เล่นหุ้นท่ามกลางมรสุม

0
โลกในมุมมองของ Value Investor  10 ตุลาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​วิกฤติโควิด-19 นั้น  เมื่อเวลาผ่านมาประมาณ 8-9 เดือนแล้วก็ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าที่ทุกคนคิด  เพราะการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ “ล่าสุด” นั้น  บ่งบอกว่าวิกฤติครั้งนี้น่าจะรุนแรงไม่แพ้ “ต้มยำกุ้ง” ที่เกิดขึ้นในปี 2540  คือปีแรกที่เกิด  เศรษฐกิจติดลบถึงประมาณเกือบ 10% และหลังจากนั้นก็จะฟื้นตัวดีขึ้นประมาณ 4-5% ต่อปีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า  สิ่งที่อาจจะแตกต่างกันก็คือ  ความ “เจ็บปวด” ของผู้คนในวิกฤติปี 2540 คือ  “คนรวย”ที่เป็นเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่บริษัทแทบล้มละลายและขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากและธนาคารไม่มีเงินจะให้กู้  ตรงกันข้าม  วิกฤติโควิด-19...

ทำไมนายกฯ ญี่ปุ่น เลือกเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรกหลังรับตำแหน่ง

0
ทำไมนายกฯ ญี่ปุ่น เลือกเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรกหลังรับตำแหน่ง ?.ซุกะ โยชิฮิเดะ เลือกเยือนเวียดนามและอินโดนีเซียเป็นประเทศแรก หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เพราะเวียดนามกำลังเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจและอาจมีอิทธิต่ออาเซียนในอนาคต.สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า 'โยชิฮิเดะ ซุกะ' นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะเดินทางเยือน 'เวียดนาม' และ 'อินโดนีเซีย' ในช่วงกลางเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของโยชิฮิเดะ หลังจากขึ้นมารับตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่น และยังเป็นการเดินทางตามรอยชิโส อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เลือกเดินทางเยือนเวียดนามเป็นลำดับแรกเช่นกันเมื่อดำรงตำแหน่งนายกฯ รอบที่...

ทัวร์ลง

0
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 ต.ค. 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในแวดวงของ Social Media ในประเทศไทยในระยะหลังนี้ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า  “ทัวร์ลง” ซึ่งก็คือการที่ผู้เล่นหรือผู้ใช้สื่อดิจิตอลสมัยใหม่โดยเฉพาะในทวิตเตอร์จำนวนมากเข้ามาโพสต์และ/หรือมาดู รูป  วิดีโอ  และเขียนความคิดเห็น ในประเด็นต่าง ๆ  ที่เป็นที่สนใจในสังคมขณะนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประเด็นที่คนที่อยู่ในกลุ่มรู้สึกไม่พอใจและอยากที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  จำนวนของคนที่เข้าไปดู  คุยกันหรือคอมเม้นต์นั้นจะต้องมีจำนวนมาก และมักจะติดอันดับสูงที่สุด 10 อันดับ...

SET VS VN Index

0
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 ก.ย. 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและเวียตนาม  ผมเองได้ติดตามดูผลงานของตลาดทั้งสองแห่ง  ทั้งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ  ดัชนีตลาดหุ้น  และตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด  และก็แน่นอนว่า  ก็เปรียบเทียบผลงานพอร์ตหุ้นทั้งสองของผมว่าพอร์ตไหนมีผลตอบแทนดีกว่ากันและมองด้วยว่าอนาคตพอร์ตไหนน่าจะมีโอกาสเติบโตมากกว่าด้วย  ในการเปรียบเทียบนั้น  ผมจะดูดัชนีหุ้นของทั้งสองแห่งเป็นหลัก ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินของเวียตนามเพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2000 ปี  และเนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่  การ “เก็งกำไร” จึงน่าจะรุนแรงมาก  ดัชนีตลาดวิ่งจาก 100...

“ถูกเกินไป” ตลาดหุ้นแดนเวียด

0
บริษัทจัดการกองทุน Asia Frontier Capital กล่าวว่า ดัชนี VN-Index ของเวียดนาม “ต่ำกว่ามูลค่า” เมื่อเทียบกับดัชนีของประเทศอื่น ๆP/E ณ วันที่ 31 สิงหาคม ของ ดัชนี VN-Index อยู่ที่ 14.7 เท่าขณะที่ดัชนี Shanghai Composite ของจีน...

Super Stock ใน 10 ปีข้างหน้า

0
โลกในมุมมองของ Value Investor      19 กันยายน 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​เมื่อประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้วในตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็น Value Investor ก่อกำเนิดขึ้น  พวกเขาเป็นนักลงทุน “หน้าใหม่” ในตลาดหุ้น  ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นนักลงทุน “รายย่อย” และเป็น  “คนกินเงินเดือน” ที่มีรายได้ค่อนข้างดีเนื่องจากจบการศึกษาสูง  หลายคนเรียนจบจากต่างประเทศและมีตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัทชั้นนำของประเทศหรือบริษัทข้ามชาติ  และก็แน่นอนว่าบางคนก็มีฐานะทางบ้านที่ดีหรือดีมากและเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว  แต่สิ่งที่เหมือนกันหมดก็คือทุกคนมีความมุ่งมั่นในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นตามแนวทางการลงทุนของ “VI”อย่างที่เรียกกันในปัจจุบันนั่นก็คือ  การมองว่าหุ้นก็คือธุรกิจและเราสามารถประเมินมูลค่าของมันได้  และจะซื้อก็ต่อเมื่อมูลค่านั้นสูงกว่าราคาหุ้นมากพออย่างที่เรียกว่ามี Margin of Safetyสูง และจะขายต่อเมื่อราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานหรือ “มูลค่าที่แท้จริง” นั้น ​ผมคงไม่ต้องพูดว่า VI กลุ่มนั้นต่างก็ทำผลงานการลงทุนได้ดีเยี่ยม  หลายคนเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี  ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ  คนที่เคยกินเงินเดือนต่างก็ “เกษียณตัวเอง” ตั้งแต่อายุยังน้อยและกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวจนถึงวันนี้  แต่ VI “รุ่นใหม่” ที่เพิ่งจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่เกิน 6-7 ปีนั้น...

Fair Company at Wonderful Price

0
โลกในมุมมองของ Value Investor  12 ก.ย. 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวว่าบัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นของญี่ปุ่นพร้อมกัน 5 ตัวคือ หุ้นอิโตชู มารูเบนนี มิตซูบิชิ มิตซุยและสุมิโตโม ทั้ง 5 บริษัทเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการค้าของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมานานเฉลี่ยแล้วน่าจะเป็นหลัก100 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาเป็นประเทศสมัยใหม่จนถึงปัจจุบันที่กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก  ทั้งหมดนี้  แม้ว่าจะเป็นบริษัท  “ยุคเก่า” แต่ก็ยังเป็นบริษัท “ยักษ์ใหญ่” ที่มียอดขายมากกว่าปีละ 1 ล้านล้านบาท  และครอบคลุมการค้าขายระหว่างประเทศของญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดและก็ยังน่าจะเป็นอย่างนั้นต่อไปตราบที่ญี่ปุ่นยังเป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลกอยู่โดยที่เทคโนโลยี่ดิจิตอลไม่สามารถที่จะทำลายมันได้ ​ลักษณะการซื้อของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากที่เคยทำมาตลอดในชีวิตการลงทุนของเขานั่นก็คือ  เป็นการ “กวาดซื้อ” หุ้นหลาย ๆ  ตัวที่มีคุณสมบัติเกือบจะเหมือนกันหมดนั่นก็คือมันเป็นหุ้นที่ “ถูกมาก” และเป็น  “ตัวแทน” ของบริษัทหรือเศรษฐกิจญี่ปุ่น...

หุ้นโรงพยาบาลก็ติดโควิด19

0
โลกในมุมมองของ Value Investor        29 สิงหาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​ผลประกอบการไตรมาศ 2 ที่ออกมานั้นได้สะท้อนผลกระทบของโควิด19 อย่างชัดเจนว่า  ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบแรงแค่ไหน  ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางที่ถูกกระทบแรงที่สุดเพราะคนแทบจะเลิกเที่ยวและการเดินทางก็ทำเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ  หุ้นในกลุ่มโรงแรมและสันทนาการจำนวน 13 ตัวนั้น  มีกำไรแค่ 2 ตัวและกำไรเพียงไม่เกิน 4 ล้านบาท  ที่เป็นโรงแรมนั้นขาดทุนกันหมดและขาดทุนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  ส่วนหุ้นขนส่งนั้น  ...

สัญญาณเศรษฐกิจถดถอย

0
โลกในมุมมองของ Value Investor          22 สิงหาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เมื่อสองสามวันก่อนผมได้เริ่มขับรถส่วนตัวไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มนักลงทุน VI ในช่วงเย็นอีกครั้งหลังจากหยุดกิจกรรมที่เคยทำทุกไตรมาศมานานนับสิบปีหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเมื่อ 5-6 เดือนก่อน  ผมเองไม่ได้ขับรถช่วงเย็นที่เป็นช่วงเร่งด่วนแบบนี้มานานแต่ก็จำได้ว่าในอดีตนั้น  เส้นทางที่ผมใช้คือทางด่วนที่ลงถนนพระราม 4 แถวคลองเตยแล้ววิ่งตรงไปทางกล้วยน้ำไทยนั้น  เป็นช่วงที่รถติดหนักมาก  แต่การขับรถครั้งนี้ปรากฏว่ารถกลับไม่ติดเลยแม้ว่าจำนวนรถอาจจะยังมากอยู่  ในความรู้สึกของผมก็คือ  หลังจากโควิด19ในประเทศไทยสงบลงและเราเปิดธุรกิจในประเทศเกือบทั้งหมดแล้ว  กิจกรรมของคนที่ต้องเดินทางประจำวันน้อยลงจนเห็นได้ชัดจากการจราจร จริงอยู่  บางคนอาจจะบ่นว่ารถกลับมา “ติดเหมือนเดิมแล้ว” แต่นั่นคงเป็นบางจุดหรือถนนบางสายและก็อาจจะเป็นบางช่วงเวลา  ตัวอย่างเช่นในวันหยุดยาวที่คนเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดในบางเส้นทาง  หรือในถนนบางสายเช่นแถวศรีนครินทร์ที่มีการสร้างรถไฟฟ้า เป็นต้น  แต่เส้นทางที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นเส้นทางในศูนย์กลางของกรุงเทพ  ผมคิดว่ารถน้อยลงชัดเจน  ตัวอย่างที่ผมเห็นทุกวันก็คือถนนรางน้ำหน้าบ้านผมที่เคยเป็นแหล่งพักของนักท่องเที่ยวชาวจีน  ที่ตอนนี้ “โล่งตลอด”  นี่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังถดถอยลง “อย่างแรง” จำนวนคนเดินห้างก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังซบเซา    หลายคนอาจจะเถียงว่าห้างใหญ่หลาย ๆ แห่งโดยเฉพาะที่อยู่ที่ “ขอบของกรุงเทพ” ที่ตนเองเดินประจำนั้น  คนก็กลับมา “เหมือนเดิม” แล้ว  หาที่จอดรถไม่ได้และ “คนแน่นยังกับแจกฟรี”  แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ห้างเหงามานานและก็อาจจะเป็นเฉพาะในวันหยุด  วันธรรมดาที่เขาไม่ได้ไปนั้นคนอาจจะว่างมาก   ผมเองเดินและจ่ายตลาดห้างหรูแถวสยามที่เป็นแหล่งสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างประเทศแทบทุกสัปดาห์  ผมยืนยันว่าห้างยังเหงามีคนเดินน้อยกว่าเดิมมาก ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ผมจ่ายสินค้าประจำวันนั้น  ในอดีตจะมีคิวจ่ายเงินยาว  เดี๋ยวนี้บางวันแทบไม่มีคิวเลย  นี่ก็เป็นสัญญาณว่าคนไทยน่าจะใช้จ่ายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในสินค้าที่ไม่จำเป็นและ/หรือสินค้าที่ใช้จ่ายโดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยที่ผมเห็นก็คือ  สินค้าหรูหราและมีราคาสูงมากอย่างเช่น  ร้านที่ขายสินค้าเครื่องแต่งกาย“ซุปเปอร์แบรนด์” หลายร้านนั้นมีคน “เข้าคิว”  