โคโรน่าในเวียดนาม

0
พอดีวันนี้แอดได้รับ inbox ว่า "สวัสดีครับแอดมิน พอจะเรื่องโรคโคโรน่า ที่เวียดนาม มาอัพเดทกันบ้างมั้ย รอรับชมครับ ขอบคุณครับ" ทางเพจจึงรวบรวมข้อมูลมา Update ให้ฟังดังนี้ค่ะ สถานการณ์โลก เวลา13:00 น. 29 ม.ค. 62 อัปเดตยอดผู้ป่วยสะสมทะลุ 6,000 เสียชีวิตแล้ว 132 ราย...

หุ้นรายตัวในดัชนีVN30 ...

0
บทความนี้จะมาแนะนำและอัพเดตข้อมูลหุ้นรายตัว ที่ยังคงอยู่ในกลุ่ม 30 หุ้นที่ทำกำไรมากที่สุดในปี 2019 ของเวียดนามค่ะ เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเวียดนาม FPT Corporation หรือ FPT ค่ะ ภาพรวม • FPT เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีธุรกิจหลักคือ โทรคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ  การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไอที, ส่งออกซอฟต์แวร์, การรวมระบบ, บริการอินเตอร์เน็ต เป็นต้น รวมถึงธุรกิจการลงทุนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ • ผู้ก่อตั้งบริษัท Truong Gia Binh ได้รับการขนานนามว่าเป็น Bill Gates แห่งเวียดนาม และเป็นนักธุรกิจชาวเวียดนามคนแรกที่ได้รับรางวัลจาก Nikkei Asia จากกลุ่ม Nikkei ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย • เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไม่ใช่กิจการของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และกำลังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ที่ปัจจุบันมีการดำเนินการแล้วใน 45 ประเทศทั่วโลก โดยที่ผ่านมาได้เข้าซื้อบริษัทไอทีในสโลวะเกีย และบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ • บริษัทในเครืออาทิ - FPT Software Company Limited - FPT Information System Company Limited - FPT Investment JSC - FPT Education...

ลงทุนในธุรกิจที่กำลังถูก Disrupt

0
โลกในมุมมองของ Value Investor         25 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตั้งแต่กระแส Disruption หรือการทำลายล้างธุรกิจดั้งเดิมโดยเทคโนโลยีใหม่ที่อิงกับดิจิตอลเกิดขึ้นเต็มที่ทั่วโลก  เราก็ได้เห็นหลาย ๆ  ธุรกิจหรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลาย ๆ  ตัวตกต่ำลงแทบจะเป็น  “หายนะ” การที่หุ้นตกลงมาครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุดเป็นเรื่องปกติ  บางกลุ่มหรือบางตัวตกลงมาเหลือแค่ 10%  เจ้าของซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนนั้นเปลี่ยนสถานะจากมหาเศรษฐีกลายเป็นเศรษฐีธรรมดา  หลายคนจากเศรษฐีก็เหลือแค่เป็นคนรวยธรรมดา ๆ  คนหนึ่งในเวลาเพียงไม่กี่ปี  คนที่ลงทุนในหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt นั้นต่างก็ขายหุ้นหนีตาย  หุ้นถูกหลีกเลี่ยงโดยนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุน “ผู้รอบรู้” หรือเป็น “VI” ไม่ว่าราคาจะตกลงมาเท่าไร  ครั้นจะสวิทซ์หุ้นจากหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt เป็นหุ้นที่กำลัง Disrupt คนอื่น  ก็หาไม่ได้ในตลาดหุ้นไทย  ต้องไปลงทุนข้ามประเทศในตลาดใหญ่อย่างอเมริกาหรือจีน  ซึ่งยังมีอุปสรรคไม่น้อย  แถมราคาหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะแพงมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ตนเองอาจจะยังมีความรู้หรือความเข้าใจไม่พอว่าควรจะเข้าตอนไหน แต่สำหรับผมแล้ว  “ในวิกฤติก็มีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น”  ข้อแรกก็คือ  มันจะต้องวิกฤติก่อน  แล้วเราถึงจะหาโอกาส  ความหมายของผมก็คือ  มองหาหุ้นที่ราคาตกลงมามากจน “ถูกมาก”  ซึ่งคำว่าถูกมากนี้ต้องวัดด้วยมาตรวัดทุกค่า  เช่น  ค่า PE PB Dividend Yield และ Market Cap. หรือรวมถึงตัวอื่น ๆ  ที่อาจจะใช้ได้  ถ้าค่าทุกค่านั้นบ่งบอกว่าหุ้นมีราคา “ถูกมาก” อย่างที่  “ไม่เคยปรากฏมาก่อน”  แบบนี้ก็ชัดเจนว่าหุ้นกำลัง  “วิกฤติ” อย่างไรก็ตาม ถ้ามีค่าบางตัว เช่น ค่า PE อาจจะไม่ต่ำ  หรืออาจจะติดลบเลย  แต่เป็นเหตุการณ์เฉพาะครั้งเดียว  หุ้นก็ยังสามารถพูดได้ว่าถูกมาก  วัดจากตัวเลขอื่น ๆ  ได้  โดยเฉพาะจากค่า Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทเทียบกับที่เคยเป็นมา “โอกาส” ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ  ธุรกิจหรือหุ้นที่คนคิดว่าถูก Disrupt หรือกำลังถูก Disrupt นั้น  ไม่ถูก Disrupt จริง หรือถูก Disrupt แค่บางส่วน  หรือใช้เวลานานมากก่อนที่มันจะถูกทดแทนได้ทั้งหมดซึ่งทำให้ธุรกิจยังคงหากินหรือทำกำไรได้ไปอีกนานและคุ้มที่จะลงทุน    ถ้าเราเจอหุ้นแบบนี้ที่มีราคาตกลงมามากเกินไป  มันก็อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปลงทุนและทำผลตอบแทนทบต้นได้ดีพอ เช่น  10-15% ต่อปีต่อเนื่องไปอีกซัก 10 ปี  เป็นต้น การวิเคราะห์เพื่อหาซีนาริโอว่าหุ้นที่ตกลงมามากจากความกลัวว่ามันจะถูก Disrupt จะเป็นแบบไหนจริง ๆ  นั้น  ไม่ใช่เรื่องง่ายนักและจะต้องคำนึงถึงเรื่องของท้องถิ่นหรือสถานที่ตั้งของธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่ก็คือประเทศไทยด้วย  และต่อไปนี้ก็คือธุรกิจบางอย่างที่ผมมอง หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการการเงินทุกรูปแบบนั้น  ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt บางส่วนโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ  รายได้และกำไรคงหายไปอย่างมีนัยสำคัญแต่ธุรกิจอื่น เช่น  การปล่อยสินเชื่อหากินจากส่วนต่างของดอกเบี้ย  การบริหารเงินและบริหารความเสี่ยงให้ลูกค้า  การขายประกันและผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน  ก็ยังน่าจะอยู่ไปอีกนาน  นอกจากนั้น  ธนาคารยังสามารถลดต้นทุนของการให้บริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องใช้คนและสาขาลงได้ไม่น้อยเมื่อเวลาผ่านไป  ดังนั้น  แบ้งค์โดยรวมจึงน่าจะยังไม่ถูกDisrupt  และผมคิดว่าการที่หุ้นแบ้งค์หลาย ๆ  ตัวตกลงมาแรงนั้น  น่าจะเป็น  “โอกาส”  ในการลงทุน   อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อาจจะมีประเด็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นและความต้องการสินเชื่อลดลง  ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องพิจารณาร่วมด้วย ธุรกิจ “สื่อดั้งเดิม” ทั้งหลายซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงทีวี  หนังสือพิมพ์  สื่อนอกบ้าน  ผมคิดว่า ถูก Disrupt อย่างรวดเร็วและยังไม่จบ  ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นเรียกว่าเป็นวิกฤติระดับ  “หายนะ” คนจำนวนมากยังทยอยเลิกดูทีวี  หนังสือพิมพ์วารสารต่าง ๆ  เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผมเองที่เคยติดละครหลังข่าวบนจอทีวีนั้น  ก็เพิ่งจะเลิกเปิดทีวีไปหลายเดือนแล้วตามภรรยาซึ่งเลิกดูละครผ่านทีวีแต่หันไปดูในไอแพดแทน  ดังนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้ที่ตกลงมามากเป็นวิกฤติแต่โอกาสที่จะซื้อลงทุนก็อาจจะไม่เกิด  ราคาที่ลงไปนั้น  อาจจะเหมาะสมกับธุรกิจที่ค่อย ๆ  ลดค่าลงไปเรื่อย ๆ  และไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร ห้างค้าปลีกแบบมีหน้าร้านโดยเฉพาะที่เป็นช็อบปิ้งมอลขนาดใหญ่นั้น  ราคาหุ้นก็ลงมาบ้างเหมือนกันแต่ไม่มากขนาดเป็นหายนะ  แม้ว่ากำไรจะโตช้าลงมากหลายคนก็ยังคิดว่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังน่าสนใจลงทุน  คำถามสำคัญก็คือ  ห้างแบบนี้ในประเทศไทยในที่สุดจะค่อย ๆ  ตกต่ำลงเพราะถูก Disrupt จากการค้าขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตแบบที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วอย่างในอเมริกาหรือไม่?   นอกจากนั้น  ธุรกิจอย่างการขายอาหารที่มีหน้าร้านก็ดูเหมือนว่ากำลังถูกท้าทายโดยการขายอาหารแบบดีลิเวอร์ลี่ผ่านแอ็ปต่าง ๆ  สุดท้ายภัตตาคารจะแย่หนักไหม? คำตอบเรื่องนี้คงต้องดูเป็นธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ไป  กลุ่มแรกพวกเมกาสโตร์ ที่ขายสินค้าทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt อย่างช้า ๆ  เมื่อคนเริ่มสั่งของจากที่บ้านและพบว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ  อานิสงค์จากความก้าวหน้าของการทำโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ  ดังนั้น  คนมีเหตุผลที่จะต้องไปซื้อที่ห้างน้อยลง  การเติบโตของยอดขายจะน้อยลงจนอาจจะถึงกับติดลบก็เป็นไปได้  อย่างไรก็ตาม  ห้างคง “ไม่ตายแต่ไม่โต” ธุรกิจทำห้างให้เช่าแบบสรรพสินค้านั้น  บางคนบอกไม่ถูกกระทบเพราะรับค่าเช่าจากคนขายของ  แต่ถ้าคนขายของได้น้อยลง  ค่าเช่าที่จะจ่ายได้ก็ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้นไม่ได้  จริงอยู่ คนไทยนั้นอาจจะยังต้องการเดินห้างอยู่เนื่องจากมันเย็นสบาย  มีแหล่งบันเทิงและทำธุรกรรมต่าง ๆ  เช่น การเงิน  รวมถึงกินอาหารภัตตาคารในห้าง  ส่วนการซื้อสินค้านั้นเขาอาจจะทำน้อยลงเนื่องจากการทำผ่านอินเตอร์เน็ตสะดวกกว่า   มีแบบสินค้าให้เลือกมากกว่าและราคาถูกกว่า  ดังนั้น  ธุรกิจทำห้างให้เช่าจึงอาจจะมีกำไรหรือเติบโตไม่เหมือนเดิม  ราคาหุ้นไม่ควรจะแพงอย่างที่เคยเป็น ร้านขายสินค้าเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะอย่าง  เช่น  สินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านนั้น  ผมคิดว่าเนื่องจากสินค้ามีความหลากหลายมากทั้งราคา  รูปแบบ  ความถี่ในการใช้  ทำให้ผู้บริโภคต้องการ “ดูของจริง” มากกว่าจะดูจากภาพ  และบ่อยครั้งเป็นการซื้อหลายอย่างพร้อม ๆ  กันและมีมูลค่าค่อนข้างสูง  ดังนั้น  คนซื้อจึงอยากจะไปซื้อที่ร้านมากกว่าสั่งจากอินเตอร์เน็ต  ดังนั้น  ผมคิดว่าคงยังห่างจากการถูก Disrupt พอสมควร  กลุ่มที่สองคือสินค้าอิเล็กโทรนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย  นี่คือสินค้าที่อาจจะถูก Disrupt ได้ง่ายเนื่องจากมันเป็นสินค้าที่เป็นมาตรฐานเหมือนกันและมียี่ห้อและรุ่นไม่มากนัก  การเลือกผ่านอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย  อย่างเดียวที่ดูเหมือนว่าหลายคนก็ยังอยากไปซื้อที่ร้านก็เพราะว่ามันเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ยอมเสียเวลาไปดูซักหน่อยและได้รับบริการการอธิบายการใช้งานก็อาจจะยังคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt และอาจจะเกิดขึ้นเร็วนั้นมีพอสมควร  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนที่พยายามขายผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น  อาจจะรวมไปถึงเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและแข่งขันกับห้างที่มีหน้าร้านได้ ธุรกิจขนาดใหญ่สุดท้ายที่น่าสนใจมากเพราะราคาหุ้นตกลงมาจนน่าจะเป็นวิกฤติแล้วก็คือ ธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะถ่านหินและน้ำมันซึ่งพูดกันว่ากำลังถูก Disrupt จากพลังงานสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า  ความคิดของผมก็คือ  นี่คือธุรกิจที่ผู้ใช้นั้นเป็นโรงงาน(โรงไฟฟ้า) หรืออุปกรณ์(รถยนต์) ที่มีอายุยืนยาวและมีจำนวนมากมาย  ดังนั้น  การเปลี่ยนหรือทดแทนถ้าจะเกิดขึ้นก็จะเป็นไปอย่างช้า ๆ   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เทคโนโลยีใหม่ก็ยังไม่ได้เหนือกว่าเทคโนโลยีเก่าในทุกด้านโดยเฉพาะราคาและความสม่ำเสมอและประสิทธิภาพของการทำงานทำให้การ Disrupt เป็นไปอย่างช้า ๆ  ผมคิดว่าอย่างน้อยคงต้องเป็น 10 ปีขึ้นไปก่อนที่ธุรกิจจะมีปัญหาอย่างจริงจัง  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์  นี่ทำให้ราคาของสินค้าโดยเฉพาะที่เป็นต้นน้ำถูกกระทบในด้านลบได้ค่อนข้างแรงเมื่อความต้องการลดลงแม้เพียงเล็กน้อย ยังมีธุรกิจอีกมากที่เราจะต้องวิเคราะห์ผลกระทบของ Disruption ว่าที่จริงในระยะหลัง ๆ  นี้  แทบไม่มีธุรกิจไหนที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง  ดังนั้น  นักลงทุนจะต้องคิดและคำนึงถึงอยู่เสมอเมื่อจะลงทุนซื้อขายหุ้น

หุ้นรายตัวVingroup(VIC)กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม

0
ถ้าหากพูดถึงกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามคงจะขาด Vingroup ไปไม่ได้ บทความนี้จึงจะมาแนะนำและอัพเดตข้อมูล ของ Vingroup Joint Stock Company (VIC) หรือ Vingroup JSC กันค่ะ ความเป็นมา • ก่อตั้งในยูเครนโดยกลุ่มวัยรุ่นไฟแรงชาวเวียดนาม ในปี 1993 ด้วยชื่อเดิม Technocom เริ่มต้นด้วยธุรกิจการแปรรูปอาหารภายใต้แบรนด์ Mivina และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว...

วันวานกับวันนี้

0
โลกในมุมมองของ Value Investor    18 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแก่ตัวลงทำให้ชอบมองย้อนหลังและเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันในทุกเรื่องทุกประเด็นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องที่ผมคิดว่าเป็น  “แนวโน้ม” ใหญ่  หรือเป็นกระแสที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวทางเดียว  ไม่ใช่เรื่องที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นกลับไปมาหรือขึ้นลงเป็นแฟชั่น ในบทความนี้ผมคงพูดเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นหลักและก็จะเป็นเรื่องที่มาจากความเข้าใจและความรู้สึกที่เก็บสะสมมาต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ได้อ้างอิงตัวเลขแบบวิชาการ   อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าตัวเลขจริงก็คงไม่ผิดไปมากจนทำให้ข้อสรุปนั้นมีความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องแรกก็คือการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งในอดีตนั้นเราเคยโตเร็วมาก  ช่วงเวลาส่วนใหญ่เราเคยโตประมาณ 7% ต่อปี  บางช่วงสั้น ๆ  เราเคยโตเกิน 10% และช่วงที่เราประสบ “ปัญหา” ทางเศรษฐกิจ เราก็โตประมาณ 5% แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าเราจะโตแค่ 3% ต่อปี หรือน้อยกว่านั้น  นั่นเป็นตัวเลขคร่าว ๆ  ผมจำได้ว่าในช่วงที่เศรษฐกิจโตเร็วนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความคึกคักมาก  ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้น  แค่เห็นแสงไฟนีออนในยามค่ำคืนที่เยาวราชและต่อมาแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่เป็นแหล่งของ “คนกลางคืน” มันก็บอกได้ถึงความเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว  ต่อมาก็เป็นเรื่องของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเต็มถนน  การผุดขึ้นของคอนโดมิเนียม  การเติบโตของห้างค้าปลีกสมัยใหม่  และแม้แต่ร้านอาหารจีนหรืออาหารทะเลที่แสนแพงต่าง ๆ  เหล่านี้  ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนรวยขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น  ตรงกันข้าม  ในระยะหลังหรือวันนี้  ผมก็เริ่มเห็นสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังหงอยเหงาลง ภัตตาคารหรูหลาย ๆ  แห่งที่ผมเคยไปกินต่อเนื่องมาเป็นสิบ ๆ ปี  ค่อย ๆ  ทยอยปิดตัวลง  จริงอยู่  การเปลี่ยนพฤติกรรมของการกินก็คงมีส่วนบ้าง  แต่ผลจากภาวะเศรษฐกิจน่าจะมากกว่า ตลาดหุ้นเมื่อวันวานกับวันนี้นั้น  ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร  สิ่งที่ชัดเจนก็คือการลดลงของนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อขายหุ้นลงทุนเองในตลาดนั้น  หลังจากที่ Peak หรือขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว  บัดนี้ดูเหมือนว่าจะลดลงไปมาก  จากตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันประมาณ 70-75% ในช่วงต้น ๆ  ของการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์  และสูงเกิน 50% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดมานานมาก  เดี๋ยวนี้เหลือแค่ประมาณ 30-40%  โดยที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อขายกันประมาณ 25-35% ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงวันนี้  ผู้เล่นใหม่ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คือนักลงทุนสถาบันที่ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 15% จากที่มีบทบาทน้อยมากในอดีต ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กเทียบกับขนาดหรือ Market Cap. นั้นสูงมากในอดีตซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นที่มักเป็นรายย่อยนั้นเป็น  “นักเก็งกำไร” ที่ซื้อขายหุ้นเพราะหวังส่วนต่างของราคาหุ้นในระยะสั้น ในช่วงที่การเก็งกำไรสูงสุดประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น  การเห็นหุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็ก ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดจำนวนหลายตัวเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกติ  แต่ในวันนี้หุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็กแทบไม่เคยติดอันดับเลย  นักเก็งกำไรเองนั้นก็ยังคงอยู่  แต่ก็มีน้อยลงอานิสงค์จากการที่หุ้นตัวเล็กมีราคาตกลงไปมากซึ่งทำให้นักเล่นหุ้นหายไปจากตลาดไม่น้อย  นักลงทุนส่วนบุคคล “รายใหญ่” หลายคนผันตัวเองไปเล่นเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่โดยใช้เครื่องมือหรือตราสารทางการเงินที่สามารถ  “ขยายผลของราคาโดยการกู้” เช่น  บล็อกเทรด  มาเล่นแทนการเล่นหุ้นขนาดเล็ก ในอดีตนั้น  หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมาก  ราคาขึ้นไปเป็นหลายเท่าตัวในเวลาไม่นานมักจะมีแต่หุ้นขนาดเล็กหรือกลาง-เล็ก สาเหตุมักจะมาจากการที่บริษัทมีการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นซึ่งทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรโดยการเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมากจนหุ้นถูก “Corner” ปริมาณ Free Float ที่มีน้อยทำให้หุ้นสามารถถูกกำหนดโดย “เจ้ามือ” ที่มักเป็นนักลงทุนรายใหญ่เมื่อเทียบกับนักลงทุนรายย่อยอื่น ๆ  แต่เดี๋ยวนี้หุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่มี Free Float คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมดไม่มากก็สามารถถูกต้อนเข้ามุมเหมือนกัน  เหตุผลก็คือ  นักลงทุนสถาบันที่มีเม็ดเงินจำนวนมากได้เข้ามาเล่นในเกมนี้ด้วย  ก่อนหน้านี้อาจจะเล่นในหุ้นขนาดกลางหรือกลาง-เล็ก  เวลานี้หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการเติบโตเร็วก็วิ่งเร็วได้จนไม่น่าเชื่อเหมือนกัน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  นักลงทุนสถาบันบางแห่งเริ่มเข้ามาทำตัวเหมือนนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ในตลาด ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่อดีตนั้น  เราไม่เคยขาด  “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่เป็นบุคคลธรรมดา  ตั้งแต่จำความได้  เรามี “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดใหม่ ๆ  ในช่วงแรก ๆ  ก็มีไม่กี่คน  พวกเขามีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นบางตัวในบางเวลามาตลอดและมักจะเป็นที่รู้กันในวงการ  บางครั้งมีถึงขนาดจะไปเทคโอเวอร์แบ้งค์ขนาดใหญ่  แน่นอน  ในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะในยามที่ตลาดประสบกับวิกฤติพวกเขาก็มักจะห่างหายไปบ้าง  แต่เมื่อตลาดหุ้นคึกคักขึ้นก็จะกลับมาใหม่  ขาใหญ่นั้น  หลายคนก็หายไปจากตลาดเมื่อเวลาผ่านไปแต่หลายคนก็ยังคงอยู่และใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  ตามตลาดหลักทรัพย์ที่โตขึ้น  ชื่อของพวกเขานั้นทุกคนในตลาดต่างก็รู้จักดีเพราะอยู่มานานเป็นสิบ ๆ ปี แต่คนอาจจะไม่รู้ว่าในวันนี้  ขาใหญ่หรือเซียนหุ้นรายใหม่นั้นเกิดขึ้นไม่น้อยโดยที่หลายคนนั้นไม่เป็นที่รู้จักของคนในสังคม  พวกเขาเพิ่งเติบโตขึ้นมา  ส่วนใหญ่อาจจะไม่เกิน 10 ปีด้วยซ้ำ   แต่ขนาดของเม็ดเงินและความสามารถที่จะขับเคลื่อนหุ้นนั้นมหาศาล  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกล้าได้กล้าเสียกว่าในการที่จะ Leverage หรือกู้เงินขยายผลการลงทุนเป็นหลาย ๆ  เท่าตัว  อิทธิพลของนักลงทุนรายใหญ่รุ่นใหม่นั้นน่าจะแซงเซียนหุ้นรุ่นเก่าไปแล้ว  ในขณะที่เซียนหุ้นรุ่นเก่านั้นก็กำลังเข้าสู่วัยสูงอายุและอาจจะค่อย ๆ  ถอนตัวออกไปจากตลาดในไม่ช้า สมัยก่อน คือช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 เป็นเวลา 22 ปี นั้น  คนที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” นั้น  แทบจะเรียกว่าไม่มี  มีแต่คน “เล่นหุ้น”  ที่เป็น “รายใหญ่” หน่อยก็มักเป็นคนทำธุรกิจที่ชอบเก็งกำไรและมีเงินมากหน่อยก็จะเข้ามาเล่นหาเงินจากตลาดหุ้น  นักลงทุนที่เหลือก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่มักจะเป็นแม่บ้านหรือคนที่ชอบเก็งกำไรหรือเล่นการพนัน  คนที่เป็นพนักงานบริษัทที่จะเล่นหุ้นนั้นจะมีก็แต่คนที่อยู่ในวงการการเงินและหลักทรัพย์  การเล่นหุ้นนั้นมักจะอาศัยข่าวสารข้อมูลที่เป็นเรื่องของภาพใหญ่และเหตุการณ์และกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท  แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ  “ข้อมูลภายใน”  เกี่ยวกับผลประกอบการและการเข้ามาเล่นของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเกิดขึ้นของแนวความคิดการลงทุนแบบ VI มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาประมาณ 20 ปี กลุ่มของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปมาก นักลงทุนส่วนบุคคลกลายเป็นคนกินเงินเดือนหรือคนทำงานส่วนตัวที่มีรายได้และการศึกษาสูง  นักลงทุนสถาบันเกิดขึ้นมากมายอานิสงค์จากการส่งเสริมของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนหุ้นระยะยาว  กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนประกันสังคม  และกองทุนต่าง ๆ  สารพัดนอกจากนั้น  การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์และสังคมที่คนไทยต่างก็มีลูกน้อยลงมากหรือไม่มีเลยทำให้ต้องลงทุนเพื่อการเกษียณของตนเองแทนที่จะหวังพึ่งพาลูก  ทั้งหมดนี้ทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้คิดว่าหุ้นเป็นเรื่องของการพนันแต่เป็นการลงทุน  “เพื่อชีวิต” การลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้นไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในธุรกิจ  และดังนั้น  การวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลของบริษัทเพื่อที่จะใช้เลือกหุ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ  ทั้งหมดนี้ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกิจกรรมที่สำคัญระดับชาติ  ตลาดหลักทรัพย์กลายเป็น “เสาหลัก” ที่สำคัญไม่แพ้สถาบันหลักอื่น ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ  เศรษฐกิจในอดีตของเราก้าวหน้าเร็วมากแต่กำลังชะลอลงอย่างแรงในวันนี้  ส่วนตลาดหุ้นของเราก็เช่นกัน  มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรงมั่นคงมีมาตรฐานดีขึ้นมากมานาน  แต่การเติบโตของหุ้นที่ค่อนข้างนิ่งมานานถึง 6-7 ปี รวมถึงการลดลงของการสนับสนุนจากภาครัฐในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็อาจจะทำให้ตลาดหงอยลงได้เช่นกัน    

