หน้าแรก บล็อก
จุดเริ่มต้นตลาดหุ้นไทย:
เริ่มลงทุนหุ้นไทย ปี 2552 โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นแรงบันดาลใจลงทุนระยะยาว เน้นหุ้นปันผล คัดเลือกหุ้นกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล สนามบินประสบความสำเร็จจากการลงทุนหุ้นไทยช่วงหลังวิกฤติซับไพรม์
การลงทุนในหุ้นเวียดนาม:
เริ่มศึกษาตลาดหุ้นเวียดนาม หลังฟังรายการของ ดร.นิเวศน์ปี 2558 ตัดสินใจบินไปโฮจิมินห์ เพื่อลงทุนหุ้น
อุปสรรค:
ข้อมูล บทวิจัย เป็นภาษาเวียดนาม เข้าถึงยากนักลงทุนรายย่อยเวียดนาม 85% ใช้ปัจจัยเทคนิค ลงทุนระยะสั้นตลาดผันผวน มากกว่าตลาดหุ้นไทย
ข้อดี:
ตลาดหุ้นเวียดนามมีศักยภาพสูง เติบโตเร็วมูลค่าหุ้นหลายตัวน่าสนใจกลยุทธ์:หลีกเลี่ยงการเทรดดิ้ง เน้นลงทุนระยะยาวกระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นหลากหลายกลุ่มพิจารณาธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:
กระจายความเสี่ยง:ลงทุนหุ้นเวียดนามมากกว่า 5 ตัวพิจารณาลงทุน ETF / DR เช่น VN30ETF Diamond ETFและกองทุนรวม (SSF / RMF) ที่ลงทุนหุ้นเวียดนามเพื่อรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเลือกหุ้น:หุ้นที่เคยเป็น Super Stock ในไทยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหุ้นที่ราคาตกลงจากข่าวหรือความกลัว
ข้อควรระวัง:
ตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง
อ่านบทความเต็ม: https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/499-tsi-vietnam-stocks-investment-experience
🌟 10 หุ้นเด็ดจาก Special Guest VVI4 เดือน ผ่านไปมาดูกัน 🌟
เทียบผลตอบแทนหุ้น 10 ตัว ที่ Special guest วีไอLive วันที่ 6 พ.ย. 66 ในกลุ่ม VVI Membership บอกว่าน่าสนใจ
เน้นดู Macro + VN Consumer + FDI + ผู้บริหาร ( หุ้นที่เลือกตามภาพ Post นี้ )
จากวันนั้น - วันนี้ (15 มี.ค.67) 4 เดือนเฉลี่ยหุ้น 10 ตัว ที่วีไอเลือก แซงทั้ง Index และ ETF!
หุ้นที่พี่วีไอเลือก +28.9%เทียบ Diamond ETF +24.2%VN30 ETF +15.5%VN Index +17.4%
ส่วนตัวแอดว่าหากมีเวลาการลงทุนแบบผสมผสาน = เลือกหุ้นเอง...
– การลงทุนมีความเสี่ยง โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศที่เราอาจต้องใช้เวลาการศึกษาข้อมูลที่มากกว่า จะดีกว่าไหมหากเราจะได้ศึกษาเรียนรู้การลงทุนจากนักลงทุนที่มีประสบการณ์ ในหุ้น เวียดนาม อเมริกา จีน ทั้งผ่านทางเว็บไซต์ และ facebook group สมัครวันนี้รับพร้อมสิทธิ์พิเศษ ดังนี้
1 รับชมย้อนหลัง สัมมนา super stock เวียดนาม อเมริกา จีน ยาวกว่า 15 ชั่วโมง จากมากมายหลายกูรูผู้รู้เรื่องการลงทุน
2 เข้าร่วมกิจกรรม คนละตัว นำเสนอหุ้นคนละตัว เรียนรู้ไปด้วยกัน
3 ชมย้อนหลัง Live ที่ผ่านมาแต่ ต้นปี 2565 วิเคราะห์หุ้นรายตัว ตลอดจนคุยกับกูรูไทย เพื่อนนักลงทุนที่มากประสบการณ์และโบรกเกอร์เวียดนาม
4 พูดคุย ถามตอบในไลฟ์สด ประเด็นที่น่าสนใจที่เราจัดเป็นประจำทุกเดือนทุกเดือน
5 รับรางวัล และสิทธิ์พิเศษอื่นๆ เป็นประจำตามวาระและโอกาสที่เหมาะสม
6 สิทธิ์พิเศษร่วมสัมมนากับเราทั้งในประเทศและต่างประเทศ super early bird ในราคาสมาชิกส่วนลด 10-20 % ก่อนใคร
Tour learn earn more...
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 มีนาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 11 มีนาคม 2566 ผมได้ไปพูดให้กับนักลงทุนในงานสังสรรค์ประจำปีของสมาคมไทย VI ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 300 คน โดยหัวข้อที่จะพูดนั้นเป็นการตอบคำถามที่ผู้เข้าร่วมส่งมาล่วงหน้าและรวบรวมตอบโดยพิธีกรบนเวที คำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจและคนจำนวนไม่น้อยน่าจะอยากรู้ก็คือ ถ้าผมย้อนอายุลงมาเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ผมจะใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศและคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมงานสัมมนาสังสรรค์ประจำปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังโควิด-19 สงบ ซึ่งก็พบว่าคนเข้าร่วมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คนส่วนใหญ่มากเป็นคนที่มีอายุประมาณน่าจะ 30 ปีบวกลบ ซึ่งเป็นวัยที่ทำงานมาได้ระยะหนึ่งและสนใจเรื่องของการลงทุนมาก พวกเขาน่าจะมีการศึกษาสูงอย่างน้อยปริญญาตรีและปริญญาโท มีอาชีพการงานที่มีเงินเดือนดี และมีจำนวนคนเข้าร่วมเป็นผู้หญิงมากขึ้นมาก คนสูงอายุระดับ 40-50 ปีขึ้นไปอย่างที่ผมเคยพบในยุคซัก 4-5 ปีก่อนที่ชอบเข้าร่วมฟังการสัมมนาฟรีมีน้อยมาก
พูดง่าย ๆ นี่คือกลุ่มของ “อีลิท” รุ่นใหม่ที่เอาจริงเอาจังกับการลงทุนและอยากรวยจากตลาดหุ้น เหมือนกับ “เซียนหุ้น” รุ่นก่อนจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จอย่าง “มหัศจรรย์” ซึ่งรวมถึงผมด้วย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถามคำถามนี้ เขาอยากรู้ว่าผมที่ประสบความสำเร็จในยุคที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยกำลังรุ่งเรืองจนถึงประมาณอย่างน้อย 10 ปีก่อนจะทำอย่างเดิมหรือใช้กลยุทธ์แบบเดิมไหม? และเพราะอะไร?
คำตอบของผมก็คือ ประเทศไทย เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย น่าจะผ่านจุดที่รุ่งเรืองมากมาแล้ว สถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปโดยที่เหตุผลสำคัญก็คือ โครงสร้างประชากรไทยที่คนแก่ตัวลงมาก คนสูงอายุเกษียณจากงานที่มีรายได้สูงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนกลุ่มนี้มีจำนวนเป็นล้านคนต่อปี...
