Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนาม

0
5289

โลกในมุมมองของ Value Investor     7 มกราคม 2565

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

หนทางการลงทุนที่ทำให้ผม  “เปลี่ยนชีวิต” ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาก็คือ  การลงทุนในหุ้น “Super Stock” ประมาณ 6-7 ตัว ย้อนหลังไปประมาณ 15- 20 ปี และถือไว้ยาวนานโดยที่ไม่ค่อยได้ทำอะไรกับมัน  บางตัวผมก็ยังถืออยู่จนถึงทุกวันนี้   Super Stock โดยนิยามของผมก็คือหุ้นที่เติบโตเร็วมาก  ภายในเวลา 10 ปี โตขึ้นอย่างน้อยเป็น 10 เท่าตัว หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 26% ขึ้นไป  และนี่ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ ที่อาจจะมีราคากระโดดขึ้นไปได้เพราะเหตุผลบางอย่าง  แต่เป็นหุ้นของธุรกิจหลัก ๆ  ขนาดใหญ่ระดับประเทศที่เราสามารถลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากได้อย่างสบายใจและก็สามารถขายหุ้นได้โดยที่ไม่ได้กระทบกับราคาของหุ้นในขณะนั้นเลย

หุ้น Super Stock นั้น  มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากหุ้นทั่วไปก็คือ  มันมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่กำลังเป็น  “เมกาเทรนด์” คือมีการเติบโตที่รวดเร็วและมักจะยาวนานจนโตขึ้นจากจุดเดิมเป็นหลายเท่า  ดังนั้น  จึงเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่มักจะถูกใช้โดยคนที่อายุน้อยกว่าหรือคนที่กำลังร่ำรวยขึ้นที่จะมีเงินเพิ่มและใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น  นั่นคือเงื่อนไขประการแรก  ข้อที่สองก็คือ  บริษัทหรือหุ้นนั้นจะต้องเป็น  “ผู้ชนะ” มีส่วนแบ่งทางตลาดสูงกว่าคู่แข่งและโตไปเรื่อย ๆ  ตามอุตสาหกรรม  ประการที่สามก็คือ  ผู้ชนะนั้นมักจะมี “ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน” เช่นมียี่ห้อสินค้าที่ดีมาก  มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่า  มีเครือข่ายหรือ Network ของผู้ใช้ที่มากกว่าคู่แข่งมาก  ลูกค้ามีต้นทุนที่จะออกไปใช้บริการของคู่แข่งสูง  หรือเป็นกิจการที่เป็น “ผู้ผูกขาด” โดยธรรมชาติหรือที่ไม่ได้ถูกควบคุมทางด้านราคาจากรัฐมากนัก เป็นต้น

นอกจากนั้น  Super Stock จะต้องไม่ถูก Disrupt หรือถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ  ที่กำลังเกิดขึ้นมากในปัจจุบัน  และสุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุดก็คือ  ราคาของหุ้นจะต้องไม่แพงเกินไปวัดจากอัตราส่วนมาตรฐานต่าง ๆ  เช่นค่า PE เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม  บ่อยครั้ง  โดยเฉพาะที่เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นหุ้น Super Stock ที่กิจการยังไม่ค่อยมีกำไรเพราะยังต้องขยายกิจการอย่างรวดเร็ว  การวัดว่าหุ้นถูกหรือแพงจะต้องดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมด  ในกรณีแบบนี้ก็จะมีความยากเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นดิจิทัลหรือไฮเท็คที่ยังไม่มีตัวอย่างจากตลาดอื่นให้เปรียบเทียบ

ตัวอย่างหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้น Super Stock ในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปประมาณ 15-20 ปีนั้นรวมถึงหุ้นดังต่อไปนี้คือ  ในกลุ่มการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็น  “เมกาเทรนด์” มายาวนานก็คือ  หุ้น MINT CENTEL และ AOT ที่สองตัวแรกทำกิจการโรงแรมและร้านอาหารที่เป็น  “ผู้ชนะ”สามารถเป็นผู้นำในการบริหารและขยายตัวไปทั่วโลก  ส่วนตัวหลังนั้นเป็นกิจการที่ “ผูกขาด” ในการเดินทางโดยเครื่องบิน  หุ้นกลุ่มต่อไปซึ่งมีจำนวนมากที่กลายเป็นหุ้น Super Stock ก็คือ  “หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่” ที่อยู่ในเมกาเทรนด์ของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่รวยขึ้นอย่างรวดเร็วและอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้นมาก  หุ้นของร้านค้าปลีกที่โตขึ้นหรือเคยโตขึ้นเป็น 10 เท่าในเวลา 10 ปีและกลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกรวมถึงหุ้นต่อไปนี้คือ  หุ้น  BIGC CPALL MAKRO HMPRO ROBINS และ CPN นี่คือข้อมูลย้อนหลังไปประมาณ 6-7 ปี  ถึงวันนี้ก็อาจจะมีหุ้นค้าปลีกในสินค้าอื่นที่อาจจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเพิ่มขึ้นแล้วก็ได้  เพราะการค้าปลีกสมัยใหม่นั้นเริ่มเป็นเมกาเทรนด์มาตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540และต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ที่สินค้าบางกลุ่มอาจจะอิ่มตัวไปแล้ว  บางกลุ่มก็ยังไปต่อได้แม้ว่าจะไม่ได้โตมากเหมือนเดิม 

หุ้นโรงพยาบาลนั้นเป็นเมกาเทรนด์เนื่องจากคนไทยแก่ตัวลงและรวยขึ้น  “ผู้ชนะ” ที่ทำให้หุ้นกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้นรวมถึงหุ้น BGH และ BH ที่เน้นลูกค้าจากต่างประเทศมาก  ดังนั้น  จึงสามารถเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  โรงพยาบาลนั้นมักจะสามารถรักษาลูกค้าให้อยู่ยาวนานเพราะมี Exit Cost สูง  ลูกค้ามักจะไม่เปลี่ยนโรงพยาบาลเพราะติดอยู่กับหมอ  คุณภาพและทำเลของโรงพยาบาล  อย่างไรก็ตาม  โรงพยาบาลท้องถิ่นก็มักจะมีข้อจำกัดที่จะขยายตัวจนกลายเป็นซุปเปอร์สต็อก

สุดท้ายก็คือกลุ่มโทรคมนาคมที่เริ่มเป็นเมกาเทรนด์หลังวิกฤติปี 2540 เช่นเดียวกัน  ผู้ชนะที่มีราคาหุ้นขึ้นไปสูงและนานอย่างน้อย 10 ปี ก็คือหุ้น ADVANC และ JAS ที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือและบริการอินเตอร์เน็ต  อย่างไรก็ตาม  เมกาเทรนด์ในกลุ่มนี้เกิดขึ้นแรงและเร็วแต่ก็จบลงในเวลาไม่นานเท่ากับอีกหลายกลุ่ม  เหตุผลก็คงเป็นเพราะ  “ทุกคนในประเทศก็ใช้มือถือและอินเตอร์เน็ตกันหมดแล้ว” ดังนั้น  ในระยะหลัง ๆ  อาจจะเป็นเกือบ 10 ปีแล้วที่หุ้นก็ไม่ค่อยไปไหนเพราะ “ไม่โตแล้ว”

นอกจากหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่กล่าวแล้ว  ในระยะประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา  ผมคิดว่าเราก็น่าจะมีหุ้นอีกหลายตัวที่เติบโตเร็วขนาดเป็นซุปเปอร์สต็อกซึ่งรวมถึงกิจการในกลุ่มพลังงาน  การเงินส่วนบุคคลและกลุ่มสินค้าที่อาจจะเกี่ยวข้องกับ  “ไฮเท็ค” ทั้งที่เป็นดิจิทัลหรืออาหารที่มีขนาดเล็กแต่มีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในสังคมไทยที่กำลังแก่ตัวและเติบโตช้าลง  อย่างไรก็ตาม  ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่แท้จริงตามเงื่อนไขต่าง ๆ  ที่ผมกล่าวไว้  เหตุผลก็คือ  หุ้นที่โตเร็วเหล่านั้นมีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมากและมีค่า PE โดยทั่วไปสูงเป็น 40-50 เท่าขึ้นไปในขณะที่ความยั่งยืนและโอกาสที่จะโตต่อไปในอนาคตอาจจะไม่แน่นอนเนื่องจากเป็นกิจการที่ไม่ได้มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนมากนัก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  หุ้นมักจะมีการ “เก็งกำไร” สูงมาก

หุ้นที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  ผมคิดว่ามีอยู่ไม่น้อย  และนี่เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนอาจจะมีโอกาสได้ซื้อในช่วงเริ่มต้น  เหตุผลก็คือ  ผมคิดว่าเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนามนั้นกำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็วและ “ถึงจุด” ที่สินค้าและบริการ  “สมัยใหม่” เริ่มเป็นที่ต้องการของคนเวียดนามที่กำลังอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้นอย่างรวดเร็ว  นี่เป็นช่วงเวลาที่คล้าย ๆ  กับประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนที่สิ่งใหม่ ๆ  ที่ “ทันสมัย” เริ่มต้นขึ้น  ธุรกิจเริ่มปรับตัวมีการบริหารแบบเป็นมืออาชีพ  การขยายตัวโดยเฉพาะในธุรกิจบริการเป็นระบบเครือข่ายที่กระจายไปทั่วประเทศ  ผู้บริโภคเริ่มมีเงินและบริโภคสิ่งต่าง ๆ  ที่ดีขึ้น  ยุคของ “Modern Trade” และ “Modern Business” กำลังมาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับยุคของการบริโภค “Consumerism” และยุคที่คนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหรือ “Urbanizations” ทั้งหมดนั้นได้รับการสนับสนุนจากการปล่อยสินเชื่อจากระบบธนาคารและบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่บุคคลที่กำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากเมื่อประมาณไม่เกิน 10 ปีก่อนที่การซื้อรถหรือบ้านยังต้องขนเงินสดเป็นกระเป๋าไปซื้อ

หุ้นที่อาจจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกและได้แสดงศักยภาพออกมาบ้างแล้วน่าจะรวมถึงหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่เช่น MWG ที่เป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้าและช่วงนี้ก็เริ่มขยายไปสู่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต  “สะดวกซื้อ” อย่างรวดเร็ว  หุ้น VRE ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของการเป็นช็อบปิ้งมอลของเวียดนามที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากคนเวียดนามนั้นเริ่ม  “เดินห้างหรู” แบบเดียวกับที่ไทยเริ่มเมื่อประมาณ 25 ปีก่อน  หุ้น ACV ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานของเวียดนามที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะคนเวียดนามสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้อย่างกว้างขวางเพราะรายได้สูงพอแล้ว  หุ้น FPT ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งในด้านของการเป็นบริษัทรับงาน Outsource งานเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทไฮเท็คทั่วโลก เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอื่น ๆ อีกมาก  ซึ่งนี่ก็น่าจะแตกต่างจากไทยที่หุ้นแนวไฮเท็คไม่มีความโดดเด่นพอที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกได้  

หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า  น้ำประปาเพื่อการบริโภค  และทางด่วนเก็บเงินกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากเศรษฐกิจของเวียดนามโตเร็วมากในขณะที่รัฐบาลไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำเองทำให้สาธารณูปโภคทั้งหลายเติบโตเร็วมากเป็น  “เมกาเทรนด์” ที่จะเติบโตไปอีกนาน  อย่างไรก็ตาม  บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มีจำนวนมากและส่วนใหญ่ก็มี Market Cap. ค่อนข้างเล็ก  ดังนั้น  โอกาสที่จะเจอ “ผู้ชนะ” และกลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็น่าจะมีไม่น้อยเช่นเดียวกับหุ้นการเงินและหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม  หลายบริษัทก็มีมูลค่าหุ้นที่อาจสูงเกินไปแล้ว   ดังนั้น  การที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดที่กล่าวถึงและหุ้นที่มีศักยภาพทั้งหมดก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วย


เตรียมพบกับสัมมนา

Super Stock เวียดนาม อเมริกา จีน 2 วันเต็มกับกูรู

ประกาศโปรแกรมสัมมนา และรับสมัคร 8 ม.ค.นี้บัตร (10.00 น.)

บัตร Early bird (8-18 ม.ค.) 1,490 บาท (หลังจากนั้น 1,990 บาท) จัดโดยเพจหุ้นเวียดนาม VVI GROUP

ร่วมสนับสนุนโดย บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน)