.
หัวข้อ: ทำไมตลาดอินโด (Indonesia) เวียดนาม (Vietnam) มาแรงในภาวะเศรษฐกิจถดถอย - Money Chat Thailand
.
บทสัมภาษณ์
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ
ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
คุณโน้ต พสุวุฒิ วิไลนิรันดร์
หัวหน้าฝ่ายจัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
.
หมายเหตุ: ทางเพจขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนมาเท่านั้น โดนเน้นช่วงที่เกี่ยวข้องกับ ตลาดหุ้นเวียดนาม
.
.
ภาพใหญ่
คนชอบไปตอนที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมความเสี่ยงที่มากขึ้นปีที่แล้ว ตลาดหุ้นเวียดนาม ลงมาแล้ว 35% ตอนนี้ PE ตลาด อยู่ประมาณ 10-11x ซึ่ง -2SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปีเศรษฐกิจเวียดนาม จะโตแบบทบต้นไปเรื่อยๆRisk-Reward ตลาดเวียดนาม น่าสนใจที่สุดในภูมิภาคการชะลอตัวของเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐ จะกระทบกับ ภาคการส่งออกของเวียดนามแต่การบริโภคภายในของประเทศยังคงแข็งแกร่ง และ เติบโตเร็วมากดอกเบี้ยในเวียดนามค่อนข้างสูง ดอกเบี้ยนโยบาย 6-7% แต่ถ้าคนทั่วไป เอาไปฝากธนาคาร จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 8-9%...
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 มกราคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก น่าจะเป็นร้อยตัวขึ้นไป โดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็ก น่าจะเป็นหุ้นที่ผมเรียกว่า “อยู่ใน Corner” คือเป็นหุ้นที่ถูกซื้อโดยโดยนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “รายใหญ่” และบางครั้งก็รวมถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในปริมาณที่มากกว่าปกติมากจนทำให้เหลือหุ้นจำนวนน้อยที่ “ถูกต้อนเข้ามุม” และหลังจากนั้น ราคาก็มักจะขึ้นไปแรงมากเมื่อมีนักลงทุนเข้าไปซื้อเพิ่มในขณะที่คนขายมักจะไม่อยากขายเพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้นไปอีก ซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นไปจน “เกินพื้นฐาน” ไปมาก เช่น วัดจากค่า “PE ปกติ” ตั้งแต่ 40-50 เท่าขึ้นไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นบริษัทที่ดีเยี่ยมแบบซุปเปอร์สต็อก หรือมีค่า PE สูงเป็น 2-3 เท่าของบริษัทในธุรกิจเดียวกันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง
หุ้นที่อยู่ใน Corner นั้น ไม่ช้าก็เร็ว หุ้นจะตกลงมาแรงมากและกลับมาสู่ราคาพื้นฐานที่ควรจะเป็น สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ เมื่อไร? และเมื่อเกิดขึ้นแล้วหุ้นจะตกลงมามากและเร็วแค่ไหน? จากประสบการณ์ของตลาดหุ้นไทย ผมคิดว่าหุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์มักจะมีวันที่จะเป็นจุดเริ่มที่จะ “แตก” หลาย ๆ วันดังต่อไปนี้
วันที่น่ากลัวที่ Corner จะแตกและเกิดกับหุ้นมากที่สุดก็คือ วันประกาศผลประกอบการโดยเฉพาะประจำปีของบริษัท ซึ่งก็กำลังจะเกิดขึ้นและนับต่อจากวันนี้ไปอีกประมาณ 1...
.
KIDO: KIDO Group Corporation
.
ชื่อย่อ KDC ก่อตั้งปี 1993
KIDO Group Corporation คือผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของเวียดนามมีส่วนแบ่งการตลาดไอศครีม 42% และน้ำมันพืช 13%
.
ผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่มหลัก:
น้ำมันพืช ภายใต้แบรนด์ Tuong Anไอศครีมและนมภายใต้แบรนด์ Merino และ Celanoขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์ Kido’s , Kido’s Bakeryชากาแฟภายใต้แบรนด์ Chuk Tea & Coffee
สัดส่วนกำไรของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์หลัก 2 กลุ่มคือ
น้ำมันพืช (60%) และอาหารอื่นๆ (39%)
ในปี 2020 KDC ออกแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ KIDO’s Bakery เพื่อผลิตขนมหวาน เช่น เค้ก และ ขนมไหว้พระจันทร์ หลังจากเคยขายหน่วยธุรกิจนี้ให้กับ Mondelez Int'l เมื่อปี 2015
และในปี 2021 ได้เปิดร้านชากาแฟ Chuk Tea & Coffee เพื่อขายเครื่องดื่ม และ ขนม...
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 มกราคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การทำ M&A หรือการควบรวมกิจการในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีมานี้ดูเหมือนว่าจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่น่าสนใจก็คือ การควบรวมกิจการในช่วงหลัง ๆ นี้มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลสำคัญผมคิดว่ามาจากการที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้กิจการขนาดใหญ่โตช้าลงมากจากธุรกิจเดิมของบริษัทที่ทำอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลงมามากและสภาพคล่องในตลาดสูงมาก ทำให้ต้นทุนในการซื้อกิจการต่ำลงมาก ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องหาหนทางที่จะเติบโตให้เร็วขึ้นโดยการทำ M&A ซื้อทั้งกิจการที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน ธุรกิจต่อเนื่อง และธุรกิจที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องเลยแต่บริษัทคิดว่าตนสามารถที่จะบริหารได้เพราะมีความเข้มแข็งหรือมีความสามารถพอ และที่สำคัญมีเงินหรือสามารถที่จะระดมเงินที่จะซื้อได้โดยแทบจะไม่ต้องเพิ่มทุน
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของการทำ M&A ในตลาดหุ้นอย่างอเมริกานั้น พบว่ามักจะเกิดขึ้นในยามที่เศรษฐกิจดีตลาดหุ้นคึกคัก ในอดีตที่โลกยังไม่เข้าสู่ยุคดิจิทัลนั้น การเทคโอเวอร์หรือควบรวมกิจการมักจะเป็นเรื่องของการขยายตัวแบบ Conglomerate คือซื้อกิจการสารพัดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม ซึ่งทำให้บริษัทใหญ่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้คำนึงถึงการที่จะทำให้ธุรกิจดีขึ้นหรือนำมาเสริมกับธุรกิจเดิมที่จะก่อให้เกิด “Synergies” ที่จะช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพในทางการตลาดอื่น ๆ ดังนั้น บ่อยครั้ง หลังจากที่ซื้อธุรกิจไปแล้ว ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ซื้อเข้ามาก็ตกต่ำจนบริษัทแม่ต้องขายทิ้ง
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังที่เป็นยุคไฮเท็คดิจิทัล การทำ M&A มักจะเป็นเรื่องของการซื้อกิจการในธุรกิจใหม่ที่เป็น Startup ที่กำลังเติบโตและอาจจะมาท้าทายกิจการเดิมของตนเอง ซึ่งหลายครั้งก็ก่อให้เกิดผลดีต่อบริษัทอย่างน่าทึ่งนั่นคือ ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วและเข้มแข็งโดดเด่นทำกำไรให้กับบริษัทมหาศาลอย่างที่เราได้เห็นอยู่ในปัจจุบันที่เป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่เช่นกลุ่ม FAANG เป็นต้น
ในตลาดหุ้นไทยนั้น เหตุการณ์การควบรวมขนาดใหญ่เริ่มทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยที่เหตุผลและข้อดีข้อเสียรวมถึงผลกระทบกับราคาหุ้นในแต่ละดีลนั้น ผมจะลองวิเคราะห์แบบหยาบ ๆ ...
.
NLG: NAM LONG INVESTMENT CORPORATIONบริษัทบ้านขวัญใจชนชั้นกลาง
ชื่อย่อ NLG (HOSE)
ก่อตั้งปี 1992
.NAM LONG หรือ NLG คือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ระดับกลางที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในเวียดนาม
.
มี 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่:
Land Development พัฒนาที่ดิน แล้วขายที่ดินเปล่า Township & Residential พัฒนาที่พักอาศัย เช่น บ้าน คอนโดConstruction & Services ก่อสร้างCommercial บริหารอสังหาริมทรัพย์ บริการและให้เช่า
.
4 แบรนด์หลัก:
Valora: ทาวน์เฮาส์ วิลล่า (ราคาเริ่มต้น 3.7-5 ล้านบาท)Flora: คอนโดมิเนียม ระดับกลาง (ราคาเริ่มต้น > 1.5 ล้าน)EHomeS: อพาร์ทเมนต์ ที่ NLG พัฒนาร่วมกับหน่วยงานการเคหะนครโฮจิมินห์ (ราคา 8 แสน-1.5 ล้านบาท)EHome: อพาร์ทเมนต์ ระดับเริ่มต้น (ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท)
.
สัดส่วนรายได้ แบ่งตามหน่วยธุรกิจ
ขายอสังหา...
TNH: THAI NGUYEN INTERNATIONAL HOSPITALเครือโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ของเวียดนาม
ก่อตั้งปี 2014
.TNH คือ ผู้ให้บริการโรงพยาบาลเอกชน ที่มีเครือข่ายครอบคลุมที่สุดในภาคเหนือของเวียดนาม โดยปัจจุบันมี โรงพยาบาลที่เปิดให้บริการแล้ว 2 แห่ง จำนวนเตียงรวมกว่า 750 เตียง
-TNH มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ในจังหวัด Thai Nguyen และ Bac Giang คาดว่าจะเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2023
-ปัจจุบัน รายได้เกือบทั้งหมด (98.8%) ของ TNH มาจากการตรวจโรคและรักษาโรค ในขณะที่รายจ่ายหลักมาจาก อุปกรณ์ ยา และ เวชภัณฑ์ (42%) -บุคลากรแพทย์ พยาบาล และผู้ที่เกี่ยวข้อง (33%) และ ค่าเสื่อม (16%)
ณ สิ้นปี 2021 TNH มีสัดส่วนผู้ป่วยนอก 92% และ ผู้ป่วยใน 8%
.
ผลประกอบการ
รายได้รวมปี 2020 = 503 ล้านบาทปี 2021 =...
VCS: VICOSTONE JSC
ผู้ส่งออกหินควอตซ์เวียดนาม สู่เคาน์เตอร์ครัวโลก
.VICOSTONE เป็นผู้ผลิตและส่งออก "หินควอตซ์" รายใหญ่ อันดับ 3 ของโลก โดยปัจจุบันมีการส่งออกไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ตลาดหลักคือ อเมริกาเหนือ และ ยุโรป
หินควอตซ์ คือ หินสังเคราะห์ชนิดใหม่ ที่มีความแข็งแรง ทนทาน กว่า หินสังเคราะห์ประเภทอื่นๆ หรือหินแกรนิต ในขณะที่ราคาถูกกว่าหินอ่อนหรือกระเบื้อง ทำให้ หินควอตซ์ เป็นวัสดุที่นิยมนำมาทำเป็น ท็อปเคาน์เตอร์ สำหรับ ห้องครัว ห้องน้ำ หรือ ออฟฟิส สำนักงาน เป็นต้น
VCS ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ได้รับถ่ายทอดมาจากอิตาลี และ ปัจจุบัน มีกำลังการผลิตกว่า 3 ล้านตารางเมตรต่อปี
ในตลาดอเมริกาหินควอตซ์ มีส่วนแบ่งการตลาดเคาน์เตอร์ท๊อป อยู่ที่ 20% และเติบโตราว 5.9% ต่อปี
.
ผลประกอบการ
รายได้รวมปี 2020 = 8,489 ล้านบาทปี 2021 = 10,605 ล้านบาท (เติบโต +24.9% YoY)9M2022...
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 มกราคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเร็ว ๆ นี้ ในตลาดหุ้นไทยเราได้เห็น “หุ้นปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นบ่อย คำ ๆ นี้มีความหมายถึงหุ้นที่มีราคาขึ้นไปเร็วและสูงมากจน “เป็นไปไม่ได้” ตามพื้นฐานหรือปัจจัยอื่นยกเว้นแต่จะเป็นเรื่องของ “ปาฏิหาริย์” แต่ในความคิดของผมแล้ว มันไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์อะไรเลย มันคงเป็นเรื่องของการที่หุ้นถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม” หรือการที่หุ้นถูกซื้อมากกว่าปกติโดยไม่ได้คำนึงถึง “มูลค่าที่แท้จริง” จนหุ้นที่ “หมุนเวียน” ในตลาดเหลือน้อยมาก ซึ่งทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมาก อาจจะเป็น 10 เท่าของราคาก่อนที่จะมีการ Corner ในเวลาอันสั้น อาจจะแค่ไม่กี่เดือน และหลังจากนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะค้างอยู่สูงประมาณนั้นได้อีกนาน อาจจะเป็นหลายเดือนหรือเป็นปี ๆ ถ้า Corner นั้นยัง “ไม่แตก” แต่บ่อยครั้ง ภายในเวลาไม่นาน หุ้นก็อาจจะตกลงมาอย่างแรง หลายครั้งแทบจะถล่มทลายเมื่อ Corner นั้น “รั่วหรือแตก” เพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจและเทขายหุ้นอย่างไม่คิดชีวิต
เดิมนั้นหุ้นปาฏิหาริย์หรือหุ้นที่ถูก Corner มักเกิดกับหุ้นตัวเล็กที่มีหุ้นหมุนเวียนต่ำ ต่อมาก็เกิดขึ้นกับหุ้นขนาดกลางที่ถูก Corner จนกลายเป็น “หุ้นแสนล้านบาท”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 ธันวาคม 2565
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเวลาใกล้สิ้นปี กิจกรรมอย่างหนึ่งของนักวิเคราะห์หุ้นซึ่งก็รวมถึงนักลงทุนที่ให้ความเห็นต่อสาธารณะเป็นปกติอย่างผมต้องทำก็คือ การทำนายว่าตลาดหุ้นปีหน้าจะดีหรือไม่? นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นอยากจะรู้ เพื่อที่จะได้ “มีกำลังใจ” ที่จะลงทุนต่อไป ดังนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงมักจะบอกว่า “ปีหน้าน่าจะดี” สมควรที่จะลงทุน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เท่าที่จะนึกได้ ผมเองก็แทบไม่เคยได้ยินนักวิเคราะห์บอกว่า “ปีหน้าแย่มาก” และไม่ควรลงทุนเลย เพราะเอาเข้าจริง ๆ ผลประโยชน์ของคนที่พูดส่วนใหญ่หรือทั้งหมดต่างก็ขึ้นอยู่กับการชักชวนให้คนรู้สึกดี มีความหวัง และอยากลงทุน ดังนั้น “ความลำเอียง” ทางด้านบวกก็มักจะเกิดขึ้น
ในฐานะที่เป็น VI ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าผมหรือใครจะสามารถทำนายดัชนีตลาดหุ้นได้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอจนสามารถนำไปใช้ลงทุนและทำกำไรได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ส่วนใหญ่พอทำนายผิดก็มักจะไม่พูดอะไรหรือถ้าพูดก็จะเป็นการอธิบายว่าทำไมหรือเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ดัชนีไม่เป็นไปตามที่คาด ดังนั้น ผมจึงไม่ได้สนใจกับคำทำนายมากนักโดยเฉพาะในระยะสั้น ๆ เพียงปีเดียวอย่างที่กำลังพูดถึง อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงต้องทำนายอยู่ดี และพอทำบ่อย ๆ เข้า ผมก็มีวิธีทำนายที่ใช้วิธีมองย้อนหลังดูประวัติศาสตร์ว่า ดัชนีหุ้นปีหน้าจะดีหรือแย่นั้น มักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง และต่อไปนี้ก็คือคำทำนายของผมสำหรับตลาดหุ้นไทยปีหน้า
ปัจจัยแรกที่มักส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นก็คือ การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ ซึ่งปี 2566 นั้น ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งเศรษฐกิจโตประมาณ 2.2%...
โลกในมุมมองของ Value Investor 17 ธันวาคม 2565
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมและสมาชิกในครอบครัวซึ่งมี 7 คนรวมถึงเด็กอายุเพียง 2 เดือนต่างก็เจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไวรัสที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ผมเองเริ่มจากโควิด หลังจากหายได้ประมาณเดือนสองเดือนก็ติด RSV ซึ่งก็เป็นโรคหวัดอีกแบบหนึ่งที่ติดกันได้ง่ายมากพอ ๆ กับโควิด แต่อาการไม่รุนแรงเท่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโรคกว่าจะหายก็ใช้เวลาเป็นประมาณ 10 วัน และยังมีผลข้างเคียงตามมาอีกหลายวัน รวมแล้วเป็นเดือนที่ต้องทรมานอยู่กับโรค
ช่วงที่เป็นนั้น ผมก็ได้แต่คิดว่า บางทีโลกเราอาจจะ “เปลี่ยนไปจากอดีต” เราอาจจะต้องผจญกับการติดโรคที่สามารถติดต่อกันทางอากาศและการสัมผัสได้ง่ายขึ้นมาก การท่องเที่ยวหรือพบปะผู้คนใกล้ชิดอาจจะทำไม่ได้เหมือนเดิม การติดเชื้อหรือเป็นโรคซ้ำอาจจะทำให้อาการหนักขึ้นจนเป็นอันตรายอย่างที่ “ผู้เชี่ยวชาญ” พูดกัน ครอบครัวที่อยู่กันถึง 7 คนไม่รวมพี่เลี้ยงเด็กและแม่บ้านอย่างบ้านผมก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทวีคูณ ไม่สนุกเลย!
แต่ความคิดแบบนั้นจะเป็นจริงหรือ? โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือเปล่า? โควิด-19 จะอยู่กับเราและเราจะติดได้ง่าย ๆ และเป็นอันตรายเพิ่มเมื่อติดซ้ำและถ้าเป็นหลายครั้งเข้าอาการของเราจะหนักขึ้นจนอาจจะต้องตายในที่สุดหรือ? พูดตามตรง ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้ามองย้อนหลังกลับไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ผมเกิดมา โอกาสที่เราจะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นยาวนานก็น่าจะมีน้อยมาก แม้แต่ปรากฎการณ์ไข้หวัดสเปนเมื่อ 100 ปีที่แล้วที่คนตายเป็นล้าน ๆ คนและมนุษยชาติก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขหรือป้องกันอย่างไรก็หายไปจากโลกในเวลาไม่นาน ดังนั้น สิ่งที่ผมกลัวหรือกังวลคงจะเกิดขึ้นเพราะผมกำลังประสบกับความเลวร้าย “ในขณะนั้น” ซึ่งก็มักจะทำให้จิตใจคิดว่า...