ตลาดหุ้นไทย VS ตลาดหุ้นนิวยอร์ก

0
โลกในมุมมองของ Value Investor     11 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์คจะทำสถิติสูงสุดตลอดกาลใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ  จนล่าสุดคือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ดัชนีปิดที่ประมาณ 28,824 จุด ทั้ง ๆ ที่อเมริกากำลังมีปัญหาสงครามการค้ากับจีนรวมถึงการพิพาททางทหารครั้งรุนแรงกับอิหร่าน  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนอ้างว่าทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยถดถอยลง  ดัชนีปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นไปแค่ 1% และน่าจะย่ำแย่ต่อไปในปีนี้  อย่างไรก็ตาม  ดัชนีตลาดหุ้นของโลกโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายต่างก็ปรับตัวขึ้นดีมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่าน  ว่าที่จริงปีที่แล้วนั้นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นดีที่สุดปีหนึ่ง  ดัชนีดาวโจนส์เองก็ปรับตัวขึ้นไปในระดับ 20%  นี่ทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยรู้สึกท้อแท้ผิดหวังกับการลงทุน  หลายคนถอนตัวออกจากตลาด  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย  ว่าที่จริงความท้อแท้หมดหวังนั้นเริ่มก่อตัวมานานพอสมควรแล้วอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2561 ที่ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงไปประมาณ 11% โดยที่  “หุ้นยอดนิยม” ที่เป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบเล่นกันมากนั้น  บางตัวตกลงไปเกินครึ่ง  อนาคตของตลาดหุ้นไทยสำหรับนักลงทุนหลายคนดู  “มืดมน” ตลาดหุ้นอเมริกาดู “สดใส” ว่าที่จริงตลาดหุ้นอเมริกาตั้งแต่ปี 2009 หลังจากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 นั้น  ปรับตัวดีขึ้นมาตลอดแทบทุกปีเป็นเวลา11 ปีแล้ว  สิ้นปี 2008 ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ประมาณ 8,000 จุดเศษ ๆ  ถึงปัจจุบันดัชนีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.6 เท่า  คิดแล้วเท่ากับผลตอบแทนที่ปีละ 12.3% แบบทบต้นไม่รวมปันผล  นี่เป็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นอเมริกา  คือเป็นตลาดกระทิงที่ยาวมากเกิน 10 ปีและให้ผลตอบแทนที่สูงมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  เพราะในอดีตนั้นตลาดกระทิงมักจะกินเวลาโดยเฉลี่ยแค่ 5-6 ปี  ที่สูงเป็น 10 ปีนั้นมีน้อยมาก  นี่เป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกาอย่างแท้จริง  และเมื่อคำนึงถึงเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนของอเมริกาที่ดูเหมือนว่าจะยังดีมากเพราะเป็นเศรษฐกิจที่มีพลวัตรเป็นเศรษฐกิจดิจิตอลที่ก้าวหน้าและยังมีประชากรที่เพิ่มขึ้นและ  “ไม่แก่”  เมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าอื่น ๆ ในโลก คนอาจจะคิดว่าตลาดหุ้นไทย “แย่มาก”  อนาคตไม่รู้อยู่ที่ไหน?  แต่ถ้ามองย้อนหลังไป  11 ปีหลังวิกฤติซับไพร์มเหมือนกันก็จะพบว่าตลาดหุ้นไทยเองนั้นก็ปรับตัวดีขึ้นมากเหมือนกัน  ว่าที่จริงไม่แพ้ตลาดหุ้นอเมริกาหรือดัชนีดาวโจนส์เลย สิ้นปี 2008 ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 450 จุด  ถึงวันที่ 10 มกราคม 2563 ดัชนีอยู่ที่ 1,581 จุด หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 เท่าเกือบเท่ากับการเติบโตของดัชนีดาวโจนส์ในเวลาเดียวกัน  ถ้าคิดรวมปันผลแล้ว  ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยดีกว่าตลาดนิวยอร์กด้วยซ้ำ แต่ความแตกต่างของการเติบโตหรือผลตอบแทนจากตลาดทั้งสองในเวลา 11 ปีหลังวิกฤติก็คือ  ดัชนีดาวโจนส์นั้นมีการเติบโตค่อนข้างสม่ำเสมอกว่าตลาดหุ้นไทยมาก   ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตขึ้นแรงมากในช่วง 4 ปีหลังวิกฤติ โดยที่ปี 2552 ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 63% ปี 53 ขึ้นไปอีก 41% ปี 54 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ -0.7% พอถึงปี 2555 ดัชนีขึ้นไปอีก 36% รวมแล้วในเวลา 4 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้นไป 942 จุดหรือเพิ่มขึ้นกว่า 200% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 33%  และนี่คือ “ยุคทอง” ของนักลงทุนส่วนบุคคลโดยเฉพาะที่เป็น VI และนักเก็งกำไรที่มัก “ทุ่มสุดตัว” และทำให้เกิด “เศรษฐี”  จากหุ้น  และ  “เซียนหุ้น” จำนวนมาก  พวกเขามักจะ “ลงทุนในหุ้น 100%”  หลายคนเกินร้อยโดยการใช้มาร์จินซื้อขายหุ้น   นั่นน่าจะก่อให้เกิด “วัฒนธรรมการลงทุนในหุ้น” สำหรับคนไทยจำนวนมากโดยเฉพาะที่ยังเป็นหนุ่มสาว  หุ้นไม่ใช่การเก็งกำไรหรือการพนันอีกต่อไป  แต่หุ้นคือ ‘‘ชีวิต”  แม้แต่นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการก็ยังเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  บ่อยครั้งก็ผ่านลูกหลานที่ได้สร้างผลตอบแทนเป็นที่ประจักษ์ว่า  ลงทุนในหุ้นดีกว่าการทำธุรกิจของตนเอง หลังจาก “สี่ปีทอง” ของตลาดหุ้นจบลงที่ดัชนีประมาณ 1,400 จุดในปี 2555 แล้ว  ดัชนีก็แกว่งตัวเป็น Sideway มาตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาไม่ถึง 200 จุดคิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเพียง 2.8% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ในเวลาเดียวกันนั้นยังคงเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นถึงปีละ 10% โดยที่ 4 ปีหลังนี้ในสมัยประธานาธิบดีทรั้มป์ดัชนีดาวโจนส์เติบโตขึ้นถึงปีละ12.8% โดยที่หุ้นที่นำให้ดัชนีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นมาจากหุ้นดิจิตอลยุคใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและประกอบกับการลดภาษีนิติบุคคลที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ค่า PE ของหุ้นไม่ได้สูงเกินไปจนทำให้ราคาหุ้นเป็น  “ฟองสบู่” และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์และดัชนีอื่น ๆ  ในประเทศสหรัฐไม่ประสบกับปัญหา “วิกฤติตลาดหุ้น” อย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนเกรงกลัวกัน มองในฐานะของนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุนกันเป็นสิบ ๆ ปีหรือตลอดชีวิต  เราคงบอกไม่ได้ว่าตลาดไหนดีกว่าชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐ  เพราะตัวเลขผลตอบแทนโดยเฉลี่ยระยะยาวของทั้งสองตลาดนั้นใกล้เคียงกันมาก  ไม่ใช่แค่ 11 ปีที่ผ่านมาแต่ย้อนหลังไปถึงช่วงเวลาเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ 45 ปีที่ผ่านมาที่ตลาดหลักทรัพย์สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนประมาณเกือบ 10% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งก็ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐ  ประเด็นที่ว่าบางช่วงบางตอนตลาดหุ้นหนึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอีกตลาดหนึ่งนั้น  จริง ๆ  แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  ในขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ “เลวร้าย” ตลาดอาจจะไม่ไปไหนเป็นทศวรรษ  แต่ในตลาดหุ้นอเมริกาเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  ผมอยากสรุปว่านับจากวันเปิดตลาดหุ้นหรือนับจากช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติซับไพร์มซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก  ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐนั้น  “ดีเสมอกัน”   คำถามที่สำคัญก็คือ  เวลาต่อจากนี้ล่ะ  ตลาดหุ้นไทยหรือตลาดนิวยอร์กหรือตลาดหุ้นอเมริกาจะดีกว่าในระยะยาว  ซึ่งนี่ก็จะเป็นคำถามสำคัญโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่หรือนักลงทุนคนหนุ่มสาวที่จะต้องตัดสินใจลงทุนเพื่อชีวิตอีกหลายสิบปีข้างหน้า  เพราะการตัดสินใจผิดก็จะทำให้ชีวิตทางการเงินแตกต่างไปมาก  สำหรับผมเองนั้น  ผมคิดว่าในระยะยาวแล้ว  ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมก็จะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ  และเศรษฐกิจของประเทศเองนั้นก็มักจะถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญ 3 ประการนั่นก็คือ  1) ระบบการปกครองและการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ  2) กำลังแรงงานของประเทศว่ามีมากขึ้นหรือน้อยลง  และ 3) ก็คือ คุณภาพของคนหรือแรงงานว่ามีความสามารถหรือประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งถ้ามองว่าคนไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและในไม่ช้ากำลังแรงงานก็จะน้อยลงเมื่อเทียบกับอเมริการวมถึงประเด็นอื่น ๆ  ที่กล่าวถึงแล้ว  ผมก็คิดว่าภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาก็น่าจะดีกว่าไทยในอนาคต  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าตลาดหุ้นในอนาคตของอเมริกาน่าจะดีกว่าตลาดหุ้นไทยในระยะยาวนับจากวันนี้ อย่างไรก็ตาม  ในฐานะที่เป็นคนไทยและอาศัยอยู่ในประเทศไทย  การลงทุนในประเทศไทยก็น่าจะมีความได้เปรียบอยู่พอสมควรในการที่จะรู้จักบริษัทหรือหุ้นรายตัวเป็นอย่างดี  ดังนั้น  คนที่เป็นนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ก็น่าจะสามารถเลือกหุ้นรายตัวได้ดีรวมถึงอาจจะเห็นโอกาสหรือจังหวะในการลงทุนในหุ้นรายตัวที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้าเราลงทุนแบบ Focus หรือลงทุนที่เน้นการถือหุ้นไม่กี่ตัว  โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติหรือดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดก็มีความเป็นไปได้  ดังนั้น  กล่าวโดยสรุปก็คือ  ถ้าจะลงทุนแบบอิงดัชนีในกองทุนรวมของประเทศ  ผมคิดว่าลงทุนในอเมริกาน่าจะดีกว่า  แต่ถ้าจะลงทุนแบบเลือกหุ้นเอง การลงทุนในประเทศไทยก็ยังมีโอกาสที่จะเอาชนะการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาได้ทั้ง ๆ ที่ภาพรวมโดยเฉลี่ยในระยะยาวตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ดีเท่า  โดยที่เหตุผลก็คือ  เรารู้จักหุ้นในตลาดไทยดีกว่าโดยเฉพาะในหุ้นตัวเล็กลงมาที่บางตัวสามารถโตได้เร็วมากเทียบกับหุ้นตัวใหญ่ทั้งในตลาดหุ้นไทยและอเมริกา

หุ้นรายตัว VCB กับกำไรหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯในปี2019

0
ในช่วงปีที่ผ่านมา ภาคการธนาคารของเวียดนามได้รับการพูดถึงและถูกคาดการณ์ถึงศักยภาพในการเติบโตที่ดีเยี่ยม ในบทความนี้จึงจะมา แนะนำหุ้น bluechip ในดัชนีVN30 หุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่ทำกำไรมากที่สุดของตลาดหุ้นเวียดนามในปี 2019 ค่ะ Joint Stock Commercial Bank for foreign Trade of Vietnam (VCB : HOSE) หรือ Vietcombank...

Ray Dalio: หลักการสู่ความสำเร็จ

0
โลกในมุมมองของ Value Investor      4 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​Ray Dalio เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกองทุนหนึ่งตั้งแต่ปี 1975 หรือประมาณ 45 ปีมาแล้ว  เวลานี้เขาอายุประมาณ 70 ปีและน่าจะเริ่มเกษียณจากงานหลักแต่ก็ยัง Active หรือยังทำงานคึกคักและเป็นที่ปรึกษาและให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความเป็นไปของโลกรวมถึงการเขียนหนังสือให้ความรู้จากประสบการณ์ในชีวิตของตนเองในฐานะของนักลงทุนและผู้บริหารกองทุนที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา  ว่าที่จริงตอนนี้เขาดังกว่าตอนเป็นผู้บริหารมาก  ส่วนหนึ่งจากการที่เริ่มเขียนหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลกโดยเฉพาะหนังสือที่ชื่อว่า “Principles: Life and Work”  ที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตและการทำงานของตนเองที่ประสบความสำเร็จว่ามาจากการใช้หลักการต่าง ๆ  ที่เขาพัฒนาขึ้นมาตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม  เขาไม่ได้พูดถึงหลักการการลงทุนซักเท่าไร  ซึ่งทำให้นักลงทุนแบบ VI รวมถึงผมก็ยังไม่รู้ว่าเคล็ดหรือหลักการลงทุนของเขาเป็นอย่างไร แน่นอนว่าเขาไม่ใช่นักลงทุนแนว “VI พันธุ์แท้” แบบบัฟเฟตต์หรืออีกหลายคนที่เป็นไอดอลของสาวก VI ทั่วโลก...

ทำความรู้จักหุ้นรายตัว VNM กับการเข้าซื้อ GTNFoods

0
เริ่มทศวรรษใหม่ด้วยหุ้นรายตัวในดัชนีVN30 หุ้น VI ที่เป็นที่สนใจและน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยในระดับหนึ่งแล้วนะคะ นั่นคือ Vietnam Dairy Products JSC (VNM) หรือ Vinamilk ค่ะ VNM เป็นกลุ่มบริษัทที่มี Market cap ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ดำเนินธุรกิจมาหลายสิบปี โดยมีธุรกิจหลักเกี่ยวกับการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม อาทิเช่น นมสด โยเกิร์ต นมเปรี้ยว...

Top 10 เหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นเวียดนามปี 2019

0
พรุ่งนี้ปีใหม่! 2020 แล้ว เรามาสรุป 10 เหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้ จากชมรมนักข่าวหลักทรัพย์เวียดนามกันดีกว่าค่ะ กฎหมายใหม่ได้รับการอนุมัติ 26 พ.ย. 2019 รัฐบาลได้อนุมัติกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2021 โดยกฎหมายฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงคุณภาพของ บริษัทในตลาดหุ้นและปกป้องนักลงทุนมากขึ้น รวมทั้งปูทางไปสู่การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์เวียดนามและศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และการชำระหนี้ของเวียดนามซึ่งรัฐถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ของทุน หรือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดยกเครื่องแผนตลาดหุ้น 28 ก.พ. 2019 คำสั่ง...