นี่คือสิ่งที่ผมทำ และสิ่งที่ตลาดหุ้นจะทำกับคุณต่อไป เจ้าของบทความนี้เป็นเพื่อนนักลงทุนแนว VI ชาวสิงคโปร์ที่รู้จักที่เวียดนามค่ะแนวคิดน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่หุ้นเริ่มตกอีกครั้ง (หลังจากที่ขึ้นมาแรงมาก) แอดเลยพยายามแปลมาฝากเพื่อนๆ ชาว VVI ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านกันนะคะ อ่านจบแล้วไม่รู้ว่ามีใครคิดถึงหนังสือ Principles ของ Ray Dalio เหมือนแอดบ้าง บทความจาก Blog: An Investment Pilgrim's Journal แต่เค้าขอว่าตอนแปลเป็นไทยไม่ต้องบอกชื่อเค้า ขออยู่เงียบๆ ประวัติเจ้าของ Blog น่าสนใจผู้เขียน : จบ ป.ตรีวิศวกรรมการบิน จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล (เกียรตินิยม) + ป.โท วิศวกรรม จากคอร์เนลหลังจากใช้ทุน 6 ปีกับกองทัพอากาศสิงคโปร์ เค้าก็พบว่าไม่ชอบงานที่ทำจึงได้เรียนต่อเรื่อง ป. โทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ NUS แล้วได้ทำงานด้านการเงิน ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้เป็นนักลงทุน Full time และเป็นผู้ก่อสร้างชมรมนักลงทุน VI สิงคโปร์ด้วยค่ะ เหตุผลที่เขียน Blog : เพื่อรวบรวมแนวคิดการลงทุนและบทเรียนที่ได้เรียนรู้รวมทั้งข้อผิดพลาด ความหลงใหลในการลงทุน: ตั้งแต่หยิบหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนครั้งแรกในปี 2002 ก็รู้สึกทึ่งกับโลกของการลงทุนสนุกกับการศึกษาแนวคิดและวิธีการของผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงเช่น Greenblatt, Lynch, Whitman, Fisher...
การระบาดของ Covid-19 ได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจในระยะสั้นและระยะกลางผู้เชี่ยวชาญแนะนำอะไรในการจัดสรรสินทรัพย์หรือลงทุนหุ้นเวียดนามกันบ้าง? สัมภาษณ์ Don Lam ผู้บริหาร VinaCapital ภาพรวม ตอนนี้ทุกประเทศต่างระวังการระบาดระลอก 2 ของ Covid-19 หลังจากมาตรการสาธารณสุขเริ่มผ่อนคลายอย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าเวียดนามจะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ การไหลเข้าของ FDI ยังคงไหลอย่างต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเรื่องภาษีและความไม่แน่นอนใหม่ๆเวียดนามเป็นตัวเลือกของบริษัทเทคโนโลยี-อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ เช่น Samsung, LG, Intel . เราคิดว่าความต้องการนี้จะเพิ่มขึ้นต่อไป Foxconn และซัพพลายเออร์รายอื่นได้ทำการย้ายการผลิตบางอย่างจากจีนมายังเวียดนาม ในทำนองเดียวกันกับบริษัทญี่ปุ่นยุโรปและอเมริกาอีกหลาย การที่ Fed อัดฉีดเงินจำนวนมาก และหุ้นสหรัฐที่ขึ้นมาแรง คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะเข้าสู่ยุคการทำกำไรของตลาดในเวียดนามอีกครั้ง แม้การลงทุนตลาดหุ้นชายขอบ (frontier market ) อย่างเวียดนามไม่ได้รับความนิยมนักในช่วงนี้ แต่ก็เป็นโอกาสในการซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ยังคงเชื่อมั่นในเวียดนาม หุ้นที่ได้รับประโยชน์: ผู้นำตลาด เจ้าของแบรนด์ที่แข็งแกร่งอุตสาหกรรมค้าปลีกสมัยใหม่อสังหาริมทรัพย์สินค้าอุปโภคบริโภคธนาคารวัสดุก่อสร้างพลังงานการบิน / ท่าเรือ / โลจิสติกส์นิคมอุตสาหกรรม เรามองบวกเกี่ยวกับโอกาสในการออกหุ้นกู้และตราสารหนี้ของธุรกิจที่มีคุณภาพสูง ดอกเบี้ยมากกว่า 9% ในระยะเวลาสองปี ข้อควรระมัดระวัง แนวโน้มพันธบัตรรัฐบาลเวียดนาม ค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 3% สำหรับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี)นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2564 ทองคำและอสังหาริมทรัพย์มักจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง โอกาสในระยะยาวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามจะมีศักยภาพสูง เนื่องจากปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์และเวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ได้รับประโยชน์ FDI ที่ไหลจากประเทศจีนเข้ามาหลังโรคระบาด 5 หุ้นที่ชอบ: ไม่ตอบ สัมภาษณ์ Tran Thanh Tan ผู้บริหาร...

ฟิน!…

0
โลกในมุมมองของ Value Investor     7 มิถุนายน 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตลาดหุ้นสัปดาห์ที่แล้วดูสดใสมากจนทำให้นักลงทุนจำนวนมากคิดว่าเราน่าจะกำลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเริ่มขึ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 1,500 จุด พอถึงกลางเดือนมีนาคม  ดัชนีก็ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 1,000 จุดเศษ ๆ หรือเป็นการลดลงประมาณ 33% ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว  ซึ่งเข้าข่ายเป็น “วิกฤติตลาดหุ้น” ซึ่งมีสาเหตุจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่กระจายไปทั่วโลกและทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้อง “ปิดเมือง” ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก  ความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้น “รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง” ในเกือบทุกประเทศ  แต่แล้ว  ภายในเวลาเพียงแค่ 2-3 เดือนจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ดัชนีตลาดหุ้นจำนวนมากในโลกก็ปรับตัวขึ้นอย่างแรง  เฉพาะอย่างยิ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวขึ้นเป็น 1,436 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ40% จากจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤติ การปรับตัวขึ้นของหุ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้  มาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักมาก  เฉพาะอย่างยิ่งในช่วง4 วันทำการในสัปดาห์ที่ผ่านมา  ดัชนีปรับตัวขึ้นทุกวัน  รวมแล้วประมาณ 7% แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายน 2563 นั้นสูงถึงกว่าแสนสองหมื่นล้านบาทต่อวันซึ่งแทบไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย  ดังนั้น  นี่น่าจะเป็นการ “ฟื้นตัว” จากวิกฤติที่  “สุดยอด” ที่สุดเท่าที่ผมจำความได้  คนที่พอร์ตว่าง  ไม่มีหุ้นหรือถือหุ้นน้อยมากที่กล้าเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” ในช่วงที่เลวร้ายที่สุดกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและถือจนถึงวันนี้น่าจะทำกำไรได้มหาศาล  นักลงทุนจำนวนไม่น้อยในช่วงนี้น่าจะมีความสุขมากขนาดที่เรียกตามภาษาวัยรุ่นว่า  “ฟิน” กันไปเลย อย่างไรก็ตาม  คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานและมักจะอยู่แทบจะตลอดเวลานั้น  ถึงวันนี้ก็อาจจะยังขาดทุนอยู่  เพราะดัชนีตลาดหุ้นจนถึงวันนี้ก็ยังต่ำกว่าเมื่อสิ้นปี 2562 ที่ 1,580 จุด  หรือต่ำกว่าประมาณ 9% ผมไม่รู้ว่าอารมณ์พวกเขาจะเป็นอย่างไร  แต่ความรู้สึกของผมเองนั้นก็คือรู้สึกดีขึ้นมากแม้ว่าจะยังไม่ได้ช้อนซื้อหุ้นที่ตกลงมามากในช่วงวิกฤติ เงินสดที่ถืออยู่ประมาณเกือบ 10% ของพอร์ตตั้งแต่ก่อนวิกฤติถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่ “จดจ้อง” มานานแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ที่คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่แย่มากนั้น  ถึงวันนี้ก็แทบจะไม่ขาดทุนแล้ว  ความรู้สึกดี ๆ  ที่เห็นหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเกือบทุกวันและนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลแห่กลับเข้ามาซื้อหุ้นราวกับว่าเราอยู่ในช่วง “กระทิงดุ” นั้น  มันเป็นเหมือนการ “สะกดจิต” ให้เรามีความมั่นใจว่าหุ้นจะต้องขึ้นต่อไปอีกอย่างแน่นอน  ใครไม่รีบก็จะต้อง “ตกรถ” อาการของตลาดหุ้นบูมนั้นเกิดขึ้นในทุกมิติ  การเก็งกำไรของรายย่อย  การปั่นหุ้นของขาใหญ่  บทวิเคราะห์หุ้นที่ไม่คำนึงถึงพื้นฐานแต่เน้นสตอรี่ต่าง ๆ  กลับคืนมา  เวลาพูดถึงหุ้น  ทุกคนต่างพูดกันถึงการ Turnaround  พูดถึงการเติบโตของกำไรที่จะกลับมาหลังไตรมาศ 2 หรือปีหน้า  นักวิเคราะห์จำนวนมากพูดถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพราะภาวะเงินที่ล้นอยู่ในระบบอานิสงค์จากดอกเบี้ยที่ต่ำลงและการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เท่ากับความหวังและความเชื่อมั่นว่าภาวะเรื่องของโควิด-19 กำลังจะจบลงในไม่ช้าและทุกประเทศต่างก็ทยอยเปิดเศรษฐกิจแม้ว่าโควิดก็ยังไม่หมดไป  ถ้าจะพูดว่าเวลานี้ประเทศส่วนใหญ่กำลัง “มองผ่านโรคโควิด-19 ไปแล้ว” ก็น่าจะได้  สงครามกับเชื้อโรคนั้นกำลังจบลงแล้วด้วย  “ชัยชนะ”  ของมนุษยชาติ  สงครามต่อไปก็คือ  “สงครามทางเศรษฐกิจ” ที่ทุกประเทศต่างก็พยายามต่อสู้เพื่อไปสู่ชัยชนะเช่นเดียวกันในที่สุด สัปดาห์ก่อนผมเองไปเที่ยวพักผ่อนที่หัวหิน  สิ่งที่พบก็คือ  ชายหาดหน้าโรงแรมหรูที่ผมพักอยู่นั้นค่อนข้างคึกคักแม้เป็นวันธรรมดา  อัตราการเข้าพักของโรงแรมนั้นต้องถือว่า  “เต็ม”  อย่างไม่น่าเชื่อ  ผมคิดว่าหัวหินนั้นได้เปรียบที่คนกรุงเทพสามารถเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการติดโควิดไม่มี  การพักผ่อนริมชายหาดที่เป็นสถานที่เปิดนั้นความเสี่ยงในการติดเชื้อก็น่าจะน้อย  ดังนั้น  นี่เป็นทางเลือกแรกของการท่องเที่ยว  ผมคิดว่าหากสถานการณ์การติดเชื้อของไทยยังดีแบบนี้อยู่  การท่องเที่ยวในประเทศแม้แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินก็น่าจะดีขึ้น   เช่นเดียวกับการท่องเที่ยว  ผมเองก็เริ่ม “เดินห้าง”  เพราะมันเป็นกิจวัตรในยามปกติของผม  จำนวนคนในห้างที่ผมเห็นก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นพอสมควรแล้ว  เช่นเดียวกับภัตตาคารในห้างที่คนเริ่มเข้าไปนั่งกินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ข้อมูลจากคนในวงการบอกว่าขณะนี้อัตราการใช้บริการประมาณ 50-60% ของอัตราก่อนโควิดไปแล้ว  นี่คือสถานการณ์ของภาคธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้เปิดซึ่งผมคิดว่าน่าจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด  สนามรบต่อไปที่น่าจะตามมาในไม่ช้าก็คือการเปิด “เต็มที่” ในทุกธุรกิจซึ่งรวมถึงการชุมนุมคนจำนวนมากเช่น  การแข่งขันกีฬา  งานสัมมนา  มหกรรมการแสดงและขายสินค้า  การจัดคอนเสิร์ต และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ  การเปิด  “ชีวิตกลางคืน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใหญ่มากในสังคมไทย  ทั้งหมดนี้  ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นภายในไม่เกิน 2 เดือน  เพราะดูแล้วเหตุผลที่จะไม่เปิดนั้นมีน้อย  ว่าที่จริง  เป็นเวลากว่า 10 วันติดต่อกันแล้วที่เราไม่มีคนในประเทศติดเชื้อกันเองเลย กิจกรรมสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยกว่ากิจกรรมอื่น ๆ  ที่กล่าวถึงทั้งหมดก็คือ  การ “เปิดประเทศ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ  เพราะนี่อาจจะมีผลกับคนไทยหลายล้านคนหรือคิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP  แต่ผมยังไม่เห็นแผนการที่ชัดเจนเนื่องจากการระบาดของเชื้อโรคในต่างประเทศส่วนใหญ่ก็ยังไม่สงบเพียงพอ  การเปิดประเทศอาจจะทำให้เรามีความเสี่ยงที่โรคจะระบาดซ้ำ  ผมเองคิดว่าประเด็นนี้อาจจะลากยาวไปอีกหลายเดือนและถ้าจะให้เปิดได้เสรีกับนักท่องเที่ยวเกือบทุกประเทศก็อาจจะใช้เวลาเป็นปีหรือมากกว่านั้น  ดังนั้น  การท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็จะเป็นภาคเศรษฐกิจที่จะเป็น “ลมต้าน” สำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถจะโตกลับมาเท่าเดิมภายในเวลาก่อน2 ปี คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนที่เน้นดู “พื้นฐานที่แท้จริง” ของหุ้นในระยะยาวก็คือ  ราคาหรือดัชนีหุ้นในช่วงนี้สูงเกินไปหรือยัง  การพุ่งขึ้นของหุ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้มีพื้นฐานที่รองรับหรือไม่?   ถ้ามองว่าราคาหุ้นไทยก่อนโควิด-19 นั้นมีความเหมาะสมอยู่แล้ว  เพราะดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,500 จุด ซึ่งมีค่าPE ที่ประมาณ 18 เท่า ซึ่งทำให้ค่า EP เท่ากับ 5.5% ต่อปีเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ประมาณ 1-2% ก็คือมีส่วนต่างประมาณ 3.5-4.5% สำหรับการรับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นนั้น  มองจากประวัติศาสตร์ก็ดูเหมาะสม ไม่แพงหรือถูกเกินไป  แต่การเกิดของโควิด-19 นั้น  ถ้าเราสมมุติว่าจะทำให้เศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถอยหลังไป 2 ปี  คือต้องใช้เวลาอีก 2 ปี เศรษฐกิจและกำไรถึงจะกลับมาที่เดิม  นั่นก็แปลว่าดัชนีหุ้นตอนนี้ควรที่จะต่ำกว่า 1,500 จุด ซัก 12% เพื่อที่ว่าตลาดหุ้นจะโตขึ้นปีละ 6% ต่อปีซึ่งเป็นอัตราที่ผมคิดว่าตลาดหุ้นจะทำได้ในระยะยาวนับจากวันนี้  นั่นก็หมายความว่าดัชนีที่เหมาะสมในวันนี้ก็ควรจะเป็นประมาณ 1,320 จุด ซึ่งต่ำกว่า 1,436 จุดและถ้าเราเชื่อตามนี้ก็หมายความว่าดัชนีหุ้นที่เราเห็นในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ก็ถือว่า “เต็มมูลค่า” แล้ว แน่นอนว่าการคาดการณ์แบบหยาบที่สุดข้างต้นนั้น  มีโอกาสผิดพลาดสูงมากทั้งทางบวกและทางลบ  แต่การที่หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับปริมาณการซื้อขายสูงลิ่วและเกิดขึ้นในยามที่คนจำนวนมากกำลังมีความหวังสูงสุดและสถานการณ์เต็มไปด้วยความสดใสหลังจากความเศร้าหมองหดหู่ซึ่งมักจะก่อให้เกิด “Euphoria” หรือความ “ฟิน”  ในตลาดหุ้นนั้น  เราในฐานะ VI ก็จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ  เพราะตลาดหุ้นจะมีเหตุผลซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นมีเหตุผลก็ต่อเมื่อคนไม่อยู่ในภาวะที่ฟินหรือหดหู่เกินไป  