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 มกราคม 2565
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หนทางการลงทุนที่ทำให้ผม “เปลี่ยนชีวิต” ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาก็คือ การลงทุนในหุ้น “Super Stock” ประมาณ 6-7 ตัว ย้อนหลังไปประมาณ 15- 20 ปี และถือไว้ยาวนานโดยที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรกับมัน บางตัวผมก็ยังถืออยู่จนถึงทุกวันนี้ Super Stock โดยนิยามของผมก็คือหุ้นที่เติบโตเร็วมาก ภายในเวลา 10 ปี โตขึ้นอย่างน้อยเป็น 10 เท่าตัว หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 26% ขึ้นไป และนี่ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ ที่อาจจะมีราคากระโดดขึ้นไปได้เพราะเหตุผลบางอย่าง แต่เป็นหุ้นของธุรกิจหลัก ๆ ขนาดใหญ่ระดับประเทศที่เราสามารถลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากได้อย่างสบายใจและก็สามารถขายหุ้นได้โดยที่ไม่ได้กระทบกับราคาของหุ้นในขณะนั้นเลย
หุ้น Super Stock นั้น มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากหุ้นทั่วไปก็คือ มันมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเป็น “เมกาเทรนด์” คือมีการเติบโตที่รวดเร็วและมักจะยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมเป็นหลายเท่า ดังนั้น จึงเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่มักจะถูกใช้โดยคนที่อายุน้อยกว่าหรือคนที่กำลังร่ำรวยขึ้นที่จะมีเงินเพิ่มและใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น นั่นคือเงื่อนไขประการแรก ข้อที่สองก็คือ บริษัทหรือหุ้นนั้นจะต้องเป็น “ผู้ชนะ” มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตไปเรื่อย ๆ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 ก.ย. 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและเวียตนาม ผมเองได้ติดตามดูผลงานของตลาดทั้งสองแห่ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ดัชนีตลาดหุ้น และตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด และก็แน่นอนว่า ก็เปรียบเทียบผลงานพอร์ตหุ้นทั้งสองของผมว่าพอร์ตไหนมีผลตอบแทนดีกว่ากันและมองด้วยว่าอนาคตพอร์ตไหนน่าจะมีโอกาสเติบโตมากกว่าด้วย ในการเปรียบเทียบนั้น ผมจะดูดัชนีหุ้นของทั้งสองแห่งเป็นหลัก
ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินของเวียตนามเพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2000 ปี และเนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่ การ “เก็งกำไร” จึงน่าจะรุนแรงมาก ดัชนีตลาดวิ่งจาก 100 จุด ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,140 จุดหรือ 11 เท่าภายใน 7 ปีและนั่นเกิดขึ้นตอนต้นปี 2007 ซึ่งก็ถือเป็น “ฟองสบู่ลูกแรก” ของเวียตนาม ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีตลาดหุ้นของไทยเอง ก็ปรับตัวขึ้นสูงสุด จากประมาณ 200 จุด ซึ่งเป็นดัชนีต่ำสุดหลังวิกฤติปี 2540 หรือปี 1997 กลายเป็นประมาณ 910 จุดในช่วงปลายปี 2007 เหมือนกัน
จากปี 2007 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นทั้งไทยและเวียตนามปรับตัวขึ้นเป็นจุดสูงสุดหลังวิกฤติปี 1997 ดัชนีตลาดหุ้นทั้งสองแห่งก็ประสบกับวิกฤติปี 2008 หรือวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอีกประมาณ 10 ปีต่อมาหลังวิกฤติ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 พฤษภาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและดัชนีตลาดหุ้น “ตกทุกวัน” อย่างต่อเนื่อง และแม้แต่หุ้นที่ดีและประกาศผลการดำเนินงานที่ “น่าประทับใจ” และราคาก็ไม่แพง บางตัวถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ของตัวหุ้น แต่หุ้นกลับตกลงมาแรงอย่างผิดคาด และนั่นคงทำให้นักลงทุนซึ่งรวมถึง “VI” ทั้งที่เป็นพันธุ์แท้และพันทาง ต่างก็ “หมดหวัง” กับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนจำนวนมากทยอยขายหุ้น หลายคนเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้สามารถทำได้ง่ายพอ ๆ กับการลงทุนในหุ้นไทยและไม่เสียภาษีกำไรจากหุ้นเช่นกัน โดยทำผ่านการซื้อ “DR” และกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับผมและนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ลงทุนระยะยาว ที่เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” และชีวิตตอนนี้อยู่ได้อย่างสบายก็อาศัยเงินจากการลงทุนนั้น ผมจำเป็นต้องมีหุ้นไทย และจะต้องมีหุ้นไทยจำนวนพอเพียงที่จะใช้ชีวิตในระดับปัจจุบันและอนาคตโดยไม่ต้องวิตกกังวล คำถามก็คือ เราจะต้องมีหุ้นไทยแบบไหนที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีพอและปลอดภัยมากในระยะยาวไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
“สูตร” การลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ได้ในสถานการณ์แบบนี้ของตลาดหุ้นไทยของผมก็คือ “สูตรหุ้นรอด 5-5-5-5” ซึ่งผมคาดว่าน่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้อย่างน้อยปีละ 5% แบบทบต้นในระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้าโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ และแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ดีในอีกหลายปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นนี้ก็จะสามารถทนทานกับภาวะเลวร้ายได้ เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือกมานั้น ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี มาดูกันว่ากลยุทธ์ของสูตรนี้คืออะไร
หมายเลข 5 ตัวแรกคือการเลือกหุ้นที่ปัจจุบันจ่ายปันผลตอบแทนอย่างน้อย 5% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งเวลานี้ก็มีหุ้นแบบนี้อยู่จำนวนไม่น้อย ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 17 พ.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นาทีนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการ “ปิดฉาก” ตำนานที่ “ยังมีชีวิต” ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” วัดจากความสำเร็จและความมั่งคั่งที่ได้รับ “จากการลงทุน” ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ประมาณ 169 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 5.6 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลกเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ที่เขาประกาศ “วางมือ” จากการบริหารเงินของเบิร์กไชร์แฮทเทอเวย์ บริษัทโฮลดิงที่ลงทุนในบริษัทอื่น ๆ ของเขาตั้งแต่ 54 ปีมาแล้ว
“มหัศจรรย์” ของวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น คนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะเขา “ลงทุนเก่งมาก” ระดับที่คนเรียกว่า “เทพแห่งโอมาฮา” เมืองที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิดและแทบไม่ได้ย้ายไปไหนตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าความสำเร็จของเขานั้น เป็นเพราะ “โชคดี” โดยเฉพาะที่ได้เกิดที่ “สหรัฐอเมริกา” และเป็น “ชายผิวขาว” ที่ทำให้สามารถใช้วิชาความรู้ในการลงทุนหาเงินในประเทศอเมริกาได้ เพราะถ้าเขาเกิด “ผิดที่” เช่นไปเกิดในอาฟริกา...
ขอปิดรับ ทริปสัมมนาหุ้นเวียดนาม VVI 2025 ขอบคุณผู้สมัครสัมมนาทุกท่านมากๆ ค่ะ (ผู้สมัครหลังจากนี้ จะเป็น Waiting list นะคะ). แล้วพบกันที่เวียดนามค่ะ
ทริปลงทุนเวียดนามกับ VVI GROUP – เจาะลึกตลาดหุ้นเวียดนามกับตัวจริง!
เปิดประสบการณ์การลงทุนในเวียดนามแบบที่ไม่มีใครเหมือน กับ VVI GROUP ที่คร่ำหวอดในตลาดนี้มากว่า 10 ปี
หากคุณกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตเร็ว เวียดนาม คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง และ VVI GROUP ขอชวนคุณร่วมทริปพิเศษสุด “Vietnam Investment Insight” ที่จะพาคุณ รู้ลึก รู้จริง และ ต่อยอดการลงทุน ได้ทันที!
สิ่งที่คุณจะได้รับจากทริปนี้
เจาะลึกตลาดหุ้นเวียดนาม ด้วยประสบการณ์ตรงกว่า 10 ปีของ VVI GROUPเข้าพบผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญที่รู้จริงเรื่องหุ้นเวียดนามExclusive Company Visit เยี่ยมชมธุรกิจชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมCity Tour สัมผัสเมือง เศรษฐกิจ และชีวิตจริงของชาวเวียดนามสำรวจร้านค้า-สินค้า ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียน พร้อม Local...
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 เมษายน 68
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่ลอนดอนและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ผมไปมาหลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็ไปที่เดิม ๆ ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง อังกฤษเองนั้นก็เป็นประเทศและสังคมที่เปลี่ยนแปลงน้อยเพราะเศรษฐกิจของอังกฤษค่อนข้างอิ่มตัวมานานแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในอังกฤษก็คือ “ประวัติศาสตร์” ซึ่งบังเอิญเป็นสิ่งที่ผมชอบ ดังนั้นผมก็มักจะไปดูพิพิธภัณฑ์และของเก่า รวมถึงตลาดขายของเก่า และคราวนี้ผมก็ได้เห็นและซื้อโปสเตอร์ “เก่า” ที่เขาเอามาทำเป็นของที่ระลึก 2 ใบ เพราะข้อความในโปสเตอร์นั้นให้ข้อคิดเตือนใจที่ผมคิดว่าตรงกับสถานการณ์ของตลาดหุ้นในช่วงนี้
โปสเตอร์ใบแรกก็คือ โปสเตอร์เก่าที่ “ดังที่สุดตลอดกาล” ในอังกฤษ และก็น่าจะดังมากในอเมริกาโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติซับไพร์มปี 2009 ในตลาดหุ้นวอลสตรีท ที่มีการพูดถึงข้อความที่เขียนอยู่ในโปสเตอร์ว่า “Keep Calm and Carry On” ซึ่งมีความหมายว่า “ใจเย็น ๆ และ สู้ต่อไป”
หรือพูดง่าย ๆ เวลาเกิดปัญหาใหญ่ระดับ “วิกฤติ” จะต้องใจเย็น มีสติ และก็สู้ต่อไป อย่าตกใจและยอมแพ้ แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น เฉกเช่นที่อังกฤษในช่วงปี 1939 ที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติ เกิดสงครามกับเยอรมันในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอังกฤษต้องปลุกขวัญกำลังใจให้คนทั้งประเทศเตรียมตัวรับสงคราม ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 30 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่กำลัง “เหี่ยวเฉา” ลงเรื่อย ๆ นั่นก็คือ หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผลเพิ่มเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากปันผลปกติประจำปีจำนวน 2.5 บาทต่อหุ้น
หลังจากประกาศ ราคาหุ้นในตลาดก็ปรับตัวขึ้น 3.5 บาทในวันแรก และหลังจากวันนั้นหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปอีก 4 วันที่ 3.5 1.5 3 และ 3.5 บาท ตามลำดับ รวมแล้วหุ้นขึ้นไป 5 วัน คิดเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือขึ้นไปจากปันผลที่ประกาศถึง 6 เท่า โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ
หุ้นอีกตัวหนึ่งที่เงียบเหงามานานมากและราคาก็ไหลลงไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ดำเนินงานไปตามปกติ มีกำไรดีและมีความแข็งแกร่งช่วงหนึ่งอยู่ในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” ของหุ้นขายสินค้าและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจจะอยู่ในช่วงตกต่ำยาวนาน รายได้และกำไรของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นน้อย ราคาหุ้นจึงแทบจะนิ่งตามภาวะตลาด
แต่แล้วบริษัทก็ประกาศว่าจะซื้อหุ้นคืนคิดเป็นเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 6-7% ของหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด และทันทีที่ประกาศ หุ้นก็ปรับตัวขึ้น 9%...
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ก็ได้รับคำถามจากนักลงทุนที่น่าจะลงทุนในตลาดเวียดนามว่า “แล้วตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไร” เพราะเวียดนามอาจจะอยู่ในรายชื่อของประเทศที่จะถูกอเมริกาขี้นภาษีสินค้านำเข้า
เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมาก ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีปัญหามากไหมหลังจากการประกาศรายชื่อรอบต่อมาของประเทศที่จะถูกขึ้น “บัญชีดำ” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้?
คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเมื่อจีนถูกปรับขึ้นภาษีรอบแรกที่ประมาณ 10% ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร เพราะเรื่องนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกเล่นงาน ตลาดหุ้นรับรู้ข่าวนี้มาหลายเดือนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปรับขึ้นขนาดไหน ถ้าปรับขี้นไม่ได้มากกว่าที่คาด ตลาดหุ้นก็จะไม่ตกลงมา ดังนั้น กรณีของเวียดนาม เราก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการประกาศ
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ ในระยะยาว การค้าขายระหว่างเวียดนามกับอเมริกาและประเทศอื่นจะดีขึ้นหรือแย่ลง เหตุผลก็เพราะว่าเวียดนามนั้นอาศัยการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของตนเองมาก และที่ GDP ของเวียดนามโตเอา ๆ ในช่วงอย่างน้อย 10 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะเวียดนามมีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะที่คุณภาพไม่แพ้คนอื่น และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะศักยภาพของคนเวียดนามที่สูงและมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า