รอเข้าไปชมและซื้อสินค้าอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนโควิด19 แล้ว ราคาสินค้าของร้านเหล่านี้ไม่ได้มีการ “ลดราคากระหน่ำ” เพื่อเรียกลูกค้า  ว่าที่จริงบางร้าน  “ขึ้นราคา” สินค้าที่เคยขายด้วยซ้ำ  นี่ทำให้ผมสรุปว่า  คนที่มีฐานะมั่งคั่งสูงในสังคมไทยนั้น  ไม่ได้ถูกกระทบมากจนต้องลดการใช้จ่ายลงเลย พวกเขาใช้จ่ายเหมือนเดิม  และตอนนี้เนื่องจากว่าไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้  เขาจึงใช้จ่ายในประเทศไทยแทน  และนี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันในต่างประเทศ  ตัวอย่างเช่นในจีนที่ตอนนี้มีข่าวออกมาแล้วว่าสินค้าซุปเปอร์แบรนด์ขายดีขึ้นมากกว่าเดิมก่อนโควิด19 ด้วยซ้ำ นอกจากเรื่องของสินค้าเครื่องแต่งกายหรูแล้ว  บ้านหรูในช่วงหลังโควิดก็ดูเหมือนว่าจะขายดีขึ้นโดยเปรียบเทียบกับบ้านที่ขายคนส่วนใหญ่ทั่วไป  ว่าที่จริงแม้แต่ในช่วงที่ยังปิดเมืองกันอยู่ก็มีสัญญาณแล้วว่าคนมาดูและซื้อบ้านหรูมากขึ้น  นั่นแสดงว่าคน “ซุปเปอร์ริช” หรือคนรวยจัดนั้นไม่ได้ถูกระทบมากจากวิกฤติและยังซื้อสินค้าหรูและมีราคาแพงเหมือนเดิม  นี่ก็พอจะเห็นได้จากการที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายบ้านหรูทำผลงานในไตรมาศ 2ได้ดีกว่าบริษัทที่เน้นบ้านราคาต่ำหรือระดับกลางที่ถูกกระทบอย่างแรง บ้านมวลชนนั้นอาจจะขายได้น้อยลง  แต่ธุรกิจพวกวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างหลายแห่งอาจจะคุยว่ายอดขายไม่ตกในช่วงปิดโควิด  นี่อาจจะเป็นเรื่องจริง  แต่ก็ต้องระวังว่าสินค้าเหล่านี้มี Lag Time หรือเป็นสินค้าที่เมื่อเศรษฐกิจวิกฤติทันทีนั้น ความต้องการของสินค้ายังมีอยู่เหมือนเดิมเนื่องจากบ้านที่เริ่มสร้างแล้วก็จะต้องสร้างต่อไปจนจบถ้าเจ้าของยังมีกำลังอยู่  ผมเองก็กำลังสร้างเหมือนกันและพบว่างานก่อสร้างนั้นไม่เคยหยุดเลยในช่วงโควิด19  ดูเหมือนว่ามันจะเร็วขึ้นด้วยซ้ำเพราะคนงานไม่ขาดเหมือนในช่วงปกติ  สิ่งที่ต้องระวังก็คือ  หลังจากนี้เมื่องานเริ่มเสร็จ  และงานใหม่ก็ไม่เข้ามาเนื่องจากความต้องการบ้านหรืออาคารต่าง ๆ น้อยลง  ธุรกิจก่อสร้างก็อาจจะเห็นยอดขายหดตัวอย่างแรงได้ การตกต่ำลงของเศรษฐกิจนั้น  ผมคิดว่าสาเหตุหลักก็มาจากการที่ธุรกิจท่องเที่ยว  การเดินทางและกิจกรรมที่คนต้องเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกันต้องหยุดลงเกือบจะสิ้นเชิง  นั่นทำให้คนจำนวนมากนับล้าน ๆ คนต้องตกงานทันที  พวกเขาต้องลดการบริโภคลง  ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงไตรมาศ 2 และเราต่างก็คิดว่าหลังจากนั้นเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว  ไตรมาศ 2 น่าจะต่ำสุดและช่วงต่อจากนี้ความเจ็บปวดก็น่าจะน้อยลง  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ข่าวว่าลูกสาวเพื่อนที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตทของสายการบินระดับท็อป ๆ ของโลกแห่งหนึ่งถูกปลดแบบ  “ฟ้าผ่า” หลังจากที่หยุดไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้วและกำลังหวังว่าจะกลับไปทำงานเนื่องจากสายการบินเริ่มจะกลับมาบินใหม่ในบางเส้นทาง  เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า  ในช่วงไตรมาศ 2 นั้น  บริษัทหรือธุรกิจบางแห่งก็ยังพยายามรักษาคนงานไว้  แต่พอถึงวันนี้เขาก็รับกับค่าใช้จ่ายไม่ไหวและต้องปลดคนออกไป  ช่วงเวลาเดียวกันรัฐบาลก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายแก่คนจำนวนมากเดือนละ 5,000 บาทจนสิ้นเดือนสิงหาคม  ในอีกด้านหนึ่งแบ้งค์ชาติก็ยอมให้ลูกหนี้จำนวนมากพักการชำระเงินจนถึงเดือนกันยายน  ทั้งหมดนี้ถ้าไม่ได้รับการต่ออายุอะไรจะเกิดขึ้น?  