โลกในมุมมองของ Value Investor  31 พ.ค. 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เวลาที่คนเรามีอายุมากขึ้นนั้น  เรามักจะมองกลับไปในอดีตรำลึกถึงความหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะนั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เงินและพลังงาน  ผมเองก็เป็นอย่างนั้น  แต่ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ผมก็อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่าชีวิตในอดีตกับชีวิตในปัจจุบันของผมมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง  ปรัชญาและความคิดสมัยก่อนกับสมัยนี้ของผมเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน  ทั้งหมดนี้ผมก็ดูด้วยว่าสังคมไทยเองมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนด้วยเพื่อจะได้เปรียบเทียบกับชีวิตและความคิดของตนเอง  ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นโดยเฉพาะที่สนใจในการลงทุน  เพราะชีวิตผมเองนั้น  ถ้าจะนิยามในวันที่ผมไม่อยู่แล้วคงต้องบอกว่าเป็น  “ชีวิตของนักลงทุน VI” คนหนึ่ง             และเรื่องแรกที่ผมคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือเป็นวิวัฒนาการของผมจากช่วงเยาว์วัยมาเป็นคนสูงอายุก็คือ  เดิมผมจะมองเรื่องต่าง ๆ  ในโลกและในชีวิตแบบสัมบูรณ์หรือ Absolute  แต่เมื่ออายุมากขึ้นผมก็รู้สึกตัวหรือคิดว่าชีวิตหรือแทบทุกอย่างในโลกนี้นั้นเป็นเรื่องสัมพัทธ์หรือ Relative  พูดง่าย ๆ  เรื่องต่าง ๆ  ในโลกนี้เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ   ตัวอย่างเช่น  เมื่อเราพูดว่าใครเป็น “คนรวย”  ถ้าเราพูดว่าต้องมีเงินเป็นตัวเลขเท่านั้นเท่านี้  นี่คือการพูดแบบสัมบูรณ์  แต่ผมคิดว่าวิธีที่จะกำหนดว่าใครเป็นคนรวยควรจะเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบว่าในสังคมนั้น  ใครคือคนที่มีเงินมากที่สุดและลดหลั่นกันลงไป  ถ้าเพื่อนของคุณส่วนใหญ่มีเงินมากกว่าคุณ  คุณเองก็อาจจะไม่ใช่ “คนรวย”  เมื่อ 50 ปีก่อนสมัยที่ผมยังเรียนมัธยม ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 พฤษภาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​ระยะนี้เรื่องของ “New Normal” นั้นน่าจะเป็นประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดในทุกวงการ  ชีวิตการทำงาน  สังคม  การเรียน  และที่สำคัญการทำธุรกิจและการลงทุนต่างก็ถูกกล่าวถึงว่าจะมี New Normal  นั่นก็คือ  มีวิถีหรือวิธีใหม่เกิดขึ้นและจะยังอยู่ต่อไปหลังจากวิกฤติโควิด-19  สิ่งที่โดดเด่นก็เช่นการซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต  การทำงานที่บ้าน การประชุมทางไกล  และการเรียนออนไลน์ เป็นต้น  เช่นเดียวกัน  การลงทุนเองนั้น  ก็มีการพูดถึงการลงทุนที่จะเป็น “New Normal” ด้วยเช่นกันและก็มีผู้พูดถึงกันมากแล้ว แต่สิ่งที่ผมจะพูดถึงในวันนี้นั้นกลับเป็นเรื่องที่ดูย้อนแย้ง  นั่นก็คือ  ความคิดและวิธีการการลงทุนหรือการเล่นหุ้นของนักลงทุนไทยที่ผมรู้สึกว่าโควิด-19 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย  นักลงทุนไทยที่รวมถึง VI ส่วนใหญ่นั้น  ผมคิดว่ายังคงมีแนวความคิดและวิธีการลงทุนหรือเล่นหุ้น “แบบเดิม” ที่เคยทำมาอย่างน้อยเป็น 10 ปีขึ้นไป  ซึ่งในช่วงก่อนที่จะเกิดโควิดเล็กน้อยนั้นผมเคยคิดว่านักลงทุนโดยเฉพาะส่วนบุคคลนั้นกำลังเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  แต่แล้วเมื่อโควิด-19 เกิดขึ้น  แทนที่การเปลี่ยนแปลงจะไปเร็วขึ้นเหมือนหลายสิ่ง  แต่กลับปรากฏว่าพวกเขาเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง ​ตัวเลขการซื้อขายหุ้นรายวันของนักลงทุนส่วนบุคคลก่อนเกิดโควิดนั้นลดลงมาเรื่อย ๆ  จากประมาณ 50% ของการซื้อขายของทุกกลุ่มเหลือ 35% หรือน้อยกว่านั้น  กลุ่มผู้เล่นต่างประเทศกลายเป็นผู้ที่ซื้อขายมากที่สุดจาก 30%กลายเป็นประมาณ 45% เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่มีบทบาทมากขึ้นและกลายเป็นผู้นำในเรื่องของการชี้นำดัชนีตลาดหุ้นรายวัน  ซึ่งผมเองก็มองว่าเป็น “วิวัฒนาการ” ปกติเมื่อตลาดหุ้นพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ  ว่าที่จริงตลาดหุ้นที่พัฒนาสูง ๆ  นั้น  นักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อขายหุ้นเองนั้นเหลือน้อยมากแทบไม่มีนัยสำคัญ  แต่แล้วเมื่อโควิด-19 เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้  การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อยส่วนบุคคลกลับเพิ่มสัดส่วนกลับขึ้นมาเป็นประมาณ 45-50% และนักลงทุนต่างชาติลดลงเหลือ 30-35% เหมือนช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนและการเก็งกำไรยังร้อนแรงเมื่อหลายปีก่อน ​ผมคิดว่าเหตุผลที่นักลงทุนส่วนบุคคล “หายไป” ในช่วงก่อนโควิด 1-2 ปีนั้น  น่าจะเป็นเพราะว่าตลาดหุ้น “ไม่ดี” ติดต่อกัน 2 ปีคือปี 2561 ที่ดัชนีติดลบ 10% และปี...
โลกในมุมมองของ Value Investor  16 พฤษภาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร สงครามโลกครั้งที่สองนั้น  นักประวัติศาสตร์ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเริ่มต้นเมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 และฝรั่งเศสกับอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันเพราะได้ประกาศค้ำประกันความเป็นอิสระของโปแลนด์เอาไว้  แต่ในช่วงแรกของสงครามเป็นเวลาถึง 8 เดือนนั้น  การรบเกิดขึ้นน้อยมาก  ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการปิดน่านน้ำและยิงกันทางอากาศประปรายไม่เหมือนกับสงครามจริง ๆ  จนถูกเรียกว่าเป็น  “Phony War” หรือ“สงครามเก๊”  แต่หลังจากที่เยอรมันเริ่มบุกเข้ายึดฝรั่งเศสในช่วงเดือนพฤษภาคม 1940  สงครามเต็มรูปแบบก็เริ่มขึ้นและยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกกว่า 5 ปีส่งผลให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงทั้งด้านของชีวิตคนและเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน “สงครามกับโควิด19” นั้น  ก็อาจจะคล้าย ๆ  กับสงครามโลก  ความสูญเสียก็น่าจะแรงคล้าย ๆ  กัน  มันเริ่มที่อู่ฮั่นช่วงปลายปี 2562 และก็ลามไปทั่วโลก  ในช่วงแรกนั้น  ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมากเพราะอาการส่วนใหญ่ไม่รุนแรง บางคนบอก  “แค่ไข้หวัดธรรมดา”  คนที่ตายก็มักเป็นคนสูงอายุ  นั่นคือ “Phony War” แต่ “สงครามจริง ๆ”  เกิดขึ้นอีก 3-4 เดือนต่อมาเมื่อประเทศต่าง ๆ  ทั่วโลกเกิดการระบาดจนต้อง “ปิดเมือง” เช่นเดียวกับประเทศไทยที่เราต้องปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจแทบทุกอย่างในเดือนมีนาคม 2563 และก็ไม่มีใครรู้ว่าสงครามโควิด19 จะจบเมื่อไร สำหรับผมเองนั้น  เรื่องเชื้อโรคหรือเรื่องของสุขภาพเป็นมิติสำคัญที่ทุกคนเห็นชัดเจนและเราก็ต่อสู้เพื่อเอาชนะมัน  เรามองว่าถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง  จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นน้อยลง  เราก็ “กำลังชนะ”  แต่ถ้ามองอีกมิติหนึ่ง  เราก็คงต้องดูถึง “ความเสียหายทางเศรษฐกิจ” ด้วยว่ามีความรุนแรงแค่ไหน  เท่าที่ดูตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าไทยเราอาจจะกำลังชนะในสงครามกับไวรัส  แต่สงครามทางเศรษฐกิจนั้นดูเหมือนว่า “เพิ่งจะเริ่มต้น”  และสัญญาณที่เห็นชัดเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็คือ  การที่การบินไทยกำลังอาจจะต้องเริ่มเข้าแผนฟื้นฟูเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤติทางการเงินอานิสงค์จากวิกฤติโควิด19 ที่ทำให้ธุรกิจการบินทั้งหมดแทบจะหยุดอย่างสิ้นเชิง  ผมไม่รู้ว่าในที่สุดการบินไทยจะประสบความสำเร็จไหม  แต่กำลังวิตกว่าบริษัทโดยเฉพาะที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่อื่น ๆ จะประสบปัญหาตามมาหรือไม่และมากน้อยแค่ไหน  ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่คิด  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  พวกเขาคิดว่าบริษัทใหญ่ ๆ  โดยเฉพาะในตลาดหุ้นต่างก็แข็งแรง  มีกำไรที่ดีเยี่ยม  ราคาหุ้นก็อยู่ในระดับสูงและ “กำลังกลับมา”  จะไปเปรียบเทียบกับการบินไทยที่ “มีปัญหามานานแล้ว” ไม่ได้ ผมอยากจะเถียงว่ากรณีของการบินไทยเองนั้น  ใครเคยคิดว่าอาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟูตามกฎหมายล้มละลาย?  จริงอยู่  การบินไทยอาจจะขาดทุนมากกว่าคนอื่น  มีหนี้มากกว่าคนอื่น  แต่การบินไทยนั้นเป็น  “สายการบินแห่งชาติ” ที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนตลอดเวลาและก็ทำมาตลอด  ความน่าเชื่อถือนี้ทำให้บริษัทสามารถกู้หนี้ยืมสินได้แทบไม่จำกัด  นักลงทุนจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็น “นักออม” เช่น คนที่อยู่ในแวดวงสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐต่างก็ดูว่าหุ้นกู้หรือตราสารหนี้อื่นของการบินไทยนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความปลอดภัยสูง    ว่าที่จริงแม้แต่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเองก่อนเกิดวิกฤติก็ยังให้เรทติ้งบริษัทในระดับ A ซึ่งถือว่าเป็นระดับ “ดีมาก” ไม่แพ้บริษัทจดทะเบียน “ยักษ์ใหญ่” ทั้งหลายในตลาดหุ้นไทย  ดังนั้น ความคิดที่ว่า  บริษัทมีความมั่นคง  มีเรทติ้งดี  และมีโอกาสล้มน้อยมากนั้น  อาจจะไม่จริงในช่วงที่เกิด “สงครามโควิด19” วิกฤติโควิด19 นั้น  มองในแง่ของตลาดหุ้นที่เมื่อเริ่มเกิดเหตุการณ์ราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างแรงประมาณ30-40% ในระยะเวลาอันสั้น  แต่เมื่อผ่านไปเพียงแค่ 1-2 เดือนดัชนีกลับสามารถปรับตัวขึ้นมาได้จนติดลบไปเพียง 10-20% จากช่วงก่อนเกิดโควิด19  และในตลาดหุ้นอย่างตลาดนาสดักซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มไฮเทคนั้น  ดัชนีหุ้นกลับปรับตัวขึ้นไปจนสูงกว่าตอนต้นปีแล้วนั้น  ก็ต้องถือว่าตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวแบบตัว V ซึ่งเป็นสัญญาณว่าวิกฤติกำลังผ่านไปอย่างรวดเร็วจนดูไม่เหมือนว่าโลกกำลังมีวิกฤติด้วยซ้ำ แต่ในด้านของเศรษฐกิจนั้น  ดูเหมือนว่าโลกกำลังเจอกับ “สงครามจริง” ที่เพิ่งจะเริ่ม  การคาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศดูเหมือนว่าจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ  บริษัทที่ถูกกระทบอย่างแรงเช่น สายการบินหลายแห่งอยู่ในสภาวะ “ล้มละลาย” และหลายแห่งก็จะล้มจริงถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล  การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากโดยเฉพาะที่อยู่ในธุรกิจ “เก่า” อย่างเช่นรถยนต์และน้ำมันก็ย่ำแย่มากไม่ต้องพูดถึงธุรกิจที่ถูกกระทบจากโควิดโดยตรงอย่างเรือสำราญหรือโรงแรม เป็นต้น โดยที่สงครามนี้ก็ดูเหมือนว่ายังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร ความขัดแย้งในตรรกะที่ว่าเศรษฐกิจกำลัง “เน่า”  แต่หุ้น  “ดี” นี้  ได้รับการอธิบายโดยบางคนว่าเป็นเพราะโลกกำลังเปลี่ยนไป  มีการแยกตัวระหว่างตลาดหุ้นหรือตลาดการเงินซึ่งเป็นตลาด “จำลองหรือตลาดเสมือนจริง” กับตลาดที่เป็นเศรษฐกิจ “จริง”  พูดง่าย ๆ  หุ้นจะขึ้นจะลงก็เป็นเพราะมีคนนำเงินมาซื้อหรือขายด้วยเหตุผลทางการเงินหรือเรื่องอื่นที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับเศรษฐกิจอย่างที่เราเข้าใจและคุ้นเคยกันมานาน  แต่นี่สำหรับผมแล้วก็ต้องบอกว่าผมไม่เข้าใจและก็ไม่เชื่อ  ผมถูกสอนให้เชื่อมาตลอดว่า  ราคาหุ้นในระยะยาวแล้วจะต้องสะท้อนถึงผลประกอบการระยะยาวของกิจการเสมอ  ดังนั้น  ถ้าหุ้นทั้งตลาดหรือดัชนีตลาดหุ้นขึ้นและดำรงอยู่ได้ในระยะยาว  เศรษฐกิจและกิจการก็น่าจะต้องดีในระยะยาวด้วย  ถ้ามองไปข้างหน้าแล้วเศรษฐกิจ “เน่า” แน่ ๆ  หุ้นไม่น่าจะขึ้นไปแล้วอยู่ทน  ในไม่ช้าก็จะต้องตกลงมา ประเด็นที่จะต้องคิดก็คือ  เศรษฐกิจจะเน่าไปนานแค่ไหนและจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน  ถ้าคำตอบก็คือ  “เร็วมาก” และบริษัทก็สามารถกลับมาสร้างรายได้และกำไร “เท่าเดิม” ในเวลาแค่ปีสองปี  แบบนี้หุ้นก็จะมีเหตุผลที่จะขึ้นไปตั้งแต่ช่วงนี้แล้วก็เดินหน้าต่อ  “มองข้าม”  ปัญหา “ชั่วคราวสั้น ๆ”  เช่นเรื่องโควิด19 ไป   แต่ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาต่อเนื่องไปพอสมควร  บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากยังต้องปรับโครงสร้างและแก้ปัญหาอันเนื่องจากโควิด19ไปอีกนาน  แบบนี้หุ้นก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้และอาจจะตกลงมาแรงได้อีก  ซึ่งนี่ก็คือสถานการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2540 ที่เกิดวิกฤติการเงินรุนแรงและกว่าที่เศรษฐกิจและบริษัทจะฟื้นตัวก็กินเวลาหลายปี ถ้ามองอีกมุมหนึ่งโดยเฉพาะในกรณีตลาดหุ้นของอเมริกา  คำอธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นดีทั้ง ๆ  ที่เศรษฐกิจกำลังจะแย่ก็คือ  หุ้นที่ดีได้นั้นเป็นเพราะมันเป็นหุ้นไฮเทคขนาดใหญ่ที่ไม่ถูกกระทบโดยเศรษฐกิจที่กำลังแย่  ดังนั้น  หุ้นพวกนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและเนื่องจากมีขนาดใหญ่  มันจึงช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นโดยรวมไม่ตกลงมามากอย่างที่ควรจะเป็น  ถ้าตัดหุ้นเหล่านี้ออกไป  ดัชนีอาจจะแย่กว่านี้มากก็ได้  แต่นี่ก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงตกลงมาไม่มากเช่นกัน เพราะว่าไทยไม่มีหุ้นไฮเทคขนาดใหญ่ที่มาช่วยค้ำยันตลาด  ผมเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน  บางทีตลาดหุ้นไทยอาจจะถูกซื้อขายโดยคนไทยที่เข้ามา “เก็งกำไร”  จำนวนมากซึ่งทำให้หุ้นไม่ตกลงมาอย่างที่ควรจะเป็นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม  ถ้าเป็นกรณีแบบนี้  ในระยะยาวแล้ว  หุ้นและดัชนีหุ้นของเราก็จะอยู่ในระดับสูงไม่ไหวถ้าเศรษฐกิจแย่ต่อไปนานและไม่มีหุ้นที่จะได้ประโยชน์เช่น  หุ้นไฮเทคของอเมริกา ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของการประเมินหรือคาดเดา  ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร เราคงจะรู้เมื่อเวลาผ่านไปและอะไรเกิดขึ้นซึ่งก็จะเป็นบทเรียนให้เราต่อไปในอนาคต  อย่างไรก็ตาม  การลงทุนนั้นเราจะอิงกับการประเมินและคาดเดาที่เราไม่มีความมั่นใจสูงไม่ได้  ดังนั้น  สิ่งที่ควรทำก็คือ  ลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งปลอดภัยและโอกาสถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่มีน้อยในราคาหุ้นที่ถูกหรือยุติธรรม  มี Margin of Safety สูง เพราะนี่คือหุ้นที่จะ “ฝ่าพายุ” ได้  การลงทุนเพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินหรือร่ำรวยนั้นก็เหมือนกับการเดินเรือออกทะเลไปสู่ดินแดนอันมั่งคั่งที่อยู่ห่างไกล  มันต้องใช้เวลามาก บางทีแทบจะตลอดชีวิต  และจะต้องฝ่าคลื่นลมและพายุใหญ่ในบางครั้ง  เราไม่รู้ว่าอุปสรรคเหล่านั้นจะมาเมื่อไร  เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงมันได้  ดังนั้น  สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องมั่นใจว่าเรามีเรือที่ดีและแข็งแรงพอที่จะไม่จมลงง่าย ๆ  ไม่ว่าพายุจะรุนแรงแค่ไหน  นอกจากนั้น  เราก็จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคและละทิ้งเป้าหมายที่จะไปตราบที่เป้าหมายนั้นมันท้าทาย  มีเหตุผล และเป็นไปได้
วันนี้! (12 พ.ค.) Diamond ETF จะเปิดซื้อ-ขาย ใน Ticker : FUEVFVNDนักลงทุนต่างชาติอย่างเราก็ดีใจ ที่เวียดนามมี ETF รวมหุ้นที่ชาวต่างชาติซื้อได้แบบไม่ต้องจ่ายพรีเมี่ยมสักที VVI นำ 12 เรื่องน่ารู้ Diamond ETF (FUEVFVND) มาฝากค่ะ 1. FUEVFVND บริหารโดย Vietfund Management (VFM) ผู้เชี่ยวชาญกองทุน ETF ที่ใหญ่สุดในเวียดนามโดย ETFs หรือ Exchange Traded Fund เป็นกองทุนเปิดซื้อขายได้สะดวกเหมือนหุ้น 1 ตัว ที่มีไส้ในเป็นหุ้นหลายตัว ใช้เงินน้อย ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำ 2. FUEVFVND เลือกจากหุ้น 14 ตัวจากดัชนี VN-Allshare ที่มี FOL (Foreign Ownership Limit) สูงสุด (คหสต.ต่างชาติจ่ายพรีเมี่ยมสูงสุดในการซื้อและเป็นที่ต้องการมากด้วย) อีกทั้ง P/E ต่ำที่สุด 3. FUEVFVND มีหลักเกณฑ์ครอบคลุมถึง มูลค่าตลาด (Market cap)ไม่น้อยกว่า 5...
