โลกในมุมมองของ Value Investor  17 มีนาคม 67

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตั้งแต่เป็นนักลงทุนเต็มตัวแบบ VI หลังวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540  ผมก็ใช้พอร์ตลงทุนแทบจะ “แบบเดียว” มานานมากแทบจะเกือบ 20 ปี  นั่นก็คือ  ลงทุนเฉพาะในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยจะเป็นการลงทุนเกือบ 100% แทบจะตลอดเวลา  วิธีการลงทุนก็คือการเลือกหุ้นเป็นรายตัวแบบ “VI” พอร์ตเป็นแบบ “Focus” หรือเน้นการถือหุ้นน้อยตัว  โดยที่หุ้นตัวใหญ่ ๆ  จะมีแค่ 6-7 ตัว ซึ่งคิดรวมกันเป็นประมาณ 75% ของพอร์ต  ที่เหลือซึ่งก็มีไม่เกิน 10 ก็จะเป็นหุ้นตัวเล็กที่ไม่มีนัยสำคัญกับผลการดำเนินงานของพอร์ตลงทุน  อย่างไรก็ตาม  เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงบ้าง  หุ้นตัวที่ใหญ่ที่สุดของพอร์ตก็จะไม่เกิน 50% ของพอร์ตในระยะยาวเกิน 4-5 เดือน  โดยทั่วไปแล้ว  ตัวใหญ่ที่สุดก็มักจะไม่เกิน 30-40% และหุ้นตัวใหญ่อันดับ 2 ก็มักจะใหญ่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของตัวแรก

แนวทางการจัดพอร์ตแบบนั้น  ได้ผลดีมากมาจนถึงประมาณเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วที่ตลาดหุ้นไทย  และเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น VI ที่เป็นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” เริ่มทำผลงานตกต่ำลงมากและอนาคตก็ดูไม่สดใสตามภาวะเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงเพราะโรคโควิด-19 และการที่คนไทยแก่ตัวลงมาก  ซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทที่แข็งแกร่งและโดดเด่น  ไม่ไปไหนมานานต่อเนื่อง  และผมก็สรุปว่า  การจัดพอร์ตลงทุนแบบเดิมที่ใช้มานานนั้น  อาจจะไม่เหมาะสมอีกต่อไป  และถ้ายังดึงดันทำแบบเดิมอยู่  ผลตอบแทนการลงทุนที่เคยทำได้ดีมาก   ก็จะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ  ว่าที่จริงช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น  ผลตอบแทนพอร์ตก็ค่อนข้างย่ำแย่และไม่ได้ดีกว่าดัชนีตลาดมากนัก

การ “จัดพอร์ตใหม่” ของผมเริ่มจากการมองหาตลาดหุ้นใหม่ที่จะลงทุนควบคู่ไปกับตลาดหุ้นไทย  โดยที่ตลาดใหม่จะต้องเป็นตลาดของประเทศที่โตเร็วและมีความพร้อมสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ  ต้องเป็นตลาดที่จะมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอนาคต  ซึ่งก็หมายถึงว่าควรจะมีประชากรจำนวนมากพอสมควร  อีกประเด็นหนึ่งก็คือ  ควรจะอยู่ไม่ไกลจากไทยนัก  และผมก็พบว่า  “เวียดนาม”  คือคำตอบ

การปรับพอร์ตโดยการเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  ในช่วงแรก  เนื่องจากยังไม่รู้จักหุ้นรายตัวของเวียดนามเลย  ว่าที่จริงยังแทบจะไม่มีนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในเวียดนามเลย  ผมจึงปรับแนวทางการลงทุนในพอร์ตเวียดนามเป็นแบบ  เลือกหุ้นโดยใช้ “สูตร VI” ของ Joel Greenblatt ในหนังสือ  “The little book that beats the market” ซึ่งอ้างว่าสามารถทำผลตอบแทนที่ชนะตลาดได้อย่างงดงาม  

รอบแรกของการลงทุนในเวียดนาม  ผมใช้เกณฑ์หาหุ้นที่มีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า  ค่า PB ไม่เกิน 1 และค่า Dividend Yield ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ซึ่งได้หุ้นมากว่า 100 ตัว  เป็นตัวเล็ก ๆ  ที่มีแต่คำว่าหุ้นถูกเพียงอย่างเดียว  แต่ไม่มีคุณภาพและมักจะไม่โต  เป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจขนาดเล็ก  สภาพคล่องน้อยมาก  ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนในการสร้างพอร์ตนี้

มองย้อนหลังไปผมคิดว่าการปรับพอร์ตครั้งนี้  อาจจะถูกต้องในแง่ของตลาดหุ้น  แต่กลยุทธ์ที่ใช้ในการเลือกหุ้นลงทุนนั้นผิดพลาดอย่างแรง  ผมคิดว่าในตอนนั้นผมรีบร้อนเกินไป  และเชื่อในหลักการหรือสูตรการลงทุนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะมีการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับ  ว่าที่จริงผมเองก็เคยทำการศึกษาเรื่องนี้ในประเทศไทยย้อนหลังไปหลายสิบปีซึ่งพบว่า  การลงทุนโดยใช้ “สูตร VI” นั้น  ได้ผลตอบแทนที่ดีเลิศยิ่งกว่าการลงทุนในซุปเปอร์สต็อกด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ตาม  จุดอ่อนของการศึกษา  หรือจุดอ่อนของสิ่งที่ผมทำก็คือ  ผมไม่ได้ตระหนักว่า  ผมจะต้องสามารถขายหุ้นในพอร์ตทุกสิ้นปีได้โดยที่ขายได้ในราคาตลาดที่เห็นด้วย  และหลังจากนั้นก็ต้องซื้อหุ้นใหม่ตามสูตรเดิมด้วย  ซึ่งผมก็ทำไม่ได้

ผม “ติดหุ้น” ตัวเล็ก ๆ ที่ซื้อตามสูตรแต่ขายไม่ได้เนื่องจากไม่ค่อยมีสภาพคล่อง  และเมื่อไม่ได้ขายมันก็ค้างอยู่ในพอร์ตหลายปีโดยที่ให้ผลตอบแทนต่ำ  ผมแก้ไขหรือปรับพอร์ตเวียดนามมาหลายปีโดยการเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปและซื้อหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเริ่มรู้แล้วว่ามันควรจะเป็นหุ้นตัวไหน  เพราะตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ   นักลงทุนรุ่นใหม่เริ่มเข้าไปลงทุนมากขึ้นมาก  เช่นเดียวกับบทวิเคราะห์ที่ออกมามากมาย

ล่าสุดผมเริ่มปรับพอร์ตเวียดนามอีกครั้งหนึ่งโดยการทยอยขายหุ้นขนาดเล็กที่ผมคิดว่าไม่มีอนาคตในระยะยาวจนแทบจะหมด   แน่นอนว่าผมต้องทำใจขายในราคาที่ไม่ดีเลยสำหรับหลาย ๆ  ตัวเพราะผมทำอย่างรวดเร็วมาก  ผมคิดว่า  ในการปรับพอร์ตนั้น  เราต้องทำตามหลักการ  อย่าเสียดายสิ่งที่จะต้องเสียเป็น “ต้นทุน” ของการปรับพอร์ต  มิฉะนั้นมันจะไม่สำเร็จ  ในทำนอง  “ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก” หรือ “เกลือ”

พอร์ตเวียดนามของผมถูกปรับจนเข้ารูปแบบที่ผมทำมาตลอดในประเทศไทยแล้ว  นั่นคือ  ประกอบไปด้วยหุ้นซุปเปอร์สต็อก 5-6 ตัวมีสัดส่วนมากกว่า 75% แล้ว  นอกจากนั้น  เนื่องจากประเด็นเรื่องการเสียภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่งถูกนำมาใช้  ผมก็ยังได้ปรับพอร์ตหุ้นเวียดนามให้เข้าไปอยู่ในรูปบริษัทซึ่งจะเสียภาษีเพียง 20% แทนที่จะเป็นถึง 35% ในกรณีของบุคคลธรรมดาถ้ามีการนำเงินกลับประเทศไทย

การเก็บภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้  ยังทำให้ผมคิดต่อไปว่า  เราจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่า  ตลาดหุ้นไทยนั้น  “หมดยุคไปแล้ว” ยังไงเราก็ต้องออกไปลงทุนนอกประเทศเพิ่มขึ้นอีก  ผมจึงคิดว่า  พอร์ตในประเทศที่คิดเป็นเกือบ 70% ของความมั่งคั่งของผมนั้น  ยังมากเกินไป  ผมจึงวางแผนที่จะปรับในส่วนนี้โดยการลดขนาดลง  อาจจะเหลือซัก  30-40% ละนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่ม  

แต่การลงทุนในส่วนต่างประเทศใหม่นี้  ผมคงจะไม่นำมารวมในบริษัทที่ยังไงก็ยังเสียภาษีนิติบุคคลถึง 20% จากผลกำไรประจำปี  ผมคิดว่าการนำไปลงทุนในกองทุนรวมไทยที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ  หรือลงทุนใน DR ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในไทยที่เป็นตัวแทนหุ้นในต่างประเทศจะดีกว่า  เหตุผลก็เพราะว่าเมื่อกำไรและขายกองทุนหรือหลักทรัพย์นั้น  เราจะไม่เสียภาษีเหมือนหุ้นที่เราไปลงทุนในต่างประเทศโดยตรง

การลงทุนในกองทุนและ DR ดังกล่าวนั้นมีข้อเสียอย่างหนึ่งก็คือ  เราเลือกไม่ได้ว่าจะลงทุนหุ้นตัวไหน  เพราะนั่นจะมาจากบริษัทหลักทรัพย์ที่จะเสนอกองทุนรวมหรือสร้าง DR ขึ้นมา  ซึ่งเขาก็จะต้องดูว่าจะมีคนสนใจมาลงทุนหรือซื้อขายไหม  อย่างไรก็ตาม  ด้วยกฎหมายภาษีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มีการตีความเปลี่ยนไป  โบรกเกอร์ก็อาจจะมีการเสนอผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ  ผมคิดว่า  มีหุ้นและกองทุนต่างประเทศประเทศเพียงพอที่ผมจะเลือกลงทุน

ดังนั้น  พอร์ตการลงทุนที่สามของผม  นอกจากพอร์ตหุ้นไทยและพอร์ตเวียดนามแล้วก็คือ  พอร์ต “หุ้นต่างประเทศ” ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย  ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นหุ้นประเทศอื่น ๆ  ยกเว้นเวียดนาม  ก็จะกลายเป็น “พอร์ตระยะยาว” ของผม  โดยที่แต่ละพอร์ตก็อาจจะมีขนาดพอ ๆ  กัน  คือพอร์ตละ 30-40%  ของความมั่งคั่ง  และผมคิดว่า  นี่จะเป็นพอร์ตที่เหมาะสมที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีพอใช้  อาจจะประมาณปีละ 10% แบบทบต้น  และมีความเสี่ยงที่ยอมรับได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนที่บริหาร  ซึ่งวันหนึ่งก็ไม่ใช่เป็นผม  อาจจะสามารถทำได้ไม่ยากนัก

แน่นอนว่า  การปรับพอร์ตครั้งนี้ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้อีก  โดยเฉพาะถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของภาษีและกฎเกณฑ์การลงทุนของไทยซึ่งอาจจะกระทบกับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ   ตัวอย่างเช่น  อาจจะเปลี่ยนเป็นว่า  หุ้นของคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ  ไม่ว่าจะลงทุนผ่านเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์อะไร  ก็จะต้องเสียภาษีทั้งหมด  เป็นต้น

หรือวันหนึ่ง  อาจจะเป็นว่า  การลงทุนในหุ้น  ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยหรือต่างประเทศ  หรือไม่ว่าจะลงทุนผ่านเครื่องมืออะไร  ก็จะต้องเสียภาษีเท่ากันแบบของสหรัฐอเมริกา  ซึ่งก็คงจะเปลี่ยนแปลงเกมการลงทุนของเราอย่างสิ้นเชิง  และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้น  ผมคิดว่า  เป็นไปได้  เมื่อคำนึงถึงว่ารัฐบาลต้องการเงินเพื่อที่จะใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะที่รายได้และเศรษฐกิจกลับถดถอยลง

ถ้าถึงวันนั้น  เราในฐานะ  “นักเลือก” ก็จะต้องปรับตัวหรือปรับพอร์ตไปเรื่อย ๆ  ทำสิ่งที่เหมาะสมสำหรับตนเอง  และก็คงไม่เหมือนการปรับพอร์ตของผม  ที่ตอนนี้กำลังพยายามลดพลังงานของการลงทุนโดยเฉพาะการปรับให้เป็นการลงทุนจากที่เคยทำแบบ “Active” หรือทุ่มเทเลือกหุ้นรายตัว  เป็น “Semi-Active” หรือเลือกประเทศและเลือกกองทุน  มากกว่าการเลือกหุ้นรายตัว  แล้วปล่อยให้กองทุนหรือหุ้นในประเทศเหล่านั้น  “ดูแลตัวเอง” ในระยะยาว  เราจะเข้าไปซื้อ-ขายน้อยมาก

เปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศในนามบริษัทซึ่งจะเสียภาษีเพียง 20% แทนที่จะเป็นถึง 35% ถ้ามีการนำเงินกลับประเทศไทยทำอย่างไร ติดตามได้ในกลุ่ม VVI Membership สัปดาห์หน้า

🇻🇳 VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com
หรือ ติดตามเราได้ที่

– Line: @vietnamvi คลิ๊ก https://lin.ee/Jy9n680
– Website:  www.vietnamvi.com
– facebook:  https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube: youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com