ความเห็นของผมก็คือ ถ้าไม่นับเรื่องของสงครามการค้าและ “ระเบียบโลกใหม่” ที่หลายคนพูดว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น Globalized คือเปิดกว้างและไม่มีกำแพงขวางกั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลายเป็นโลกที่ปิดตัวลงไปมากด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำลังทำ เวียดนามก็จะต้องเจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วแบบ “ไม่มีอะไรมาขวางได้” อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่คือ ใต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์เมื่อซัก 5-60 ปีก่อน และเกิดขึ้นกับมาเลเซีย ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 15 มี.ค. 68
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง การเมือง เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกาดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย ทิศทางของอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน หุ้นจะขึ้นหรือลง น่าลงทุนหรือไม่ ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปีซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา “เปิดประเทศ” และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้าและการเงินของโลก
เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ “โลกเสรี” อย่างเด็ดขาดและมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ “Marshall Plan” ที่ใช้เงินมหาศาล
ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าไม่ช่วย ประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้นและในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต สรุปก็คือ อเมริกาที่เคย “อยู่เฉย ๆ และไม่ยุ่งกับใคร” ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป “ยุ่ง” หรือช่วยประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ โลกเข้าสู่ช่วง “สงครามเย็น” ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ การค้าและอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย
“โลกเสรี” เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 8 มีนาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สำหรับนักลงทุนแนว VI รวมถึงผมเองนั้น นอกเหนือจากความรู้เรื่อง “จิตวิทยา” การลงทุนหรือจิตวิทยาสังคมอื่น ๆ ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมานั้น ถึงวันนี้คงต้อง “อัพเดท” ความรู้ใหม่อีกข้อหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญและจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปรวดเร็วทั่วโลกผ่านเครือข่ายสื่อสังคมดิจิทัลซึ่งสามารถ “สร้างกระแส” หรือกระตุ้นความรู้สึกหรือความคิดของคนให้รุนแรงขึ้นมากจนทำให้เกิดการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่อาจจะกระทบกับการลงทุนของเราทั้งในทางที่ดีและร้าย แต่ในบทความนี้ผมจะพูดในทางที่ร้ายเป็นหลัก เพราะผลกระทบมันแรงเนื่องจากคนจะตอบสนองกับเรื่องที่ร้ายมากกว่าดี
ประเด็นที่จะพูดก็คือเรื่องของ “Hate Speech” หรือคำพูดที่โจมตี ใส่ร้าย คนอื่นหรือกลุ่มคนอื่นในประเด็นสารพัดทั้งทางร่ายกาย จิตใจ ความคิด เชื้อชาติ ไม่ว่าสิ่งที่พูดหรือเขียนในสื่อนั้นจะจริงหรือถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการพูดที่อคติหรือเป็นเรื่องของการอิจฉาริษยาหรือไม่ โดยในเวอร์ชั่นของไทยซึ่งเรารู้จักกันดีก็คือ ปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” นั่นก็คือ มีคอมเม้นต์จำนวนมากมายที่ด่าว่าคนบางคนที่พวกเขา “เกลียด” ไม่เห็นชอบกับสิ่งที่เจ้าตัวทำหรือแสดงความคิดเห็น บ่อยครั้งพวกเขาก็จะเรียกร้องให้ “แอนตี้” กิจกรรมหรือกิจการที่เจ้าตัวทำอยู่
ในกรณีที่รุนแรง ผลกระทบกับเจ้าตัวก็จะหนักจนแทบ “หายนะ” ตัวอย่างเช่น หากเจ้าตัวเป็น “ดารา” ที่ต้องอาศัยลูกค้าที่เป็น “คนดู” จำนวนมาก คนจำนวนหนึ่งซึ่งบางทีก็อาจ
จะมากที่ “เกลียด” เขาก็จะไม่ดูและเลิกดู ผู้สร้างภาพยนต์ก็กลัวว่าหนังจะไม่ได้รับการยอมรับเพราะมีดาราคนนั้นก็จะเลิกจ้าง บริษัทที่ต้องการโฆษณาก็จะไม่จ้างดาราที่ถูกคนจำนวนมากแอนตี้แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความสามารถและเหมาะสมกับงาน แต่บังเอิญไปทำให้คนเกลียดและแสดงออกผ่านสื่อสังคมที่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างของธุรกิจหรือบริษัทเองนั้น ในกรณีของไทยก็มีปรากฎการณ์...
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มีนาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ครบ 2 เดือนของปี 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1204 จุดหรือตกลงไปประมาณ 14% ซึ่งก็เป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” นับจากต้นปี ราคาของหุ้นจำนวนมาก รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดตกลงมาแรงมาก บางตัวระดับหายนะแบบ “คอร์เนอร์แตก”
การตกลงมาของหุ้นนั้น ดูเหมือนจะไม่เลือกว่าเป็นหุ้นแบบไหน และบางทีก็ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใดชัดเจน ตัวอย่างเช่น เรื่องของผลประกอบการซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อการขึ้นหรือลงของราคาหุ้น หุ้นที่ผลประกอบการตกต่ำลงมากนั้น ราคาก็มักจะ “ถล่ม” ทันที แต่หุ้นบางตัวที่มีผลประกอบการที่ดี บางทีดีมากจนน่าประทับใจ แต่หุ้นก็ยังตกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อมีการประกาศผลประกอบการ
นั่นเป็น “ความจริงที่โหดร้าย” สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการรวมถึงเหล่า VI ที่ประเมินและคาดการณ์ผลการดำเนินการของบริษัท และมักจะจดจ้องกับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัททุกไตรมาศ ถ้าประกาศออกมาดีตอนปิดตลาด ปกติพวกเขาก็จะมีความสุขและนอนหลับสบายทั้งคืนและบางทีก็ฝันว่า “พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์หนอ?”
แต่เมื่อตลาดเปิด สิ่งที่พบกลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นร่วงลงไปแรง ทั้ง ๆ ที่ 2 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ทยอยตกลงมาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว บางทีการประกาศผลประกอบการที่ดีอาจจะทำให้มีคนสนใจเข้ามาไล่ราคากันมาก และนั่นอาจจะเป็นโอกาสที่คนที่ “จ้องขายหุ้น” ตัวนั้นมาอย่างต่อเนื่อง ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 กุมภาพันธ์ 2568
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การต่อสู้หรือแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนใน “สงครามเย็น” ยุคใหม่ดูเหมือนว่ากำลังรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ตั้งแต่การเมืองระหว่างประเทศไปจนถึงเทคโนโลยีซึ่งเป็นเครื่องวัดว่าใครจะเป็น “ผู้ชนะ” และดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งที่สำคัญมากในโลกยุคใหม่ก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นที่เป็นตัวนำของประเทศ ซึ่งนาทีนี้ก็คือ “หุ้นเท็ค” ขนาดใหญ่
ก่อนหน้านี้ซัก 1-2 ปี ดูเหมือนว่าอเมริกาจะนำไปมาก อานิสงค์จากเทคโนโลยี AI ซึ่งนำโดยหุ้น NVIDIA ตามด้วย TESLA หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม การปรากฏขึ้นของ DEEPSEEK ซึ่งสามารถสร้าง AI ได้ดีใกล้เคียงกับ CHAT GPT ของอเมริกาได้ด้วยต้นทุนเพียงเสี้ยวเดียวเมื่อประมาณ 2-3 เดือนก่อนก็ทำให้ภาพเปลี่ยนแปลงไปมาก และดูเหมือนว่าการแข่งขันจะใกล้เคียงกันขึ้นมาก หลายคนคิดว่าจีนกำลังจะเอาชนะอเมริกาได้ในเวลาอีกไม่นาน
และสัญญาณอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเท็คขนาดใหญ่ของจีน ที่เคยเงียบเหงาและไม่ไปไหนมานานก็เริ่มขยับและวิ่งขึ้นมาอย่างแรงและเหนือกว่าหุ้นอเมริกาไปแล้วในช่วงประมาณ 1 ปี ที่ผ่านมา ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปรับตัวขึ้นไปถึงประมาณ 40% และจากต้นปีนี้ก็ปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณ 20% ไม่ต้องพูดถึงหุ้นไฮเท็คที่ปรับตัวขึ้นไปสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงพบและจับมือกับแจ็คหม่าซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนนโยบายเป็นการสนับสนุนหุ้นเท็คขนาดใหญ่แทนที่จะ “จัดการ” กับบริษัทยักษ์เหล่านั้นอย่างในอดีต
การวิ่งของหุ้นไฮเท็คจีนอย่างแรงนั้น เป็นอาการเดียวกับหุ้นไฮเท็คยักษ์ในตลาดสหรัฐ ...