This (Covid19) too shall pass โลกในมุมมองของ Value Investor9 พฤษภาคม 63ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​เวลาเกิดเหตุการณ์หรือมีสถานการณ์ที่รุนแรงโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงจน “แทบทนไม่ไหว” จงจำไว้ว่า เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่อยู่ตลอดไป มันเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ถึงวันหนึ่งมันก็จะเปลี่ยนไป นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดังนั้น เราจะต้องอดทนเพื่อที่จะ “ผ่านมันไปให้ได้” เพื่อที่จะไปสู่ความรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่อาจจะตามมา และคำกล่าวคลาสสิกที่พูดโดย อับราฮัม ลินคอล์น ในแวดวงของการเมือง และ เบน เกรแฮม ในด้านของการลงทุนที่เราควรจะจำไว้เสมอก็คือ “This too shall pass” หรือแปลว่า “สิ่งนี้ก็เหมือนกัน มันจะผ่านไป” ความหมายก็คือ นี่ก็จะเหมือนเหตุการณ์หนักหนาสาหัสครั้งก่อน ๆ ที่เคยเกิดขึ้นและในที่สุดมันก็จะผ่านไป และที่ผมยกคำกล่าวนี้ขึ้นมาพูดก็เพราะผมคิดว่า เรื่องของโควิด19 ที่ทำลายเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดความยากลำบากแก่มนุษย์ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้นั้น ในที่สุดก็จะผ่านไป และโลกก็จะกลับมา “เหมือนเดิม” หรือในกรณีนี้อาจจะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป “เล็กน้อย” ในแง่ที่ว่า โลกเปลี่ยนแปลงไป “เร็วขึ้น” เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ​โควิด19 นั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้ไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นถูกกำหนดโดยยีนที่ฝังอยู่ในตัวของคนมานานเป็นหมื่นเป็นแสนปีแล้ว ยีนของมนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะสั่งให้คนทำอะไรก็ตามที่ได้ผลตอบแทนสูง...
โลกในมุมมองของ Value Investor        1 พฤษภาคม 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​เมื่อ 2-3 วันก่อนนั้นมีข่าวเล็ก ๆ  ที่ไม่รู้ว่าจะเป็น “Fake News” หรือ “ข่าวปลอม” หรือเปล่าว่า  นักบินที่กำลังขับเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้าคนหนึ่งได้พบ “UFO” รูปร่างคล้ายจานบินอยู่บนท้องฟ้า  และภาพที่บันทึกไว้ได้นั้น  ทางนาซาหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าเป็นวัตถุที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไรหรือก็คือ เป็น UFOจริง ๆ   ผมเองไม่ได้ตื่นเต้นอะไรและคิดว่าคนทั่วไปก็คงไม่ได้สนใจ  เพราะเรื่องแบบนี้มีมานานอย่างน้อยก็หลายสิบปีแล้ว  แต่ในยามที่กำลัง “ติด” อยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหนมานานเป็นเดือนเนื่องจากการระบาดของโควิด19  นี่ทำให้ผม “จินตนาการ” ไปว่า ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวที่ขับยานอวกาศวนเวียนมองดูความเป็นไปของโลกมาตลอดเวลาเป็นหลายสิบหรือร้อยปี  ในช่วงนี้พวกเขาคงประหลาดใจมากที่อยู่ ๆ  ถนนทั่วโลกที่เต็มไปด้วยรถยนต์ก็ว่างลงจนแทบร้าง  ผู้คนที่เดินกันตามถนนเพื่อไปทำงานหรือท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด  สถานบันเทิงยอดนิยมอย่างดิสนีย์แลนด์ปิดหมด  เช่นเดียวกับร้านเหล้าหรือบาร์ตอนกลางคืนก็เงียบเชียบ  ส่วนใหญ่ก็ปิดร้าง  การแข่งขันกีฬาหรือการแสดงคอนเสิร์ตที่คนมาชุมนุมกันมากมายก็หยุดลงอย่างสิ้นเชิง  ว่าที่จริง  ไม่ใช่แค่เอเลียนหรือมนุษย์ต่างดาวที่งงว่าเกิดอะไรขึ้น  สัตว์จำนวนมากที่ถูกมนุษย์ขับไล่ออกไปให้อยู่แต่ในป่าเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้วก็คงประหลาดใจเช่นเดียวกัน  บางแห่งพวกมันถึงกับเข้ามาดูในเมืองว่าเกิดอะไรขึ้น สัตว์น้ำขนาดใหญ่ในทะเลเช่นปลาโลมาก็เข้ามาว่ายเล่นอยู่ริมฝั่งโดยไม่กลัวว่าจะถูกทำร้าย  เพราะมันไม่มีคน ​ผมคิดว่าในประวัติศาสตร์สังคมของมนุษย์นั้น  เราน่าจะไม่เคยประสบกับสภาพการณ์แบบนี้มาก่อนนั่นก็คือ  การทำกิจกรรมของมนุษย์นั้น  น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตั้งแต่กำเนิดมนุษย์ขึ้นในโลก  พวกเราเติบโตขึ้นมาตลอดในแง่ของจำนวนและการทำกิจกรรมเพื่อความอยู่รอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์  ในบางช่วงเวลาเราก็ประสบปัญหาเหมือนกัน  เช่น  การเกิดสงครามโลกและโรคระบาดครั้งใหญ่อย่างไข้หวัดเสปน  แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกว้างขวางทั่วโลกแบบนี้  และคนก็ไม่ได้ลดการทำกิจกรรมลงมากมายขนาดนี้  แต่การระบาดของโคโรนาไวรัสในครั้งนี้ได้ทำให้คนทั่วโลกลดกิจกรรมลงมาอย่างมากและทันที  ถ้ามองจากฟ้าได้ทั่วโลกผมคิดว่าตอนนี้คงคล้าย ๆ  กับสภาพของโลกย้อนหลังไปอย่างน้อยซัก 50 ปีหรือมากกว่านั้น  เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์?  เมื่อไรมนุษย์จะเคลื่อนไหวและเดินทางเหมือนเดิม? ​ถ้าเรามอง  “ภาพใหญ่” จริง ๆ ของวิกฤติโควิด19 คล้าย ๆ  กับการสังเกตของเอเลียนจากฟากฟ้า ผมอยากจะอธิบายอย่างคร่าว ๆ  แบบนี้ว่า  มนุษย์เกือบทุกคนในโลกในยุคปัจจุบันนั้น  ต่างก็อยู่ในโลกสมัยใหม่ที่ทุกวันจะต้องออกจากบ้านและเดินทางไปทำงานด้วยรถยนต์ทั้งที่เป็นของส่วนตัวและรถสาธารณะ...
โลกในมุมมองของ Value Investor  25 เม.ย. 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​สัปดาห์ก่อนมีข่าวว่ารัฐบาลได้ส่งจดหมายถึง 20 เศรษฐีไทยที่รวยที่สุดในประเทศเพื่อขอคำแนะนำทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤติโควิด19 รวมถึงความช่วยเหลือที่เศรษฐีเหล่านั้นจะมอบให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาในทุก ๆ  ด้าน   รายชื่อเศรษฐีเหล่านั้น  แน่นอนว่าเป็นที่น่าสนใจสำหรับคนส่วนใหญ่ในประเทศ  แต่สำหรับผมแล้ว  รายชื่อที่จะน่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ  ภายหลังวิกฤติแล้ว  ใครจะเป็นคนที่รวยที่สุด 20 อันดับ  เหตุผลก็คือ  หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทุกครั้ง  มหาเศรษฐีเดิมจำนวนไม่น้อยมักจะเสียหายอย่างหนักจนตกอันดับหรือหายไปจากสาระบบของเศรษฐีใหญ่  รายชื่อมหาเศรษฐีใหม่จะปรากฏขึ้น  รายชื่อใหม่เหล่านี้  ส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นรายชื่อเศรษฐีธรรมดาในตลาดหุ้นอยู่แล้ว  แต่บางครั้งก็เป็นเศรษฐีที่เกิดขึ้นใหม่และเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่ง การที่เรารู้ว่าใครจะเป็นมหาเศรษฐีใหม่นั้น  จะทำให้เราสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีและช่วยพาให้เรารวยไปด้วยได้   ลองมาดูประวัติคร่าว ๆ  ของการเกิดเศรษฐีใหม่หลังวิกฤติครั้งใหญ่ที่ผ่านมาในอดีตย้อนหลังไปถึงปี 2540 ดู ​ก่อนปี 2540 นั้น  รายชื่อมหาเศรษฐี 20 อันดับของไทยนั้นส่วนใหญ่ก็คือเจ้าของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทผู้ผลิตอาหารขนาดใหญ่ทั้งที่บริโภคในประเทศและส่งออก  และผู้จัดสรรบ้านและที่ดินขนาดใหญ่ที่เริ่มจะบูมอานิสงค์จากคนยุคเบบี้บูมและคนเจน X ที่เริ่มจะร่ำรวยขึ้นและซื้อบ้านใหม่แยกจากพ่อแม่  แต่เมื่อเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้น  ธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักกู้เงินมหาศาลโดยเฉพาะจากต่างประเทศต่างก็แทบจะล้มละลาย  ธนาคารส่วนใหญ่กลายเป็นของนักลงทุนต่างชาติ  ความมั่งคั่งของเจ้าของลดลงมหาศาล  คนรวย 20 อันดับแรกจำนวนมากกลายเป็น  “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” คนที่จะรวย 1 ใน 20 อันดับเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ​หลังวิกฤติ  หุ้นของบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งจะเริ่มดำเนินการมาไม่นานและยังมีผู้ใช้ไม่มากนักต่างก็เจ็บตัวอย่างหนักและต้องทำการปรับโครงสร้างทางการเงินไม่น้อย  อย่างไรก็ตาม  ในไม่ช้าผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นมากตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีซึ่งทำให้ต้นทุนของการให้บริการลดลงมากและค่าใช้โทรศัพท์ของประชาชนก็ลดลงมากเช่นกัน  นั่นทำให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ้นของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเติบโตขึ้นมหาศาล  เจ้าของบริษัทกลายเป็นคนรวยที่สุดในประเทศในชั่วเวลา  “ข้ามคืน” ​ในเวลาใกล้เคียงกัน  ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่เป็นเครือข่ายซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศก่อนหน้าวิกฤติเล็กน้อยนั้น  หลังจากวิกฤติผ่านพ้นไปก็เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว  จากไม่กี่สาขาและขยายตัวอย่างช้า ๆ  ก็เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของ GDP ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอานิสงค์จากการเติบโตของการลงทุนจากต่างประเทศที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออกที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบเพราะค่าแรงที่ถูกและค่าเงินบาทที่ค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ  ในเวลานั้น ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตที่ไม่แพ้ใครแม้แต่จีน  ไม่ต้องพูดถึงเวียตนามหรือประเทศ “ชายขอบ” ทั้งหลาย ​การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนั้นส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว  ความต้องการที่อยู่อาศัยทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในทุกด้าน  คนที่ทำห้างร้านให้เช่า...

MOST POPULAR