ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การประกาศของ Facebook ที่จะสร้างเงินดิจิตอลชื่อ Libra และนำออกใช้ในต้นปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่ทำให้โลก “ตะลึง”  คนจำนวนมากเชื่อว่า Libra จะประสบความสำเร็จและจะเป็นการ “ปฏิวัติโลกการเงิน” ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง  จริงอยู่ว่าคนตะลึงมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ Bitcoin ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลรุ่นแรกที่สร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อ “ซาโตชิ นากาโมโต” ถูก “ปั่น” ขึ้นมาจนมีราคาสูงมโหฬารซึ่งทำให้คนสนใจเข้ามาเรียนรู้ศึกษากันทั่วโลก  คนจำนวนมากคิดว่าในที่สุด Bitcoin จะกลายเป็นเงินสกุลใหม่ที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะมันสามารถลดต้นทุนในการดำเนินการเช่นการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางที่มีต้นทุนสูงเช่นระบบแบ้งค์ เป็นต้น  นอกจากนั้น  มันยังเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูง  ไม่มีใครหรือรัฐบาลไหนสามารถที่จะขโมยหรือออกนโยบาย เช่น พิมพ์หรือสร้างเงินเพิ่มขึ้นมาซึ่งจะทำลายมูลค่าของเงินนั้นได้  อย่างไรก็ตาม  นับจนถึงวันนี้  Bitcoin ก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างการยอมรับของสังคมธุรกิจ  มีร้านค้าที่จะรับเงินบิทคอยน์น้อยมาก  และแม้แต่คนหรือบริษัทที่ต้องการโอนเงินระหว่างกันข้ามประเทศก็ไม่โอนผ่านบิทคอยน์  ดูเหมือนว่าคนที่สนใจและเข้าไปเกี่ยวข้องกับบิทคอยน์จริง ๆ นั้นก็คือ  “นักเก็งกำไร” ที่เข้าไปเทรดบิทคอยน์เท่านั้น ปัญหาของบิทคอยน์ก็คือ  ราคาหรือมูลค่าของบิทคอยน์นั้นผันผวนมาก  วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์  ช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนราคาอาจจะขึ้นไปเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว  ถ้าจะเอามาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ  คนที่ซื้อและขายก็จะมีความเสี่ยงมาก  เพราะวันที่ตกลงราคาซื้อขายกับวันที่จะต้องชำระเงินห่างกัน  มูลค่าที่คิดจากเงินตราของท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานของต้นทุนการผลิตสินค้าจะเปลี่ยนไปมาก  ทำให้คนที่เข้าไปทำสัญญาซื้อขายอาจจะขาดทุนหรือกำไรได้โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจ   การที่ราคาบิทคอยน์ขึ้นลงรุนแรงนั้น  ก็เป็นเพราะมันไม่ได้มี  “พื้นฐาน”  ของกิจการรองรับเหมือนอย่างหุ้น  หรือมีประเทศที่เป็น “ผู้ออกสกุลเงิน” มารองรับ...
เศรษฐกิจเวียดนามยังดี…ฝ่าปัจจัยบาทแข็งไหวไหม ผ่านไปใกล้จะครึ่งปี นักลงทุนยังให้ความสนใจ DR ตัวแรกของไทยอย่างล้นหลามนะคะ โดย Market Cap ของ E1VFVN3001 โตมากกว่า 2 เท่าจากตอน IPO เมื่อปลายปี 61 มาอยู่ที่ราว 1.5 พันล้านบาท ณ ปลายเดือน พ.ค.62 …แม้ผลตอบแทนจากต้นปีจะยังไม่ดีนัก โดยติดลบไปราว 3% ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากราว 5% เมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนาม (ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นแข็งค่าเพียง 0.5% เทียบกับค่าเงินดอง) ส่วนดัชนี VN30 ที่อ้างอิงหุ้นชั้นนำ 30 ตัวแรกของเวียดนามที่ DR ได้ไปอ้างอิงนั้น ยังบวกได้ราว 2% จากต้นปีค่ะ เมื่อพิจารณาสัดส่วนของหุ้นในแต่ละกลุ่มในดัชนี VN30 จะพบว่ากลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าบริโภคจำเป็น และกลุ่มอสังหาฯ มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 30% 22% และ 19% ตามลำดับ...
เตรียมพบกับ ทริปสัมมนา Tour-Learn-Earn more in Ho Chi Minh Cityจัดโดย VVI GROUP ร่วมกับ Viet Capital Securities (VCSC)ในวันที่ 28-30 กรกฏาคม 2562 สนใจคลิ๊กhttps://forms.gle/BV3Ww6vJh7Kh3bDc9 Update สาระความรู้ ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันหุ้นเวียดนาม ไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจของเวียดนามโปรแกรมเบื้องต้น-----28 ก.ค.เดินทางสู่ Ho Chi Minh City ด้วยตัวเอง (ก่อนการเดินทางจะมีการจัดกลุ่มท่านที่จองตั๋วไฟล์ทเดียวกันให้มาด้วยกัน)17.00: พบกันที่ Lobby โรงแรมWalking Tour (ระยะทางเดินรวมประมาณ 3-4 กิโลเมตร)สถานที่สำคัญใน Ho Chi Minh City อาทิ ไปรษณีย์กลางไซ่ง่อน โบสถ์นอร์ทเธอดาม ตลาดเบนถั่น รวมทั้งห้างร้านต่างๆ เช่น Vincom Retail (หุ้น VRE)(ค่าอาหารมื้อนี้ไม่รวมในค่าสัมมนา) 29 ก.ค.9.00 : กล่าวต้อนรับและแนะนำโปรแกรมสัมมนา9.15: Update ภาพรวมตลาดหุ้นเวียดนาม จากมุมมองนักวิเคราะห์ชาวเวียดนาม10.15: พักรับประทานอาหารว่าง10.30:...
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนทบต้นนั้น  ไอน์สไตน์(อีกแระ) บอกว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” เพราะเมื่อเงินทองหรือหุ้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้  ถ้าเราเอาผลตอบแทนที่ได้ไปทบกับเงินต้นในตอนต้นปี  ปีหน้าเงินต้นก็จะเพิ่มขึ้น  เช่น  ถ้าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี  เงินต้นของปีต่อไปก็กลายเป็น 110 บาทจากเดิม 100 บาท  และถ้าเราได้ผลตอบแทนปีที่สองอีก 10%  จากเงินต้น 110 บาท  ก็เท่ากับว่าเราได้ผลตอบแทน 11 บาท  เมื่อนำมันมาทบกับเงินต้น 110 บาทก็จะกลายเป็นเงินต้นใหม่ 121 บาทในปีที่ 3  และถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลายาวนาน  เงินต้นที่เริ่มจาก 100 บาทก็จะกลายเป็นเงินก้อนโตมหาศาล   เช่น  ถ้าเราลงทุน 100 บาทและได้ “ผลตอบแทนแบบทบต้น”  คือเอาเงินกำไรกลับไปลงทุน  ไม่มีการถอนเงินออกเลย เฉลี่ยปีละ 10%  ภายใน 7.2 ปี เงินของเราก็โตขึ้นเท่าตัวเป็น 200 บาท ถ้าลงทุน 14.4 ปี  เงินก็จะเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น...
มุมมองหุ้นเวียดนามจาก Vietnam Emerging Forum 2019 สัปดาห์ที่แล้วแอดมินได้ไปร่วมงาน Vietnam Emerging Forum 2019 ที่โรงแรม Le Meridien Saigon ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นการสัมมนาเฉพาะกลุ่มที่ต้องได้รับเชิญจาก HSC เท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมบริษัทชั้นนำของเวียดนาม (ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) กว่า 60 บริษัท กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกือบ 500 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน 2562 การสัมมนามีเนื้อหาสาระค่อนข้างอัดแน่นตลอดเวลา 2 วัน ซึ่งมีการจัดขึ้นทั้งในห้อง Ballroom ใหญ่ โดยเป็นการนำเสนอและเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ 41 คนในหลาย ๆ สาขาเช่น หลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี เป็นต้นและห้องสัมมนาย่อยเน้นการพบปะกับบริษัทจดทะเบียนกว่า 60 บริษัทส่วนวันที่ 3 เป็นการออกเยี่ยมชมกิจการ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ทัวร์เทคโนโลยี ทัวร์อสังหาริมทรัพย์ และทัวร์ค้าปลีก สิ่งที่แอดมินเห็นชัดเจนคือนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะสนใจสมัครร่วมกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี แต่สำหรับนักลงทุนไทยแล้วสนใจกลุ่มค้าปลีก ดังนั้นเวลาแยกกลุ่มแล้วกลุ่มนี้จะมีคนไทยเป็นส่วนใหญ่เรื่องนี้แม้แต่โบรกเกอร์เวียดนามเองก็รู้ และคงนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น ในความเห็นของแอดมินเองแล้ว คิดว่านักลงทุนไทยที่สนใจในหุ้นเวียดนามส่วนใหญ่มักเป็นผู้ประสบผลสำเร็จในการลงทุนหุ้นไทย โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกและธุรกิจห้างสรรพสินค้ามีการเติบโตมาโดยตลอดและยาวนานวันนี้การเติบโตหุ้นกลุ่มนี้ในเมืองไทยในเริ่มอิ่มตัว...
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลาย ๆ  ปีก่อนในช่วงที่ตลาดหุ้นยังปรับตัวขึ้นเป็น “กระทิง” ต่อเนื่องยาวนานนั้น  เรามักพบนักลงทุนโดยเฉพาะที่ยังหนุ่มแน่นอายุไม่มากเช่น 30-40 ปีหลาย ๆ  คนลาออกจากงานประจำและหันมาลงทุนเต็มตัว  บางคนมีเงินก้อนหนึ่งอาจจะแค่ 2-3 ล้านบาทซึ่งเขา “คิด” ว่าสามารถทำเงินแต่ละเดือนจากการเล่นหุ้นได้ 40,000-50,000 บาท ซึ่งมากพอที่จะ “เลี้ยงชีพ” ได้  ดังนั้นเขาจึงลาออกจากงานประจำเงินเดือนน้อยนิดและน่าเบื่อเพื่อเน้นเล่นหุ้นที่จะ “ได้กำไรดีขึ้น” จากการ “ทุ่มเท” กับการ “ลงทุน” อย่างจริงจัง  ในวันนี้ผมเชื่อว่าพวกเขาคงกลับมาทำงานประจำกันหมดแล้วเพราะขาดทุนหุ้นหนัก  ไม่มีเงินพอเลี้ยงชีพ นักลงทุนอีกหลายคนนั้น  ประสบความสำเร็จสูงกว่าจากการลงทุนและมีพอร์ตเพิ่มขึ้นมากจนคิดว่าตนเองมี  “อิสรภาพทางการเงิน” แล้ว  เนื่องจากคิดว่าพอร์ตของเขาใหญ่พอที่ถ้าสามารถทำผลตอบแทนเพียงปีละ 10-20% แบบทบต้นนั่นคือได้กำไรโดยเฉลี่ยแบบนั้นทุกปีเขาก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ  ตัวอย่างเช่น  พอร์ตอาจจะเท่ากับ 10 ล้านบาท  ได้ผลตอบแทนปีละ 12% ก็จะได้เงินกำไรมาใช้ปีละ 1,200,000 บาท หรือเท่ากับเดือนละ 100,000 บาท ดังนั้น เขาก็สามารถใช้ชีวิตที่อิสระโดยมีการลงทุนเป็นงานที่เขาชอบและเขาสามารถทำอะไรก็ได้โดยเฉพาะการท่องเที่ยวไปทั่วโลก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เขาไม่ได้มีภาระอะไรมากมายและก็ยังเป็นคนที่ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือย  ดังนั้น  นี่คือ  “ความฝัน” ที่เขาเคยคิดมานาน  นั่นคือ  เกษียณก่อนกำหนดมาก...
ผมเพิ่งกลับจากการศึกษาดูงานที่นครโฮจิมินห์ หรือชื่อเดิมว่า ไซง่อน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม สิ่งที่ผมได้เห็นกับตาเป็นเครื่องยืนยันบทความตามหน้าสื่อต่างๆ ไม่ว่าทั้งไทยและเทศที่ว่าเศรษฐกิจเวียดนามน่าจะโตได้ 6-7% ต่อปี ไปอย่างน้อยอีก 10 ปี และสิ่งที่ไทยเคยใช้เวลากว่า 20 ปี ในการพัฒนาประเทศมาจนถึงปัจจุบัน เวียดนามอาจทำได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี นักธุรกิจไทยที่ผมได้พบที่เวียดนามต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า…วันนี้ถ้าให้เขากลับไทย มีร้องไห้แน่นอน…ลองมาดูกันครับว่า เวียดนามมีดีอะไร ? เหล่านักธุรกิจถึงได้ติดใจกันขนาดนี้ ? …เวียดนามมีประชากรกว่า 97 ล้านคน โดยตลอดเส้นทางที่ผมได้เดินทางผ่าน พบผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ต่างกับไทยที่ประชากรส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยก็คือ เมื่อผมนั่งรถออกไปชมเมืองช่วงหัวค่ำ เวลา 3-4 ทุ่ม พบว่าร้านอาหาร ถนนหนทางยังคึกคักมาก ผู้คนแน่นร้านตลอดเส้นทาง แม้จะเป็นคืนวันธรรมดา มีหนุ่มสาวจำนวนมากนั่งจับกลุ่มกัน นั่งบนมอเตอร์ไซด์บ้าง ตามเก้าอี้บนพื้นถนนบ้าง โดยบริโภคอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ไปด้วย ซึ่งหากเทียบกับไทยแล้ว แค่เวลา 2 ทุ่ม ร้านค้าก็คงเงียบเหงาหงอย นี่น่าจะเป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจเวียดนามคึกคักจริง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทต่างชาติแห่กันเข้าไปลงทุน ด้วยกำลังซื้อที่มหาศาล แถมยังเป็นคนหนุ่มสาวที่กำลังมีรายได้เพิ่มขึ้น… ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมที่ Big C เวียดนาม (เจ้าของ Big C...
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มิถุนายน 62 ลงทุนในยุคเศรษฐกิจโตช้า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มองย้อนหลังไปประมาณ 6 ปี ในช่วงกลางปี 2556  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1,600 จุด  แทบจะไม่ต่างจากดัชนีวันนี้ที่ประมาณ 1,620 จุด นี่คือช่วงเวลา 6 ปีที่น่าจะพูดได้ว่าตลาดหุ้นเป็น Sideway คือราคาหุ้นโดยรวมไม่ได้ปรับตัวขึ้นหรือลดลงเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระยะเวลายาวนาน  สำหรับนักลงทุนที่มักจะมองภาพเล็กในหุ้นรายตัวหรืออาจจะเป็นกลุ่มและเป็นนักลงทุนระยะยาวก็จะเห็นว่าหุ้นตัวหลัก ๆ  หรือกลุ่มหลัก ๆ  บางกลุ่มเช่นหุ้นธนาคารขนาดใหญ่นั้น  ราคาหุ้นผ่านมา 6 ปีก็มักจะไม่ไปไหน  และเมื่อดูผลประกอบการย้อนหลังไป 5-6 ปี ก็มักจะพบว่ากำไรของธนาคารเหล่านั้นก็ไม่ไปไหนเหมือนกันคือ  กำไรก็เท่าเดิมหรือบางตัวลดลงด้วยซ้ำ  เช่นเดียวกับหุ้นสื่อสารซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ให้บริการหรือมีลูกค้าที่เป็นรายย่อยทั้งประเทศก็มีอาการคล้าย ๆ  กัน  ลงทุนไปแล้วมักจะได้แต่ปันผลแต่ไม่ได้กำไรจากราคาหุ้นที่มักจะไม่ค่อยไปไหนในระยะยาวแม้ว่าในระยะสั้น ๆ  อาจจะผันผวนเป็นช่วง ๆ  ที่ทำให้มีคนกำไรและขาดทุนแต่ก็ไม่มากนัก คนที่ลงทุนระยะยาวในหุ้นหลัก ๆ  ขนาดใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งรวมถึงกองทุนรวมโดยเฉพาะที่อิงกับดัชนีในระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น  น่าจะได้ผลตอบแทนประมาณแค่ไม่เกิน 3-4% ต่อปีแบบทบต้น   ซึ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะมาจากมาจากเงินปันผล  ดูเหมือนว่าปันผลกลายเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องของการลงทุน  อย่างไรก็ตาม  สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลที่เข้ามาเล่นหุ้นหรือเลือกหุ้นลงทุนเองในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งรวมถึง VI ส่วนใหญ่นั้น  ภาพที่ว่าหุ้นไทยไม่ไปไหนและผลตอบแทนก็ค่อนข้างต่ำในช่วง...
ทั้งๆ ที่ตัวเลข GDP FDI การส่งออกเวียดนามเติบโตดี แต่ผลประกอบการตลาดหุ้นโฮจิมินห์ไตรมาส 1/62 ปรับตัวลดลง 1% เพื่อนๆ ทายสิคะว่ากลุ่มไหนที่กำไรหด และกลุ่มไหนที่กำไรเพิ่ม? เฉลย กลุ่มกำไรหด ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ไฟแนนซ์สินค้าอุตสาหกรรมทรัพยากรธรรมชาติมีเดียการแพทย์ กลุ่มกำไรเพิ่ม ได้แก่ ค้าปลีกเทคโนโลยีพลังงานยานยนต์ อาหารเครื่องดื่ม ปัญหาสงครามการค้าอาจส่งผลในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะทำให้เวียดนามได้รับประโยชน์จากข้อพิพาท เนื่องจาก FDI จำนวนมากจะไหลมายังเวียดนามอีก แล้วเราควรลงทุนหุ้นกลุ่มไหน? มาดูธีมการเลือกหุ้นลงทุนระยะยาวในเวียดนามจาก BLS กันดีกว่าค่ะ หุ้นบริโภคภายใน ย้อนไป 10 ปี ก่อนหุ้นพาณิชย์ในประเทศไทยได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาด ตามกำลังซื้อที่สูงขึ้น หุ้นพาณิชย์เวียดนามก็มีความสนใจไม่น้อย หุ้นแนะนำธีมนี้คือ Mobile World Investment (MWG) ดำเนินธุรกิจค้าปลีก ขายโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น หุ้นตามกระแสผู้บริโภคยุคใหม่ E-commerce ได้รับความนิยมสูงทั่วโลกรวมทั้งเวียดนาม ธุรกิจขนส่งพัสดุทางไปรษณีย์ได้ประโยชน์โดยตรง หุ้น Viettel Post JSC (VTP) ดำเนินธุรกิจส่งสินค้าใหญ่อันดับสองในเวียดนามรองจาก VN Post ซึ่งเป็นบริษัทรัฐ โดย VTP มีศูนย์รับส่งสินค้ากระจายกว่า 8,300...

MOST POPULAR