Viet Nam Listed Company Awards (VLCA) 2018
Top 5 ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ The Best Corporate Governance Awards ได้แก่
Bao Viet Holdings
Hau Giang Pharmacy
FPT
HCM City Secorities Corporation
Vinamilk
Best Annual Report ได้แก่
Asia Commercial Bank(ACB)
Ca Mau Petroleam Fertiliser
Novaland
Thanh...
Vinamilk ขึ้นแท่นแบรนด์ที่ทรงคุณค่าที่สุด 3 ปีซ้อน
ผู้ผลิตนม Vinamilk ขึ้นแท่นแบรนด์ที่ทรงคุณค่าที่สุดในเวียดนามของนิตยสาร Forbes เวียดนาม 3 ปีติดต่อกัน ด้วยมูลค่าแบรนด์โดยประมาณที่ 2.28 พันล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าแบรนด์ของบริษัทนม Vinamilk คิดเป็นเกือบ 30% ของมูลค่าแบรนด์ของ 40 บริษัทในลิสต์ของนิตยสาร Forbes เพิ่มขึ้น 30% จากมูลค่าแบรนด์ในปีที่แล้ว และ 50% จากปี 2016
การเพิ่มขึ้นของมูลค่าแบรนด์...
Vietnam Airlines และ Cau Vang(Gloden Bridge) คว้ารางวัลสำคัญด้านการท่องเที่ยว
สายการบิน Vietnam Airlines ได้รับรางวัลชนะเลิศ สายการบินชั้นนำของโลก Premium Economy Class 2018 และ Cultural Airlines ชั้นนำของโลก 2018 จาก
The World Travel Awords (WTA) รางวัลอันทรงเกียรติในวงการการท่องเที่ยว
รางวัลได้ถูกประกาศเมื่อไม่นานมานี้ในงานกาล่าดินเนอร์ WTA 2018 ที่ยิ่งใหญ่ในเมืองลิสบอน โปรตุเกส
นับเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้วที่...
GIC กับการลงทุนในเวียดนาม : GIC กองทุนความมั่งคั่งของสิงค์โปร มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดกับ VinHomes
จนถึงตอนนี้ด้วยมูลค่าทางตลาดปัจจุบันที่ 15 ทริลเลี่ยนVND (639.25 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามด้วย Masan ที่ 6 ทริลเลี่ยนVND (255.7ล้านเหรียญสหรัฐ) และ Vietjet Air ที่ 3.7 ทริลเลี่ยนVND (157.68 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ด้วยการลงทุนในหลักทรัพย์เกือบ 30 ทริลเลี่ยนVND (1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในเวียดนาม...
ผ่านไปแล้ว VVInvestor day 28-2 มี.ค. 2561 Tour. Learn. Earn more in Ho Chi minh...
ผ่านไปแล้ว VVInvestor day 28-2 มี.ค. 2561 Tour. Earn. Learn more in Ho Chi minh City.
ขอบคุณ:
- คุณ Soraya Runckel และ คุณพันธ์พงษ์ ยิ่งยง สำหรับการแชร์ Work &...
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 มีนาคม 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐานและระยะยาวนั้น บ่อยครั้งเรามักจะพูดถึงเรื่องของ S-Curve ซึ่งเป็นกราฟที่มีแกนนอนเป็นระยะเวลาและแกนตั้งเป็นยอดขายหรือการเติบโตของบริษัท กราฟนี้มีลักษณะคล้ายตัว S นั่นก็คือ ในช่วงแรก ๆ ของบริษัท ยอดขายหรือรายได้มักจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ ความชันมีน้อยมาก จนถึงจุดหนึ่งที่เป็น “จุดเปลี่ยน”...
งานวิวาห์สะท้านโลก ที่เกาะฟู้โกว๊ก เวียดนาม
งานวิวาห์สะท้านโลก ที่เกาะฟู้โกว๊ก เวียดนาม
ประเทศไทยเป็นประเทศที่นิยมในการเดินมาจัดงานแต่งงาน Destination Wedding ซึ่งมีพักและสถานที่ระดับหรูหรา การคมนาคมที่พร้อมสรรพ สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ชุดแต่งงาน ของชำร่วย การจัดดอกไม้ เรือยอร์ช เป็นต้น
คู่แต่งงานจะมีการใช้จ่ายอย่างน้อยประมาณ 5 - 20 ล้านบาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ร่วมงาน โดยเฉพาะในปัจจุบันกลุ่มคู่แต่งงานอินเดียและฮ่องกง มีความนิยมเดินทางมาจัดงานแต่งงานที่ประเทศไทยจำนวนมาก ที่ผ่านมามีจำนวนคู่แต่งงานจากอินเดียเดินทางมาไม่น้อยกว่า...
สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติย้ายโรงงานจากจีนไปเวียดนาม
อ่านต่อ:
https://www.voathai.com/a/vietnam-sino-us-trade/4715894.html
About this website
VOATHAI.COM
บริษัทต่างชาติจะย้ายโรงงานจากจีนไปเวียดนามเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติย้ายโรงงานจากจีนไปเวียดนาม
UPDATE: ซัมมิต ทรัมป์-คิม เปิดฉาก
UPDATE: ซัมมิต ทรัมป์-คิม เปิดฉาก ทั่วโลกจับตาดีลนิวเคลียร์คืบหน้า
.
การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือครั้งที่ 2 เปิดฉากขึ้นแล้วที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคิมจองอึนเดินทางถึงโรงแรม Sofitel Legend Metropole เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือ และเริ่มต้นพูดคุยแบบตัวต่อตัว
.
คิมจองอึน กล่าวว่า “เราสามารถฟันฝ่าทุกอุปสรรค และมาถึงที่นี่ได้ในวันนี้”
.
“ผมแน่ใจว่าเราจะบรรลุผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้...
การเมืองกับตลาดหุ้น ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเมืองกับตลาดหุ้น
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
9 กุมภาพันธ์ 62
สองสามวันที่ผ่านมาเราได้เห็นข่าวการเมืองที่คนทั่วประเทศต่างก็จับตามองและรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันสั้น เหตุผลที่เราตื่นเต้นนั้นเนื่องจากมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและอาจจะมีผลต่อการแข่งขันในการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าหลังจากที่ประเทศไทยห่างเหินจากการเลือกตั้งมานาน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกกระทบอะไรนัก ดัชนีตลาดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงปิดตลาด และนี่ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลกระทบจากการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นแม้ว่าในทางการเมืองแล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวก็ตาม
ตัวอย่างของเหตุการณ์สำคัญหรือรุนแรงหรือน่ากลัวในทางการเมืองก็เช่น การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้ง การลดภาษีนิติบุคคลในอัตราสูงของทรัมป์ สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน และเรื่องอื่น ๆ อีกมาก หรืออย่างในเมืองไทยก็เช่น การประท้วงของคนเสื้อเหลือง-แดง การเกิดการรัฐประหาร การเลือกตั้งใหญ่ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ในระยะสั้น ๆ มักจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวแรงในระดับหนึ่งทั้งทางขึ้นและลงขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเหตุการณ์ทางการเมืองนั้นจะส่งผลดีหรือผลเสียต่อการลงทุนและบางทีก็ดูว่าเป็นหุ้นกลุ่มไหนที่จะได้รับผลกระทบ—ในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้น ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอดเป็นสิบ ๆ ปีก็มักไม่จะไม่กระทบเท่าไร เหตุผลก็เพราะว่า โลกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนหรือยึดถือนโยบาย “เปิดตลาด” การค้า ไม่มีประเทศสำคัญไหนที่นักการเมืองหรือเหตุการณ์ทางการเมืองนำไปสู่การทำลายการทำงานของธุรกิจหรือการค้าขายระหว่างประเทศอย่างที่โลกเคยเกิดขึ้นในสมัยที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่หลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในเมื่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจซึ่งต่อเนื่องถึงธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ในระยะยาวที่มาจากการเมืองนั้นมีน้อย ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองต่อตลาดหุ้นในระยะยาวจึงมีน้อยตามไปด้วย คนที่ลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยกังวลอะไรนักกับเรื่องทางการเมือง ตราบใดที่การเมืองนั้นไม่ทำลาย “บรรยากาศ” หรือสภาวะแวดล้อมในการทำธุรกิจของเอกชนในระยะยาวแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนนั้นก็คือคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศ และการเมืองเองนั้นแม้ว่าจะไม่ทำลายเรื่องของธุรกิจ แต่มันก็อาจจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราแย่ลงได้ คนนั้นไม่ใช่แค่ว่าขอให้มีเงินแล้วก็มีความสุข เราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งรวมถึงสภาวะอย่างอื่นเช่น อากาศที่ดีไม่มีฝุ่นละอองเป็นพิษ เราต้องการเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น เราต้องการอยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกับคนอื่น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีก็มักจะมาจากการเมือง
ดังนั้น นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI จึงต้องสนใจการเมือง การเมืองที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในประเทศนั้นก็คือการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงซึ่งเคารพสิทธิของคนทุกคนโดยการยอมรับว่าทุกคนนั้นมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ไม่มีการบังคับว่าเราทำอะไรได้หรือไม่ได้ถ้าไม่ไปรบกวนคนอื่น มีระบบเศรษฐกิจที่เปิดและมีการแข่งขันโดยเสรี และด้วยหลักการแบบนี้ เราก็จะได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลนั้นเองจะต้องทำการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกเขาเข้ามา และนั่นจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นและความเหลื่อมล้ำของคนจะน้อยลง เพราะถ้ารัฐบาลไหนไม่ทำแบบนั้น เขาก็จะไม่สามารถได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้
แน่นอนว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับแนวทางแบบที่กล่าว หลายคนไม่อยากให้เสียงส่วนใหญ่เป็นคนกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาล เขาอาจจะคิดว่ารัฐแบบเผด็จการนั้นสามารถทำงานได้ดีกว่าเพราะผู้นำสามารถ “สั่งได้” การรับฟังคนส่วนใหญ่ที่ “ไม่มีความรู้” หรืออาจจะ “เห็นแก่ได้” หรือ “ถูกหลอก” ให้ลงคะแนนเลือกคนที่ไม่เหมาะสมนั้น จะไม่สามารถเลือก “คนดี” ให้เป็นรัฐบาลได้ แต่ประวัติศาสตร์บอกเราว่าแนวคิดแบบประชาธิปไตยนั้นมีความเหนือกว่าระบบเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด และประเทศในโลกก็ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงมาเป็นประเทศแบบประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ประเทศที่ยัง “ล้าหลังมาก ๆ” เท่านั้นที่ยังคงระบบแบบเผด็จการอยู่ และระบบประชาธิปไตยที่ผมพูดนั้นก็คือระบบประชาธิปไตยแบบ “สากล” ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตามชื่อของรัฐหรือประเทศที่มักจะมีหลักหรือวิธีการที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งมักจะไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมคิดว่าไม่มีรัฐหรือประเทศไหนในโลกนี้ที่บอกว่าประเทศตนเองไม่ใช่ประชาธิปไตย แม้แต่ประเทศที่เผด็จการที่สุดก็ยังบอกว่าตนเองปกครองระบอบประชาธิปไตย
แม้กระนั้นก็ตาม บางคนก็อาจจะเถียงว่าทำไมจีนหรืออาจจะรวมถึงเวียตนามจึงเจริญเร็วมากทั้งที่ระบบของเขาก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตย เขายังพูดต่อด้วยว่าที่เจริญเร็วนั้นเป็นเพราะจีนนั้นเขาสามารถ “สั่งได้” จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ผมเองอยากจะเถียงว่าถ้าจีนและเวียตนามเป็นประชาธิปไตยเขาจะยิ่งเจริญเร็วและคนมีความสุขกว่านี้ ว่าที่จริงในสมัยแค่ไม่กี่สิบปีก่อนที่ทั้งสองประเทศยังเป็นเผด็จการอย่างหนักนั้น เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของเขาแย่มาก คนไทยที่ไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีนเมื่อ 40 ปีก่อนนั้นต่างก็รู้ซึ้งถึงความจนและความยากลำบากของญาติที่น่าจะมีศักยภาพเท่าเขา แต่หลังจากที่จีนและเวียตนามปรับประเทศมาเป็นแบบประชาธิปไตยมากขึ้น พวกเขาก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกวันนี้คนจีนรวยกว่าคนไทยไปแล้ว เวียตนามเองก็ตามรอยจีนและในที่สุดก็อาจจะรวยไม่แพ้ไทยถ้าเขาปรับตัวเองเป็นประชาธิปไตยแบบสากลมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากสองประเทศนี้แล้ว ผมคิดว่าเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้จะเป็นตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่าประชาธิปไตยนั้นเหนือกว่าระบบเผด็จการอย่างชัดเจนเพราะสองประเทศนี้เริ่มต้นพร้อมกันเมื่อประมาณ 70 ปีก่อนที่ทุกอย่างเหมือนกันทั้งเรื่องของคุณภาพของคนและทรัพยากรของประเทศ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกาหลีใต้ที่เป็นประเทศประชาธิปไตยแม้ว่าในช่วงแรก ๆ ยังมีปักจุงฮีเป็นเผด็จการอยู่ในระดับหนึ่ง แต่หลังจากการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของนายพลชุนดูวานในปี 1980 หรือเกือบ 40 ปีมาแล้วและการกลับมาสู่ระบบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งประมาณ 5-6 ปีหลังจากนั้น เกาหลีใต้ก็ไม่มีรัฐประหารอีกเลย และประเทศก็เจริญขึ้นเร็วมากจนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน ในขณะที่เกาหลีเหนือนั้นยังคงเป็นเผด็จการมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่เจริญเติบโตและระดับการพัฒนาของประเทศในปัจจุบันก็แทบจะถือว่าต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่งยกเว้นในทางทหารที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยทั่วไปเลย
ถ้าประเทศไทยจะเจริญเติบโตต่อไปจนกลายเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบสากลในการปกครองประเทศ ตัวอย่างในโลกนี้มีเต็มไปหมด ว่าที่จริงแทบจะไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คนที่คิดว่าเรามีวัฒนธรรมและขนบประเพณีเฉพาะตนเป็นเอกลักษณ์และเราไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบคนอื่นนั้นผมคิดว่าควรศึกษาประเทศอื่น ๆ ที่ก็เคยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกัน สำหรับผมแล้ว ระบอบประชาธิปไตยที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่อง “สากล” คล้าย ๆ กับอีกหลายเรื่องเช่น การใช้สื่อสังคมดิจิตอล การดูแลสิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ อีกมาก โลกทุกวันนี้จริง ๆ แล้วมี Civilization หรืออารยะธรรม เดียว มันหมดยุคอารยะธรรมอียิปต์ อารยะธรรมจีน หรือแม้แต่อารยะธรรมตะวันตกไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอารยะธรรมไทย เดี๋ยวนี้มีแต่ “อารยะธรรมโลก” ที่อาจจะนำโดยกูเกิล เฟซบุค อะมาซอน และไมโครซอฟท์
ข้อสรุปสุดท้ายของผมเกี่ยวกับเรื่องการเมืองก็คือ ผมจะคอยดูและวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าพัฒนาการทางการเมืองของไทยในระยะยาวจะพัฒนาไปทางไหน ในบางครั้งผมเองก็กลัวเหมือนกันว่าระบบการปกครองของประเทศไทยอาจจะ “ถอยหลัง” ไปจากระบบประชาธิปไตยแบบสากลซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการลงทุน—และชีวิต แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ ผมก็มักจะไม่แคร์และไม่สนใจมากนัก แต่ถ้าจะให้เข้าไปเล่นหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมคงไม่ทำ ผมเองยอมรับว่าตนเองไม่ใช่ “นักสู้” ที่จะเข้าไปต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองให้เป็นอย่างที่ตนเองต้องการ แต่เป็นแค่ “นักเลือก” เวลาเขาให้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร