลับปรับตัวลดลงประมาณ 3.7% โดยที่ทั้งสองสัปดาห์นั้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงลิ่วเฉลี่ยเกือบแสนล้านบาทต่อวัน นั่นคงทำให้นักลงทุนจำนวนมากประหลาดใจและอาจจะผิดหวังหลังจากที่รู้สึกดีมากจนคลึ้มอกคลึ้มใจในช่วงที่ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นมาต่อเนื่องมากมายถึง 40% หลังภาวะวิกฤติในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2563 คำถามที่น่าสนใจก็คือ ตลาดหุ้นต่อจากนี้และในระยะยาวเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุนแค่ไหน หรือพูดง่าย ๆ ...
นี่คือสิ่งที่ผมทำ และสิ่งที่ตลาดหุ้นจะทำกับคุณต่อไป
เจ้าของบทความนี้เป็นเพื่อนนักลงทุนแนว VI ชาวสิงคโปร์ที่รู้จักที่เวียดนามค่ะแนวคิดน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่หุ้นเริ่มตกอีกครั้ง (หลังจากที่ขึ้นมาแรงมาก) แอดเลยพยายามแปลมาฝากเพื่อนๆ ชาว VVI ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านกันนะคะ อ่านจบแล้วไม่รู้ว่ามีใครคิดถึงหนังสือ Principles ของ Ray Dalio เหมือนแอดบ้าง
บทความจาก Blog: An Investment Pilgrim's Journal แต่เค้าขอว่าตอนแปลเป็นไทยไม่ต้องบอกชื่อเค้า ขออยู่เงียบๆ
ประวัติเจ้าของ...
การระบาดของ Covid-19 ได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจในระยะสั้นและระยะกลางผู้เชี่ยวชาญแนะนำอะไรในการจัดสรรสินทรัพย์หรือลงทุนหุ้นเวียดนามกันบ้าง?
สัมภาษณ์ Don Lam ผู้บริหาร VinaCapital
ภาพรวม
ตอนนี้ทุกประเทศต่างระวังการระบาดระลอก 2 ของ Covid-19 หลังจากมาตรการสาธารณสุขเริ่มผ่อนคลายอย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าเวียดนามจะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
การไหลเข้าของ FDI ยังคงไหลอย่างต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเรื่องภาษีและความไม่แน่นอนใหม่ๆเวียดนามเป็นตัวเลือกของบริษัทเทคโนโลยี-อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ เช่น Samsung, LG, Intel . เราคิดว่าความต้องการนี้จะเพิ่มขึ้นต่อไป Foxconn และซัพพลายเออร์รายอื่นได้ทำการย้ายการผลิตบางอย่างจากจีนมายังเวียดนาม ในทำนองเดียวกันกับบริษัทญี่ปุ่นยุโรปและอเมริกาอีกหลาย
การที่...
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 มิถุนายน 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตลาดหุ้นสัปดาห์ที่แล้วดูสดใสมากจนทำให้นักลงทุนจำนวนมากคิดว่าเราน่าจะกำลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเริ่มขึ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 1,500 จุด พอถึงกลางเดือนมีนาคม ดัชนีก็ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 1,000 จุดเศษ ๆ หรือเป็นการลดลงประมาณ 33% ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว ซึ่งเข้าข่ายเป็น “วิกฤติตลาดหุ้น” ซึ่งมีสาเหตุจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่กระจายไปทั่วโลกและทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้อง “ปิดเมือง” ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้น “รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง” ในเกือบทุกประเทศ แต่แล้ว ภายในเวลาเพียงแค่ 2-3 เดือนจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ดัชนีตลาดหุ้นจำนวนมากในโลกก็ปรับตัวขึ้นอย่างแรง เฉพาะอย่างยิ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวขึ้นเป็น 1,436 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ40% จากจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤติ
การปรับตัวขึ้นของหุ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักมาก เฉพาะอย่างยิ่งในช่วง4 วันทำการในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นทุกวัน รวมแล้วประมาณ 7% แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายน 2563 นั้นสูงถึงกว่าแสนสองหมื่นล้านบาทต่อวันซึ่งแทบไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย ดังนั้น นี่น่าจะเป็นการ “ฟื้นตัว” จากวิกฤติที่ “สุดยอด” ที่สุดเท่าที่ผมจำความได้ คนที่พอร์ตว่าง ไม่มีหุ้นหรือถือหุ้นน้อยมากที่กล้าเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” ในช่วงที่เลวร้ายที่สุดกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและถือจนถึงวันนี้น่าจะทำกำไรได้มหาศาล นักลงทุนจำนวนไม่น้อยในช่วงนี้น่าจะมีความสุขมากขนาดที่เรียกตามภาษาวัยรุ่นว่า “ฟิน” กันไปเลย
อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานและมักจะอยู่แทบจะตลอดเวลานั้น ถึงวันนี้ก็อาจจะยังขาดทุนอยู่ เพราะดัชนีตลาดหุ้นจนถึงวันนี้ก็ยังต่ำกว่าเมื่อสิ้นปี 2562 ที่ 1,580 จุด หรือต่ำกว่าประมาณ 9% ผมไม่รู้ว่าอารมณ์พวกเขาจะเป็นอย่างไร แต่ความรู้สึกของผมเองนั้นก็คือรู้สึกดีขึ้นมากแม้ว่าจะยังไม่ได้ช้อนซื้อหุ้นที่ตกลงมามากในช่วงวิกฤติ เงินสดที่ถืออยู่ประมาณเกือบ 10% ของพอร์ตตั้งแต่ก่อนวิกฤติถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่ “จดจ้อง” มานานแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ที่คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่แย่มากนั้น ถึงวันนี้ก็แทบจะไม่ขาดทุนแล้ว ความรู้สึกดี ๆ ที่เห็นหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเกือบทุกวันและนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลแห่กลับเข้ามาซื้อหุ้นราวกับว่าเราอยู่ในช่วง “กระทิงดุ” นั้น มันเป็นเหมือนการ “สะกดจิต” ให้เรามีความมั่นใจว่าหุ้นจะต้องขึ้นต่อไปอีกอย่างแน่นอน ใครไม่รีบก็จะต้อง “ตกรถ”
อาการของตลาดหุ้นบูมนั้นเกิดขึ้นในทุกมิติ การเก็งกำไรของรายย่อย การปั่นหุ้นของขาใหญ่ บทวิเคราะห์หุ้นที่ไม่คำนึงถึงพื้นฐานแต่เน้นสตอรี่ต่าง ๆ กลับคืนมา เวลาพูดถึงหุ้น ทุกคนต่างพูดกันถึงการ Turnaround พูดถึงการเติบโตของกำไรที่จะกลับมาหลังไตรมาศ 2 หรือปีหน้า นักวิเคราะห์จำนวนมากพูดถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพราะภาวะเงินที่ล้นอยู่ในระบบอานิสงค์จากดอกเบี้ยที่ต่ำลงและการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เท่ากับความหวังและความเชื่อมั่นว่าภาวะเรื่องของโควิด-19 กำลังจะจบลงในไม่ช้าและทุกประเทศต่างก็ทยอยเปิดเศรษฐกิจแม้ว่าโควิดก็ยังไม่หมดไป ถ้าจะพูดว่าเวลานี้ประเทศส่วนใหญ่กำลัง “มองผ่านโรคโควิด-19 ไปแล้ว” ก็น่าจะได้ สงครามกับเชื้อโรคนั้นกำลังจบลงแล้วด้วย “ชัยชนะ” ของมนุษยชาติ สงครามต่อไปก็คือ “สงครามทางเศรษฐกิจ” ที่ทุกประเทศต่างก็พยายามต่อสู้เพื่อไปสู่ชัยชนะเช่นเดียวกันในที่สุด
สัปดาห์ก่อนผมเองไปเที่ยวพักผ่อนที่หัวหิน สิ่งที่พบก็คือ ชายหาดหน้าโรงแรมหรูที่ผมพักอยู่นั้นค่อนข้างคึกคักแม้เป็นวันธรรมดา อัตราการเข้าพักของโรงแรมนั้นต้องถือว่า “เต็ม” อย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าหัวหินนั้นได้เปรียบที่คนกรุงเทพสามารถเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการติดโควิดไม่มี การพักผ่อนริมชายหาดที่เป็นสถานที่เปิดนั้นความเสี่ยงในการติดเชื้อก็น่าจะน้อย ดังนั้น นี่เป็นทางเลือกแรกของการท่องเที่ยว ผมคิดว่าหากสถานการณ์การติดเชื้อของไทยยังดีแบบนี้อยู่ การท่องเที่ยวในประเทศแม้แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินก็น่าจะดีขึ้น
เช่นเดียวกับการท่องเที่ยว ผมเองก็เริ่ม “เดินห้าง” เพราะมันเป็นกิจวัตรในยามปกติของผม จำนวนคนในห้างที่ผมเห็นก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นพอสมควรแล้ว เช่นเดียวกับภัตตาคารในห้างที่คนเริ่มเข้าไปนั่งกินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลจากคนในวงการบอกว่าขณะนี้อัตราการใช้บริการประมาณ 50-60% ของอัตราก่อนโควิดไปแล้ว นี่คือสถานการณ์ของภาคธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้เปิดซึ่งผมคิดว่าน่าจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด สนามรบต่อไปที่น่าจะตามมาในไม่ช้าก็คือการเปิด “เต็มที่” ในทุกธุรกิจซึ่งรวมถึงการชุมนุมคนจำนวนมากเช่น การแข่งขันกีฬา งานสัมมนา มหกรรมการแสดงและขายสินค้า การจัดคอนเสิร์ต และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การเปิด “ชีวิตกลางคืน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใหญ่มากในสังคมไทย ทั้งหมดนี้ ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นภายในไม่เกิน 2 เดือน เพราะดูแล้วเหตุผลที่จะไม่เปิดนั้นมีน้อย ว่าที่จริง เป็นเวลากว่า 10 วันติดต่อกันแล้วที่เราไม่มีคนในประเทศติดเชื้อกันเองเลย
กิจกรรมสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยกว่ากิจกรรมอื่น ๆ ที่กล่าวถึงทั้งหมดก็คือ การ “เปิดประเทศ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพราะนี่อาจจะมีผลกับคนไทยหลายล้านคนหรือคิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP แต่ผมยังไม่เห็นแผนการที่ชัดเจนเนื่องจากการระบาดของเชื้อโรคในต่างประเทศส่วนใหญ่ก็ยังไม่สงบเพียงพอ การเปิดประเทศอาจจะทำให้เรามีความเสี่ยงที่โรคจะระบาดซ้ำ ผมเองคิดว่าประเด็นนี้อาจจะลากยาวไปอีกหลายเดือนและถ้าจะให้เปิดได้เสรีกับนักท่องเที่ยวเกือบทุกประเทศก็อาจจะใช้เวลาเป็นปีหรือมากกว่านั้น ดังนั้น การท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็จะเป็นภาคเศรษฐกิจที่จะเป็น “ลมต้าน” สำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถจะโตกลับมาเท่าเดิมภายในเวลาก่อน2 ปี
คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนที่เน้นดู “พื้นฐานที่แท้จริง” ของหุ้นในระยะยาวก็คือ ราคาหรือดัชนีหุ้นในช่วงนี้สูงเกินไปหรือยัง การพุ่งขึ้นของหุ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้มีพื้นฐานที่รองรับหรือไม่?
ถ้ามองว่าราคาหุ้นไทยก่อนโควิด-19 นั้นมีความเหมาะสมอยู่แล้ว เพราะดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,500 จุด ซึ่งมีค่าPE ที่ประมาณ 18 เท่า ซึ่งทำให้ค่า EP เท่ากับ 5.5% ต่อปีเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ประมาณ 1-2% ก็คือมีส่วนต่างประมาณ 3.5-4.5% สำหรับการรับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นนั้น มองจากประวัติศาสตร์ก็ดูเหมาะสม ไม่แพงหรือถูกเกินไป แต่การเกิดของโควิด-19 นั้น ถ้าเราสมมุติว่าจะทำให้เศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถอยหลังไป 2 ปี คือต้องใช้เวลาอีก 2 ปี เศรษฐกิจและกำไรถึงจะกลับมาที่เดิม นั่นก็แปลว่าดัชนีหุ้นตอนนี้ควรที่จะต่ำกว่า 1,500 จุด ซัก 12% เพื่อที่ว่าตลาดหุ้นจะโตขึ้นปีละ 6% ต่อปีซึ่งเป็นอัตราที่ผมคิดว่าตลาดหุ้นจะทำได้ในระยะยาวนับจากวันนี้ นั่นก็หมายความว่าดัชนีที่เหมาะสมในวันนี้ก็ควรจะเป็นประมาณ 1,320 จุด ซึ่งต่ำกว่า 1,436 จุดและถ้าเราเชื่อตามนี้ก็หมายความว่าดัชนีหุ้นที่เราเห็นในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ก็ถือว่า “เต็มมูลค่า” แล้ว
แน่นอนว่าการคาดการณ์แบบหยาบที่สุดข้างต้นนั้น มีโอกาสผิดพลาดสูงมากทั้งทางบวกและทางลบ แต่การที่หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับปริมาณการซื้อขายสูงลิ่วและเกิดขึ้นในยามที่คนจำนวนมากกำลังมีความหวังสูงสุดและสถานการณ์เต็มไปด้วยความสดใสหลังจากความเศร้าหมองหดหู่ซึ่งมักจะก่อให้เกิด “Euphoria” หรือความ “ฟิน” ในตลาดหุ้นนั้น เราในฐานะ VI ก็จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะตลาดหุ้นจะมีเหตุผลซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นมีเหตุผลก็ต่อเมื่อคนไม่อยู่ในภาวะที่ฟินหรือหดหู่เกินไป