การปรับตัวครั้งใหญ่ในปี 2567?

0
2974

โลกในมุมมองของ  Value Investor     6 มกราคม 2567

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ปี 2567 เพิ่งจะเริ่มต้น  แต่ความรู้สึกของผมก็คือ  ปีนี้อาจจะเป็นปีที่ผมอาจจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแนวทางการลงทุนที่เคยทำมายาวนานหลายสิบปีและแทบจะไม่เคยเปลี่ยนเลย  การที่ผมคิดอย่างนั้นก็เพราะว่า “น่านน้ำของการลงทุน” หรือสภาพแวดล้อมของการลงทุนที่ผมคุ้นชินมานาน “เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ” เฉพาะอย่างยิ่งก็คือประเด็นของภาษีที่นักลงทุนส่วนบุคคลจะต้องถูกเก็บถ้านำเงินไปลงทุนในตลาดต่างประเทศที่สูงได้ถึง 35% ของกำไรจากการลงทุนเมื่อนำเงินกลับประเทศไทย

สำหรับผมแล้ว  อัตราภาษีในระดับนั้น  เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในการลงทุนหุ้น  ถ้าเราจะต้องเสียภาษีในระดับนั้น   โอกาสที่จะลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนหลังภาษีที่ดีพอก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศซึ่งไม่เสียภาษีกำไรจากการลงทุน

จริงอยู่  มีวิธีที่จะหลีกเลี่ยงภาษีหลายทางเช่น  ไม่นำเงินกลับประเทศไทยเลย  และหวังว่าเงินนั้นจะอยู่และถูกนำไปใช้ในต่างประเทศ “ตลอดกาล” ซึ่งสำหรับหลายคนแล้วก็คิดว่าเป็นไปได้เช่น  “เก็บเอาไว้ใช้เวลาลูกต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ” หรือ  “เงินก้อนนี้จะไม่จำเป็นต้องใช้เลยในประเทศไทย  เพราะมีเงินรายได้และการลงทุนในประเทศไทยเพียงพออยู่แล้ว” หรือ  “ถ้าปีไหนจะนำเงินกลับเข้าไทย  ก็ไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราวซึ่งทำให้อยู่ในไทยไม่เกิน 180 วัน  ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียภาษี”  เป็นต้น

แต่สำหรับผมแล้ว  นั่นเป็นวิธีที่ไม่แน่นอนและมีโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้สูง  บางทีอาจจะแค่ภายใน 2-3 ปี  เกณฑ์ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นว่า  ต่อไปนี้  หุ้นต่างประเทศหรือพอร์ตหุ้นต่างประเทศที่มีกำไร  ไม่ว่าจะนำเงินกลับไทยหรือไม่ก็จะต้องเสียภาษีเป็นรายปี  เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป  ข้อมูลทางการเงินและการลงทุนของเราที่เกิดขึ้นในต่างประเทศจะถูกรายงานถึงทางการไทยตลอดเวลาจาก  “ความร่วมมือระดับนานาชาติ”  ดังนั้น  รัฐไทยจึงสามารถ  เก็บภาษีรายได้จากคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน  และไทยก็พร้อมจะเก็บภาษี “คนรวย” ที่เอาเงินไปลงทุนต่างประเทศที่ในอดีต “ไม่ต้องจ่ายภาษี” ให้ประเทศไทย

ด้วยเหตุผลดังกล่าว  ผมคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในฐานะบุคคลธรรมดาจึงน่าจะจบแล้ว  เพราะ “ไม่คุ้ม”   แต่ถ้าจะลงทุนเฉพาะในตลาดหุ้นไทย  “ต้นทุน” ที่อาจจะใหญ่กว่าเรื่องภาษีด้วยซ้ำก็คือ  ผลตอบแทนจากการลงทุนที่อาจจะต่ำกว่าการลงทุนในต่างประเทศมาก  เหตุผลก็ชัดเจนว่ามาจากการที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่ามากและอาจจะช้าลงไปเรื่อย ๆ  เมื่อปัจจัยด้านประชากรของไทยแก่ตัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่ต้องนับปัญหาทางด้านรัฐศาสตร์การเมืองที่เป็นอุปสรรคที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้

ทิศทางที่ผมคิดและอาจจะต้องเริ่มทำก็คือ  ปรับการลงทุนในต่างประเทศแบบ “หน้ามือเป็นหลังมือ” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องภาษี  ด้านหนึ่งก็คือ  เปลี่ยนจากการใช้บุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลที่ต้องเสียภาษีทุกปี  แต่ในอัตราที่ยอมรับได้คือ 20%  ในกรณีแบบนี้  ก็จะต้องมั่นใจว่าตนเองสามารถสร้างผลตอบแทนในตลาดต่างประเทศนั้นที่กำลังเติบโตเร็วและสามารถเลือกหุ้นแนว “  ซุปเปอร์สต็อก” ที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในระยะยาวได้

ในกรณีของหุ้นต่างประเทศที่เป็นตลาดพัฒนาแล้วหรือเป็นตลาดใหญ่มาก  ตัวอย่าง เช่นหุ้นดิจิทัลหรือหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก  หุ้นเหล่านั้นในระยะหลังก็มีบริษัทหลักทรัพย์จัดตั้งเป็นกองทุนรวม  หรือการทำ DR ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นในต่างประเทศแต่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน  ก็อาจจะเป็นวิธีการลงทุนหุ้นต่างประเทศอีกกลุ่มหนึ่งของผม

พูดง่าย ๆ ก็คือ ซื้อกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ  หรือ DR ในหุ้นต่างประเทศที่เป็นหุ้นยอดนิยมระดับโลกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย  ซึ่งแม้ว่าจะมีต้นทุนเพิ่มเป็นค่าบริหารหรือค่าจัดการบ้างแต่ก็น่าจะคุ้ม  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมคิดว่าบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ  ก็น่าจะเสนอผลิตภัณฑ์และหลักทรัพย์ต่าง ๆ  ในต่างประเทศที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาก  โดยเฉพาะปี 2566 ที่กองทุนหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะจากตลาดอเมริกาหลายกองสร้างผลตอบแทนให้กับคนที่ถือหน่วยน่าประทับใจมาก

แต่กองทุนรวมหรือ DR ที่ผมจะลงทุนนั้น  เนื่องจากมันอาจจะไม่ใช่ “ซุปเปอร์สต็อก” ที่สามารถซื้อและถือไว้ยาวนานและให้ผลตอบแทนดีเลิศได้  ผมเองคิดว่าเป็นไปได้มากที่ถ้าผมลงทุนซื้อ  ก็จะต้องคอยดูว่าจะต้องขายเมื่อถึงเวลาอันควร  ลักษณะนี้จึงเป็นการ “เทรด” หรือพิจารณาจังหวะในการซื้อ-ขาย ด้วย  เพียงแต่จะไม่ใช่การซื้อและขายอย่างรวดเร็วกินส่วนต่างเพียงเล็กน้อย  แต่จะเป็นการดู “รอบ” ระยะยาวว่าหุ้นหรือกองทุนนั้นน่าจะอยู่ในช่วง  “ขาขึ้น” หรือ “ขาลง” หรือการ “อิ่มตัว” ทางธุรกิจ  ประกอบกับเรื่องของราคาหรือความถูกความแพงของหลักทรัพย์  ซึ่งก็เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ทางด้านพื้นฐานนั่นเอง

ในส่วนของหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเองนั้น   ผมคิดว่ามีโอกาสที่อาจจะมีสัดส่วนน้อยลงจนต่ำกว่า 50% ของพอร์ตโดยรวมถ้าดูแล้วพื้นฐานทางเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นในระยะยาวไม่เอื้อให้บริษัทจดทะเบียนเติบโตเร็วอย่างที่ควรจะเป็นได้  ซึ่งด้วยค่า PE ณ. สิ้นปี 2566 ที่ยังค่อนข้างสูงแม้ว่าราคาหุ้นในปี 2566 จะตกลงมามากที่สุดในโลกตลาดหนึ่ง  ทำให้ปี 2567 อาจจะกลายเป็นปีที่พอร์ตลงทุนส่วนที่เป็นต่างประเทศเพิ่มขึ้นไปอีกทั้ง ๆ  ที่เกิดปัญหาเรื่องภาษีและดัชนีหุ้นปรับตัวแพงขึ้นโดยเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย

ทั้งหมดที่ผมคิดว่าจะลงทุน  ไม่ว่าจะเป็นตลาดต่างประเทศเกิดใหม่  ตลาดต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว  และตลาดหุ้นไทยเดิม  กลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 และน่าจะปีต่อ ๆ ไปของผมดูเหมือนว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นแนว  Semi-Active หรือ  Semi-passive  มากขึ้น  นั่นก็คือ  ลงทุนในกองทุนรวมหลาย ๆ  รูปแบบ  หรือลงทุนใน Dr หุ้นต่างประเทศที่บริษัทหลักทรัพย์คัดสรรออกมาทำเป็น DR ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย  การเลือกหุ้นแบบรายตัวที่มีการวิเคราะห์และประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วนแบบเดิมน่าจะน้อยลงมาก

เช่นเดียวกัน  การเลือกหุ้นตัวเล็ก ๆ  ที่มีโอกาสเติบโตเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ได้ผลตอบแทนมหาศาลในระยะยาวก็คงมีน้อยมาก  เช่นเดียวกับการคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดมาก ๆ  เช่นสูงกว่าดัชนีอ้างอิงถึง 10% ในระยะยาวก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

พอร์ตแบบ Semi-Active  นั้น  ถ้าได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดซัก 2-3% ในระยะยาวก็ “หรูมาก” แล้ว   เช่นเดียวกับผลตอบแทนระยะยาวปีละ 10% ก็แทบจะเป็น  “ความฝัน”  ถ้าทำได้

ถ้าจะพูดตามตรง  ตั้งแต่ปี 2667 เป็นต้นไป  ผมคิดว่าตัวเองอยู่ในโหมดของการ  รักษาความมั่งคั่งและพยายามสร้างผลตอบแทนที่ “สมเหตุผล”  หมดยุคที่จะทำเงินจากการลงทุนแบบง่าย ๆ  และสูงอย่างไม่น่าเชื่อไปแล้ว  เพราะ “น่านน้ำ” ของตลาดหุ้นเปลี่ยนไปแล้ว  เช่นเดียวกัน  ความรู้ความเข้าใจในตัวหุ้นและการเลือกหุ้นที่มีอยู่ก็แทบจะใช้ไม่ได้แล้วในตลาดหุ้นไทย  การนำความรู้ไปใช้ในตลาดหุ้นต่างประเทศก็มีข้อจำกัดมากและมาพร้อมกับอุปสรรคทางด้านต้นทุนภาษี

ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น  ก็เป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวผมเอง  คนอื่นโดยเฉพาะที่เป็นคน “รุ่นใหม่” อาจจะไม่เห็นด้วยและยังคิดว่าตนเองสามารถสร้าง “ผลตอบแทนมหัศจรรย์”   แบบเดียวกับที่  “เซียน VI” รุ่นก่อนหลาย ๆ  คนทำได้  ผมคงไม่เถียงอะไรทั้งนั้น   และเชื่อจริง ๆ ว่าคนรุ่นใหม่นั้นเก่งกว่าคนรุ่นเก่าอย่างผมแน่  แต่สิ่งที่พวกเขาอาจจะไม่มีก็คือ  “โชค” และ “น่านน้ำ” ที่อุดมสมบูรณ์ของตลาดหุ้นไทยในอดีต  และคู่แข่งที่ยังแทบจะไม่สนใจเลือกหุ้นแบบ VI เลย  ดังนั้น  โอกาสของคนรุ่นใหม่จึงไม่แน่นอนและความเสี่ยงก็สูงขึ้นมาก


VVI Membership 🇻🇳
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com

หรือ ติดตามเราได้ที่
– Line :@vietnamvi คลิก https://lin.ee/Jy9n680
– website: www.vietnamvi.com
– facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube: youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com