ผมเองคิดว่าเศรษฐกิจคงไม่เลวร้ายลงกว่าไตรมาศ 2  แต่จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วผมก็ยังสงสัย กลับมาเรื่องของการลงทุนบ้าง  ในที่ประชุมสังสรรค์เพื่อน VI นั้น  ทุกครั้งเราก็จะมีการ  “เลือกหุ้น” ที่จะทำผลงานได้ดีใน 3 เดือนข้างหน้า  โดยที่ทุกคนจะต้องเลือกหุ้นที่ตนเองชอบ  ส่วนใหญ่ก็คนละ 2-3 ตัว  พอพบกันอีกในไตรมาศหน้าก็จะมาดูว่าใครได้ผลตอบแทนเท่าไร นี่ก็เป็นกิจกรรมเล่น ๆ ที่ไม่ได้ซีเรียสหรือแข่งขันอะไรกันแต่ทุกคนก็มักจะเลือกในสิ่งที่ตนเองลงทุนจริง ๆ  อยู่แล้ว  ผลการเลือกในครั้งนี้มีการเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากครั้งหลัง ๆ นั่นก็คือ  ในช่วงน่าจะ 2-3 ปีมาแล้ว  VI กลุ่มนี้มักจะเลือกหุ้นเวียตนามมากกว่าหุ้นไทย  หุ้นไทยที่ถูกเลือกนั้นน้อยลงมาก  ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาได้หันไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามมากขึ้น  บางคนโดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาตินั้นไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกแล้ว  แต่ในครั้งนี้ปรากฏว่าจำนวนหุ้นที่ถูกเลือกกลับกลายเป็นหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่  นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าโควิดน่าจะทำให้หุ้นไทยบางกลุ่มหรือบางตัวมีความน่าสนใจมากขึ้นจน VI บางคนที่เคยทิ้งตลาดไปนั้นหันกลับมาลงทุนมากขึ้น ความสนใจในหุ้นของคนไทยเองนั้น  ผมคิดว่าเกิดขึ้นกับคนทั่วไปด้วยเห็นได้จากจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วงโควิด19  นี่ก็เป็นอะไรที่แปลกเหมือนกัน  เหตุผลนั้นผมคิดว่า  ประการแรก  เป็นเพราะคนที่มีฐานะดีและมีเงินสดอยู่มากนั้นไม่ได้ถูกกระทบจากโควิด  พวกเขาคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นที่ตกลงมานั้นเป็นโอกาสงดงามที่จะทำกำไรอย่างง่าย ๆ  เมื่อเทียบกับการฝากเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก  ประการต่อมาก็คือ  พวกเขาคิดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะถูกกระทบนั้น  น่าจะเกิดขึ้นครั้งเดียว  หลังวิกฤติแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาภายใน 1-2 ปีหรืออย่างมากก็อาจจะ 3 ปี  เรื่องที่บริษัทจะ “ล่มสลาย” หรือล้มละลายไปนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  สภาพคล่องในระบบการเงินของไทยยังมีเหลือล้น  ตราสารหนี้ที่ออกมาก็ยังมีคนต้องการอีกมาก   เมื่อโควิดผ่านไปและลูกค้ากลับมา  รายได้และกำไรของบริษัทก็จะกลับมา  “เหมือนเดิม”  และสุดท้ายก็คือ  ตลาดหุ้นต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกานั้น  ดัชนีหุ้นกลับมาที่เดิมและสูงกว่าแล้ว  และผลประกอบการของบริษัทโดยเฉพาะในกลุ่มไฮเท็คนั้นก็เพิ่มขึ้นมาก  ดังนั้น  เขาเชื่อว่าในที่สุดบริษัทและหุ้นไทยก็จะต้องตามกันไป ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ  ภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อจากนี้น่าจะยังลำบากอยู่มาก โอกาสฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ  แต่หุ้นที่ตกลงไปแรงมากกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเม็ดเงินของคนไทยและนักลงทุนไทยซึ่งยังมีเงินมากและไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก  อย่างไรก็ตาม  เมื่อความจริงเริ่มจะปรากฏออกมาเรื่อย ๆ  ก็อาจจะมีความเสี่ยงว่า  นักลงทุนจะเริ่มตระหนักและถอนเงินออก  และวันนั้นก็อาจจะเป็นวันที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาให้เหมาะสมกับพื้นฐานที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทย

อนาคตของหุ้นท่องเที่ยว

0
โลกในมุมมองของ Value Investor   15 สิงหาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเรื่องการประกาศใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ที่รัสเซียซึ่งเป็นประเทศแรกที่เริ่มฉีดป้องกันให้กับประชาชน  และแม้ว่าประเทศที่มีความก้าวหน้าส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับว่าเป็นวัคซีนที่ใช้ได้และปลอดภัยจริงเนื่องจากเป็นวัคซีนที่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนที่เคร่งครัดพอ  แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าโลกกำลังใกล้ที่จะเอาชนะโควิดได้แล้วโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวงการตลาดหุ้น  นั่นคงมีส่วนทำให้หุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับโควิดโดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยววิ่งขึ้นไปอย่างแรง  หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือหุ้นของสนามบิน AOT วิ่งขึ้นไป  9% ในขณะที่หุ้นโรงแรมใหญ่ที่สุดคือ MINT บวกเพิ่มขึ้น 10% ในวันเดียว ส่วนหุ้นของสายการบินหรือแม้แต่หุ้นค้าปลีกที่อิงอยู่กับการท่องเที่ยวต่างก็ปรับตัวขึ้นกันอย่างน้อย 5-6% โดยรวมแล้ว  ภายในช่วง 2-3 วันหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้นประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม  ในช่วงปลายสัปดาห์  หุ้นก็ปรับตัวกลับลงมาอย่างมีนัยสำคัญ  คำถามคือ  หุ้นที่เกี่ยวกับโควิด19โดยเฉพาะการท่องเที่ยวนั้น  จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนโควิดหรือไม่และเมื่อไร? ​การที่จะตอบคำถามนี้เราจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ว่าการท่องเที่ยวของไทยจะกลับมาเมื่อไร  ใช้เวลากี่ปีจำนวนนักท่องเที่ยวถึงจะกลับมาเท่าเดิม  นอกจากนั้นก็จะต้องดูว่าบริษัทหรือหุ้นที่อยู่ในตลาดจะทำกำไรและแข็งแรงเหมือนเดิมหรือไม่  ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ...