โลกในมุมมองของ Value Investor 15 เม.ย. 66
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแบบ “VI พันธุ์แท้” มานาน และได้เห็น VI โดยเฉพาะที่เป็นคนรุ่นหลังหน่อยโดยเฉพาะที่มีอายุน้อยลงมาจำนวนมากที่เรียกตัวเองว่าเป็น VI เหมือนกัน แต่ก็มีหลักการและความคิดแตกต่างจาก VI ดั้งเดิมไปพอสมควร เฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาจะเน้นการลงทุนที่ค่อนข้าง “Aggressive” และต้องการ “ทำกำไร” อย่างรวดเร็วแบบ “นักเก็งกำไร” ที่ผมเรียกว่าเป็น “Value Speculator” แทนที่จะเป็น “Value Investor”
ที่จริงคำว่า Value Speculator นั้น ไม่ได้มีในสารบบทางวิชาการ สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับ Value Investor ก็คือ “Growth Investor” ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ Value Investor แนว วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือแนว VI ที่เน้นลงทุนใน “ซุปเปอร์สต็อก” อย่างที่ผมเองทำในช่วง “ปีทอง” หรือ “ทศวรรษทอง” ของการลงทุนแบบ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 เมษายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปรากฎการณ์ “น่าทึ่ง” ของตลาดหลักทรัพย์เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนก็คือ หุ้น DELTA ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับอิเลกทรอนิกส์และระบบสำรองไฟฟ้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นรวมถึงในการผลิตรถที่ใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงมาก โดยวันที่ 29 มีนาคม 2566 ปรับตัวขึ้น 2.86% วันที่ 30 ราคาวิ่งขึ้นไปถึง 9.35% ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีอะไร และถึงวันที่ 31 ราคาก็ยังปรับตัวขึ้นต่ออีก 3.82% รวมแล้วภายในเวลา 3 วันทำการ ราคาหุ้น DELTA ปรับตัวขึ้นไปจาก 978 บาทต่อหุ้นเป็น 1,142 บาท คิดเป็น 16.8% ทำให้บริษัทมีมูลค่าหุ้นหรือ Market Cap. ถึง 1,424,509 ล้านบาท และกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่หรือมีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหุ้นที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 มีมูลค่าน้อยกว่าประมาณ 30%
ที่จริงหุ้น DELTA เมื่อ 3-4 ปี ก่อนนั้น ยังเป็นหุ้น “ขนาดกลาง” ที่แทบไม่มีใครสนใจที่จะเข้าไปลงทุนหรือเข้าไปเล่น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 มี.ค. 66
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
กำหนดการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อที่จะเลือกตั้ง ส.ส. และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือนนับจากวันนี้นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะกำหนด “อนาคต” ของประเทศไทยว่าเราจะไปทางไหน จะ “ก้าวหน้าหรือถอยลงคลอง” ในระยะยาว ถ้าจะให้เทียบกับสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ การรบหรือการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่าโลกหรือประเทศไทยจะสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคง มีการปกครองที่ราบรื่นและทุกฝ่ายเคารพยอมรับใน “ระเบียบ” ที่ยุติธรรมมีเสรีภาพและความเท่าเทียมกันในฐานะของความเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะเกิดมาในฐานะอย่างไรและเชื้อชาติไหน
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่าย “เผด็จการอำนาจนิยม” นำโดยเยอรมันชนะฝ่าย “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ใน “ยกแรก” สามาถยึดยุโรปได้เกือบทั้งหมด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มสะดุดและถดถอยโดยเฉพาะการรบกับสหภาพโซเวียตรัสเซีย จนถึงวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกาได้กำหนดวัน “D-Day” ที่จะ “ยกพลขึ้นบก” ที่ชายหาดนอร์มังดีของฝรั่งเศส และหลังจากนั้นก็บุกตะลุยจนเข้ายึดกรุงเบอร์ลินสำเร็จ เยอรมันพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และโลกก็กลับสู่ความเจริญก้าวหน้าและ “สงบสุข” และมีระเบียบโลกที่เป็นที่ “ยอมรับ” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
การเลือกตั้งในปี 2566 นี้ ซึ่งผมเรียกว่า “E-Day” หรือ “Election Day” จะเป็นวันสำคัญที่จะ “ชี้ชะตาอนาคตของประเทศไทย” หลังจากที่เราเคยเป็นประชาธิปไตยบ้างและอำนาจนิยมบ้างสลับกันไปมาจนกระทั่งถึงเมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้วที่เรา “จอด” อยู่ที่การเป็นอำนาจนิยมมายาวนานและก็ยังไม่รู้ว่าจะออกจากวังวนนั้นได้ไหมจนถึงเมื่อเร็ว ๆ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 18 มีนาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อนดูเหมือนว่าคนในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนต่างก็วุ่นวายสับสนกันทั่วโลกเนื่องจากการล่มสลายของธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank ซึ่งเป็นแบงก์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการแก่บริษัทสตาร์ทอัพและดิจิทัลในคาลิฟอร์เนีย และอีกหลายแบงก์ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้ นอกจากนั้น ก่อนสิ้นสัปดาห์ แบงก์เครดิตสวิสซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่ “ระดับโลก” ของสวิตเซอร์แลนด์ก็เริ่มมีปัญหาในเรื่องของทุนที่ไม่เพียงพอเพราะธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนหนักและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นกองทุนจากประเทศตะวันออกกลางปฎิเสธที่จะเพิ่มทุน ทำให้ราคาหุ้นที่ตกต่ำอยู่แล้ว ตกลงไปอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะคนกลัวว่าแบงก์อาจจะต้องล้มในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของทั้งสหรัฐและสวิตเซอร์แลนด์ดูเหมือนว่าจะรีบเข้าแทรกแซงและช่วยเหลือทันทีจนทำให้สถานการณ์ไม่ลุกลามรุนแรงต่อเนื่องไปถึงธนาคารอื่นอย่างเป็นระบบ เฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารกลางของอเมริกาได้ประกาศค้ำประกันเงินฝากทั้งหมดของ SVB ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ฝากเงินทั่วไปว่า เงินฝากของตนเองในแบงก์และแบงก์อื่นจะไม่หายไป ไม่จำเป็นต้องไปถอนเงินออกพร้อม ๆ กันซึ่งจะทำให้เกิด “Bank Run” ซึ่งธนาคารจะมีเงินไม่พอให้ถอนและต้องล้มละลายทันที ส่วนของสวิสเอง แบงก์ชาติก็จัดหาเงินเป็นสภาพคล่องหลายหมื่นล้านเหรียญให้ในกรณีที่มีคนขอถอนเงินจำนวนมาก
ถึงวันนี้เอง ก็ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเหตุการณ์แบงก์รันและแบงก์ล้มที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในอเมริกาและยุโรปนั้นจบลงไปแล้ว ยังมีโอกาสเหมือนกันที่แบงก์จะล้มเหลวต่อไปต่อเนื่องเป็นระบบโดยเฉพาะในยุโรปที่แบงก์เครดิตสวิสมีขนาดใหญ่มากและเป็น “แบงก์หลัก” ที่การแก้ปัญหาอาจจะทำได้ยากกว่าและผลกระทบรุนแรงกว่า ซึ่งถ้ามันส่งผลต่อเนื่องไปยังแบงก์อื่นก็อาจจะทำให้เกิด “วิกฤติ” ทางการเงินขึ้นได้
นั่นทำให้ผมหวนนึกถึงวันที่ผมยังทำงานอยู่ในฐานะผู้บริหารสถาบันการเงินแห่งหนึ่งของไทยในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่สถาบันการเงินหรือแบงก์ที่รวมถึงบริษัทที่ผมอยู่ด้วย ประสบปัญหาและเกิด “Bank Run” อย่างเป็นระบบ และจบลงด้วยการ “ล้ม” ของสถาบันการเงินกว่า 50 แห่งแทบจะพร้อมกันทันที เหลือเพียง 2-3 แห่งที่รอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ปัญหาและผลกระทบที่ตามมาของแบงก์หรือสถาบันการเงินที่รับเงินฝากหรือกู้เงินจากคนอื่นเพื่อมาปล่อยต่อหรือลงทุนกินส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยหรือต้นทุนกับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยหรือจากการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินเช่นพันธบัตรก็คือ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 มีนาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 11 มีนาคม 2566 ผมได้ไปพูดให้กับนักลงทุนในงานสังสรรค์ประจำปีของสมาคมไทย VI ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 300 คน โดยหัวข้อที่จะพูดนั้นเป็นการตอบคำถามที่ผู้เข้าร่วมส่งมาล่วงหน้าและรวบรวมตอบโดยพิธีกรบนเวที คำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจและคนจำนวนไม่น้อยน่าจะอยากรู้ก็คือ ถ้าผมย้อนอายุลงมาเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ผมจะใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศและคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมงานสัมมนาสังสรรค์ประจำปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังโควิด-19 สงบ ซึ่งก็พบว่าคนเข้าร่วมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คนส่วนใหญ่มากเป็นคนที่มีอายุประมาณน่าจะ 30 ปีบวกลบ ซึ่งเป็นวัยที่ทำงานมาได้ระยะหนึ่งและสนใจเรื่องของการลงทุนมาก พวกเขาน่าจะมีการศึกษาสูงอย่างน้อยปริญญาตรีและปริญญาโท มีอาชีพการงานที่มีเงินเดือนดี และมีจำนวนคนเข้าร่วมเป็นผู้หญิงมากขึ้นมาก คนสูงอายุระดับ 40-50 ปีขึ้นไปอย่างที่ผมเคยพบในยุคซัก 4-5 ปีก่อนที่ชอบเข้าร่วมฟังการสัมมนาฟรีมีน้อยมาก
พูดง่าย ๆ นี่คือกลุ่มของ “อีลิท” รุ่นใหม่ที่เอาจริงเอาจังกับการลงทุนและอยากรวยจากตลาดหุ้น เหมือนกับ “เซียนหุ้น” รุ่นก่อนจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จอย่าง “มหัศจรรย์” ซึ่งรวมถึงผมด้วย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถามคำถามนี้ เขาอยากรู้ว่าผมที่ประสบความสำเร็จในยุคที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยกำลังรุ่งเรืองจนถึงประมาณอย่างน้อย 10 ปีก่อนจะทำอย่างเดิมหรือใช้กลยุทธ์แบบเดิมไหม? และเพราะอะไร?
คำตอบของผมก็คือ ประเทศไทย เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย น่าจะผ่านจุดที่รุ่งเรืองมากมาแล้ว สถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปโดยที่เหตุผลสำคัญก็คือ โครงสร้างประชากรไทยที่คนแก่ตัวลงมาก คนสูงอายุเกษียณจากงานที่มีรายได้สูงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนกลุ่มนี้มีจำนวนเป็นล้านคนต่อปี...
ภาพปัญหาอสังหาเวียดนาม หมู่บ้านร้าง โครงการล้ม หุ้นกู้ผิดนัดชำระ เต็มหน้าฟีดแอดจากสื่อไทยในช่วงนี้
แน่นอนว่าอสังหาสัญชาติเวียดนามกำลังมีปัญหา
แต่อีกมุมหนึ่ง ปี 2565 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เวียดนาม
ได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงกว่าปีก่อนหน้า 70%
แตะ 4,450 ล้านดอลลาร์ (153,260 ล้านบาท)
เน้นไปที่โครงการอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ณ วันที่ 20 ธันวาคม 65 FDI ทั้งหมดในภาคอสังหานี้ มูลค่ารวม 66,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.3 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 15.1% ของภาระผูกพัน FDI ทั้งหมดสะสมในประเทศ
ตัวอย่าง1. จากต้นปี - 20 ก.พ.66 อสังหาเวียดนามดึงดูด FDI เกือบ 396.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วกว่าสามเท่า แม้ว่าสภาพแวดล้อมอสังหาในประเทศจะตกต่ำก็ตาม
Samsung และ LG ได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจ จาก 2 พันล้านดอลลาร์ เป็น 4 พันล้านดอลลาร์จากภายหลัง 3. Apple จะเริ่มผลิต MacBooks ในเวียดนามภายในกลางปี 2023 ด้วยเงินลงทุนมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ 4....
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 กุมภาพันธ์ 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาผ่านมาเกือบ 2 เดือนของปี 2566 แล้ว แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้แม้ว่าหลายคนจะมีความหวังว่าปีนี้ตลาดน่าจะให้ผลตอบแทนบ้างหลังจากที่นิ่งมานานเกือบ 10 ปี และปีที่แล้วดัชนีก็แทบจะไม่ขยับเลย นอกจากนั้น หลังจากที่มีการประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาศ 4 ที่ “ผิดคาด” และ “น่าผิดหวัง” ในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนที่ 1.4% และทั้งปี 2565 ที่ 2.6% จากตัวเลขที่คาดไว้ 3.2% ตลาดก็ “ช็อก”
แต่ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกหนักกว่าก็คือการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนเมื่อสัปดาห์ก่อนที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากมีผลประกอบการไตรมาศ4 ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดคือเมื่อวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ติดลบไปแล้วประมาณ 2% นับจากต้นปี ซึ่งก็อาจจะดูว่าไม่ได้มากมายอะไร อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของโลกรวมถึงไทยก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเอื้ออำนวย หลายคนคิดว่าปีนี้อาจจะไม่ดีอย่างที่คิด ผมจึงอยากทบทวนว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะต้องเจอ “มรสุม” อะไรบ้างที่อาจจะทำให้หุ้น “เลวร้าย” ไปอีก 1 ปี
เรื่องแรกก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างดีจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น “เท่าตัว” และอาจจะถึง 30 ล้านคน...
.
เครือ เซ็นทรัล รีเทล ได้เริ่มเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2012 และมีการขยายธุรกิจต่อเนื่องจนปัจจุบันเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศ
.
ปัจจุบัน เครือ เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม
มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้ากว่า 340 แห่ง ในกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ
มีพื้นที่เช่ารวมกว่า 1 ล้าน ตารางเมตร
ต้อนรับลูกค้ามากกว่า 390,000 คนในแต่ละวัน
และจ้างงานพนักงานกว่า 15,000 คน
.
.
ธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก:
Property - ให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ภายใต้แบรนด์ GO! และ go!Food - ไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ต และ แพลตฟอร์ม e-commerce ภายใต้แบรนด์ GO! Hypermarket, BigC, TopsMarket, LanchiMart, และ BipBipNon-Food - Nguyen Kim (เครื่องใช้ไฟฟ้า), LOOKKOOL (สินค้าของใช้ในบ้าน ของตกแต่ง เครื่องเขียน ฯลฯ), Supersports (อุปกรณ์กีฬา), Robins (แฟชั่น...
.
.
TNG Investment And Trading Joint Stock Company (TNG), เดิมชื่อ Bac Thai Garment Factory, ก่อตั้งเมื่อปี 1979
ผลิตและจำหน่าย สิ่งทอ เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ชุดเครื่องนอน รวมถึง บรรจุภัณฑ์กระดาษ พลาสติก วัสดุและอุปกรณ์ตัดเย็บ เครื่องจักร ฯลฯ
นอกจาก รับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ระดับโลกเช่น Nike, Adidas, Calvin Klein, Columbia, และ Fila แล้ว TNG ยังผลิตสินค้าเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ตนเองชื่อ TNG Fashion ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเวียดนาม
และ บริษัทยังลงทุนใน โครงการ นิคมอุตสาหกรรม (TNG Son Cam Eco-Industrial) และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย (TNG Village) ซึ่งชูจุดเด่นทางด้านความยั่งยืนและ Eco-friendlyness ด้วย
.
.
ผลประกอบการ
รายได้รวมปี 2020 = 6,720 ล้านบาทปี 2021 =8,165 ล้านบาท...
โลกในมุมมองของ Value Investor 18 กุมภาพันธ์ 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นขนาดกลางและเล็กหลายตัวและหลาย “กลุ่ม” ที่มีความสัมพันธ์กันทางด้านบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ ตกลงมาแรงอย่าง “พร้อมเพรียงกัน” บางตัวและบางกลุ่มตกลงมาแล้วถึง 30-50% จากจุดสูงสุด โดยที่เหตุผลส่วนใหญ่ก็คือ ผลประกอบการหรือการคาดการณ์ว่าผลประกอบการที่ประกาศ “น่าผิดหวัง” แต่ที่จริงบางตัวก็ไม่ได้น่าผิดหวังมาก กำไรยังโตขึ้นด้วยซ้ำแต่ก็เป็นการโตที่น้อยกว่าที่ตลาดคาด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผลประกอบการที่แย่ลงแค่นั้นโดยปกติก็ไม่น่าจะทำให้ราคาหุ้นต้องตกลงมาขนาดนั้น
สิ่งสำคัญที่ทำให้หุ้นตกหนักมากน่าจะอยู่ที่ปรากฎการณ์ที่ผมเรียกว่า “Corner แตก” ซึ่งความหมายก็คือ หุ้นเหล่านั้นถูก “Corner” หรือ “ต้อนเข้ามุม” หรือกวาดซื้อโดยเฉพาะจากนักลงทุนรายใหญ่ที่อาจจะไม่สนใจเรื่องของ “มูลค่าพื้นฐานของหุ้น” มาก่อน ซึ่งทำให้ราคาหุ้นสูงผิดปกติไปมาก บางทีหลาย ๆ เท่าเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง และในกระบวนการที่หุ้นวิ่งขึ้นไปแรงและสูงมากนั้น ทำให้มีคนเชื่อและมีนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยจำนวนมากเข้าร่วมเล่นเก็งกำไรในหุ้นตัวนั้นโดยที่คิดว่ามันคือ “หุ้นดีสุดยอด” แต่เมื่อผลประกอบการออกมาที่แสดงว่ามันไม่จริงหรือเป็นเรื่องหลอกลวง คนบางคนก็เทขายหุ้น ทำให้หุ้นตก และก็ทำให้คนอื่นเทขายตามในขณะที่คนซื้อโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่ “รับไม่ไหว” หุ้นจึงตกลงมาแรง
คนที่เล่นหุ้นที่ถูก Corner รวมถึงรายใหญ่ที่เป็นคน Corner หุ้นนั้น จำนวนมากอาศัยการกู้เงินหรือซื้อหุ้นด้วยมาร์จิน เพื่อ “เพิ่มพลัง” การเล่นและการทำ...