หน้าแรก แท็ก ดร.นิเวศน์

แท็ก: ดร.นิเวศน์

บทเรียนการลงทุนจากปี 2561 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
บทเรียนการลงทุนจากปี 2561 ดร. นิเวศน์เหมวชิรวรากร ในสงครามนั้นมีคำพูดสำคัญข้อหนึ่งก็คือ  “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร”  เรื่องหุ้นเองนั้นบ่อยครั้งก็มีการเปรียบเทียบกับสงครามเนื่องจากการลงทุนนั้นเป็น “กิจกรรมแห่งการต่อสู้” ที่รุนแรงคล้ายๆกับสงครามดังนั้นในแวดวงหุ้นเองคนก็มักจะพูดว่าตราบใดที่คุณยังลงทุนอยู่เช่นยังถือพอร์ตลงทุนหุ้นจำนวนมากไว้หรือถือหุ้นบางตัวไว้ก็จงอย่าคิดว่าคุณประสบความสำเร็จทำเงินมากมายแล้วเหตุผลก็เพราะว่าพอร์ตและ/หรือหุ้นที่มีกำไรมหาศาลนั้นอาจจะตกลงมาอย่างแรงจนกำไรหดหายหรือกลายเป็นขาดทุนได้ดังนั้นจงอย่าชะล่าใจและเปิดตัวเองให้อยู่ในความเสี่ยงที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นการลงทุนในหุ้นนั้นเราควรที่จะ  “ถ่อมตน”  อยู่เสมอตราบที่เรายังคงลงทุนอยู่และนี่ก็คือบทเรียนแรกที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้จากการลงทุนในช่วงปี 2561 ที่ VI จำนวนมากรวมถึง  “เซียนหุ้น”  ขาดทุนหรือมูลค่าพอร์ตลดลงมามากแทบจะเป็น  “หายนะ” ในการลงทุนนั้นผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมระยะยาวหรือแม้แต่ตลอดชีวิตแม้แต่คนที่  “เล่นสั้น” ซื้อขายหุ้นรายวันแต่ถ้าเขาก็ทำแบบนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานหรือ “ตลอดชีวิต”  มันก็คือเกมระยะยาวเช่นเดียวกันเหนือสิ่งอื่นใดก็คือหากเราเป็นคนที่มีเงินเหลือเก็บจากการทำงานใช้แรงงานเงินที่เหลือเก็บนั้นโดยนิยามก็คือเงิน “ลงทุน”  เพราะคงไม่มีใครเก็บเป็นเงินสดที่เป็นธนบัตรมันจะต้องถูกนำไปฝากธนาคารหรือซื้อตราสารทางการเงินหรือนำไปซื้อทรัพย์สินเพื่อการลงทุนซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ดังนั้นโดยนิยามแล้วทุกคนที่มีเงินเหลือเก็บก็เป็นคนที่ต้องลงทุนหรือเป็นนักลงทุนและเป็นนักลงทุนระยะยาวตลอดชีวิตผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนนั้นในบางช่วงก็ดีเลิศหรือดีบางช่วงก็แย่หรือแย่มากถ้า“บังเอิญ” ว่าเราทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมมายาวอาจจะเป็น 10 ปีก็จงอย่าคิดว่าเรา “เก่งมาก” หรือเป็น “เซียน”  แม้ว่าจะมีคนอื่นยกย่องชื่นชมเราเพราะเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเช่นในปี 2561 เราอาจจะ “แพ้”  กำไรที่เคยทำมาได้หายหมดหรือลดลงมากจนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นนั้นไม่ได้สูงกว่าปกติเท่าไรนักและนี่ก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและเกิดขึ้นกับ “เซียน” ระดับโลกด้วย ปี 2561 นั้นผมคิดว่ามันเป็นปีที่  “หมดรอบ” ในหลายๆเรื่องความหมายก็คือสิ่งต่างๆที่มักเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรดี-ร้ายนั้นหมุนมา “ครบรอบ” เช่นแรงเก็งกำไรในหุ้นแบบต่างๆที่ทำให้หุ้นขึ้นไปแรงมากเป็นเวลาหลายปีพอถึงปี 2561 มันก็ถึงจุดสุดยอดและก็เริ่มปรับตัวลงแรงและดูจะไม่สามารถดีดตัวขึ้นในระยะสั้นอย่างที่เคยเป็นอีกดังนั้นผมคิดว่ามันน่าจะ  “จบรอบ”  หรือ  “อวสาน”  และต้องรอเวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นรอบใหม่และการที่มันจบรอบหรือ  “สงครามสงบ” แม้ว่ามันจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว”  นี้เองผมจึงคิดว่าเราน่าจะมาทบทวนดูว่าเราได้รับบทเรียนอะไรบ้าง จากประสบการณ์ของผมเองนั้นผลงานการลงทุนที่ดีนั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะหุ้นบางตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่องยาวนานซึ่งนั่นช่วยทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตเติบโตหรือต้านทานภาวะเลวร้ายของตลาดได้ถ้าจะพูดภาษาสงครามหน่อยก็อาจจะบอกว่าเรามี “เรือธง” ที่ยิ่งใหญ่ที่คอยค้ำจุนหรือปกป้องน่านน้ำหรือเขตสงครามที่ทำให้กองทัพประสบความสำเร็จและยืนหยัดอยู่ได้เรือธงนั้นเองก็ “ถูกถล่ม” เช่นเดียวกันแต่มันไม่จมและมันพร้อมที่จะกลับมาสู้รบอย่างห้าวหาญต่อไปอย่างไรก็ตามมีโอกาสเสมอที่มันอาจจะถูกถล่มจนจมลงแบบเดียวกับที่เรือบิสมาร์กที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันถูกรุมล่าจนจมลงมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บทเรียนที่ว่าเราต้องมีเรือธงหรือหุ้นที่ยิ่งใหญ่หรือหุ้นที่ในช่วงเวลายาวนานระดับหนึ่งสร้างผลงานที่น่าประทับใจจนทำให้ผลงานโดยรวมของเราดีต่อเนื่องยาวนานนี้ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนที่ปีเตอร์ลินช์พูดไว้ในหนังสือเรื่อง One Up On Wall Street ที่เขาเล่าว่าการเติบโตหรือผลตอบแทนของหุ้นจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของเขานั้นก็ไม่ได้สูงผิดปกติอะไรมัน“ธรรมดา” มากเหตุผลก็อาจจะเป็นว่าเขาถือหุ้นเป็นพันตัวซึ่งมันยากมากที่จะมีผลงานดีทุกตัวแต่หุ้นที่ทำให้พอร์ตเขาดูดีมากก็คือหุ้นบางตัวที่เขาถือไว้จำนวนมากตั้งแต่ราคายังต่ำและบริษัทที่อาจจะเพิ่ง “Turnaround” หรือเติบโตนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆทุกปีในอัตราที่สูงและกลายเป็น “หุ้น 10 เด้ง”  และนี่คือหุ้นที่เขาถือยาวนานติดต่อกันหลายปีผลก็คือผลตอบแทนระยะยาวที่ดีมากของเขาส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในหุ้นแบบนี้ บทเรียนสำคัญต่อมาก็คือการ “หลีกเลี่ยงหายนะ” จากหุ้นที่เราลงทุนนี่ก็คือจะต้องประเมินความเสี่ยงของหุ้นทุกตัวว่ามันเป็นอย่างไรความเสี่ยงสูงแค่ไหนและต้องเป็นความเสี่ยงทุกด้านรวมถึงความเสี่ยงที่เราใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุนหรือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการเพิ่มอัตราความเสี่ยงขึ้นไปสูงมากเช่นการใช้บล็อกเทรดเป็นต้นและนอกจากความเสี่ยงของตัวกิจการและตัวหลักทรัพย์เองแล้วเราก็ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิด Fraud หรือการโกงและการหลอกลวงในเรื่องต่างๆรวมถึงระบบบัญชีของบริษัทโดยเฉพาะเวลาที่เราดูแล้วมัน  “Too good to be true” หรือมันดูดีจนไม่น่าเป็นไปได้ในช่วงปี 2561 และก่อนหน้านั้น 2-3 ปีดูเหมือนว่าเราจะพบหุ้นประเภทนี้ค่อนข้างมาก บทเรียนอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะจดจำก็คือหุ้นที่มี “คนเชียร์กันอื้ออึง” นั้นก็เป็นไปตามที่บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่าเรามักจะต้องจ่ายเงินซื้อแพงเกินไปและทำให้เรา  “เสียเงิน”  ช่วงก่อนหน้านี้เราได้เห็นว่ามีหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเชียร์กันอย่างกว้างขวางว่าจะเติบโตยิ่งใหญ่เหมือนอย่างหุ้นที่ยิ่งใหญ่ในต่างประเทศโดยนักลงทุนนักวิเคราะห์ผู้บริหารบริษัทและสื่อต่างๆซึ่งทำให้ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูงมากแต่แล้วเมื่อตัวเลขผลประกอบการที่ทยอยออกมาไม่รองรับราคาหุ้นก็ปรับลดลงมาหนักมากซึ่งทำให้คนที่ตื่นเต้นกับเสียงเชียร์และเข้ามาซื้อหุ้นขาดทุนจำนวนมาก อีกบทเรียนหนึ่งที่ปี 2561 ตอกย้ำก็คือการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์น้อยในการลงทุนส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่จะถูกหรือผิดนั้นเท่าๆกันและบ่อยครั้งถึงคาดถูกก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราเป็นนักลงทุนที่เลือกลงทุนเองไม่ใช่คนที่ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนีปี 2561 นั้นคนส่วนใหญ่น่าจะคาดในช่วงต้นปีว่าจะเป็นปีที่ดีเพราะดัชนีหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามเมื่อหมดปีผลปรากฏว่าดัชนีก็ตกลงมา  “แรง”  คือประมาณ 11%  แต่ถ้ามองจากประวัติศาสตร์การตกแค่นี้ก็ถือว่า  “ธรรมดา”  เป็นแค่  Correction หรือการ “ปรับตัว” ของตลาดหุ้นอย่างไรก็ตามถ้ามองในภาพเล็กลงมาและในสายตาของนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากแล้วปี 2561 น่าจะถือว่าเป็นปี  “วิกฤติ”...

อาชีพน่าเบื่อกับ VI ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
โลกในมุมมองของ Value Investor        5 มกราคม 2562 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร อาชีพน่าเบื่อกับ VI   ​ทุกสิ้นปีหรือต้นปีใหม่ของทุกปีผมจะต้อง  “ทบทวน” ผลงานและกิจกรรมทางการลงทุนของผมว่าเป็นอย่างไร  เหตุผลนั้น  นอกจากจะต้องทำบันทึกเพื่อเอาไว้เขียนหนังสือแล้ว  ยังเป็นการดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างและมันถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรเพื่อเก็บไว้เป็น  “บทเรียน” สำหรับอนาคต ​ปี 2561 นั้นน่าจะเป็นปีแรกในช่วงเวลา 22 ปี ที่ผมลงทุนเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดในฐานะของ “VI” ที่ผม “ไม่ได้ทำอะไรเลย” นั่นก็คือ  ผมไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นแม้แต่ตัวเดียว  ผมรู้สึกว่าไม่มีหุ้นที่น่าสนใจพอที่จะซื้อเพื่อถือระยะยาวแบบ VI เพราะมันไม่มี Margin of Safety หรือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยเพียงพอ  หุ้นที่ดีเป็นซุปเปอร์สต็อกก็มักจะมีราคาแพงค่า PE สูงตั้งแต่ 30 เท่าขึ้นไปซึ่งผมคิดว่าบางตัวราคาก็อาจจะยังพอยอมรับได้ว่าสมเหตุผล  แต่ในสภาวะของเศรษฐกิจสังคมการเมืองของไทยมันก็อาจจะยังมีความเสี่ยง  โอกาสขาดทุนในระยะยาวก็เป็นไปได้ไม่ต้องพูดถึงระยะสั้นที่อาจจะขาดทุนได้ง่าย ๆ  ...

อวสานของเซียนหุ้น: ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 

0
อวสานของเซียนหุ้น ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตลาดหุ้นไทยในช่วงเกือบ 20 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานั้น  ต้องถือว่าเป็น “ยุคทอง” ของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลที่เรียกตนเองว่าเป็น Value Investor หรือ “VI”  เพราะพวกเขาจำนวนมากนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงลิ่วแบบที่  “เหนือจินตนาการ” ผลตอบแทนทบต้นต่อปีในระดับ 20-30% ขึ้นไปเป็นเวลา 5-10 ปีนั้นเป็นสิ่งที่กลายเป็นเรื่องปกติ  ผลตอบแทนในปีที่ดีนั้นบางทีเป็นร้อยหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มีโดยเฉพาะในกรณีที่พอร์ตการลงทุนยังไม่ใหญ่นัก  จริงอยู่ส่วนใหญ่คนที่ทำได้ก็มักอาศัยการ...

ดร.นิเวศน์ ยันเลือกลงทุนเวียดนามถูก

0
ดร.นิเวศน์ ยันเลือกลงทุนเวียดนามถูก อาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้กล่าวในงานสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม จัดโดย วีวีไอ กรุ๊ป เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2561 โดยพิธีกรได้ถามถึงว่าโลกโซเชียลได้มีการพูดกันว่าอาจารย์บอกว่า "ไม่อยากไปเวียดนามแล้ว อยากเอากลับ ยังติดอยู่" เป็นอย่างไร? ได้รับคำตอบและยืนยันว่าความรู้สึกว่ายังมั่นใจว่า "หุ้นเวียดนามคือตลาดแห่งอนาคต และเป็นตลาดที่จะสร้างความมั่งคั่งได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10-20 ปีที่แล้ว ถ้าคุณยังมีแรงเป็นหนุ่มสาวพร้อมมาลุยทุ่มเทกับมัน น่าจะดีกว่าเมืองไทยซึ่งเศรษฐกิจอิ่มตัวที่หุ้นดีๆ ก็ถูกลากมาจนราคาแพง หาหุ้นโตยาว10-20...

ต่างชาติขายหุ้นไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยมาตลอดคิดรวมแล้วกว่า 30,000 ล้านบาททั้ง ๆ  ที่นักวิเคราะห์และคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนต่างก็คาดการณ์ว่าตลอดปีนี้ต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อหุ้นไทยเนื่องจากพวกเขาถือหุ้นไทยในสัดส่วนน้อยลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับอดีตยาวนานที่ผ่านมาราวกับว่าต่างชาติจำเป็นหรืออยากที่จะถือหุ้นไทยจำนวนมากอย่างที่เป็นมาในอดีต  ว่าที่จริงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  นักลงทุนต่างชาติได้ขาย “สุทธิ” หุ้นไทยรวมกันแล้วประมาณ 300,000 ล้านบาท  แต่ก็ไม่เคยมีใครออกมาวิเคราะห์ว่าทำไมนักลงทุนต่างชาติจึงขายหุ้นไทยมากอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง  เหตุผลนั้น  ผมคิดว่าเป็นเพราะนักวิเคราะห์และคนในตลาดหุ้นนั้นไม่อยากรับรู้เรื่องราวที่เป็นลบ  พวกเขาอยากจะพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นบวกที่จะช่วยให้ราคาหรือดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  เช่น  “ฝรั่งจะกลับมา” เพราะ… เหตุที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น  ผมก็พยายามหาเหตุผลโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องของการปรับพอร์ตหรือประเด็นการโยกย้ายเงินเนื่องจากความแตกต่างในเรื่องของดอกเบี้ยและเงินเฟ้อของประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้วและเป็นเจ้าของเงินที่นำมาลงทุนในประเทศไทยหรือตลาดหุ้นไทยมากนัก ...

MOST POPULAR