โลกในมุมมองของ Value Investor   23 พ.ย. 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มองย้อนหลังกลับไปในตลาดหุ้นไทยถึงปีประมาณ  2544-2545 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวเต็มที่หลังวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ปี 2540   และเป็นปีที่แนวคิดการลงทุนแบบ “Value Investing”  เริ่มได้รับการยอมรับในหมู่ “นักลงทุนรุ่นใหม่”  อย่างกว้างขวาง  มาจนถึงวันนี้  ก็ต้องยอมรับว่า  นักลงทุน VI ของไทยประสบความสำเร็จสูงมาก  จำนวนไม่น้อยทำผลตอบแทนการลงทุนปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์แบบทบต้นและทำให้รวยเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีและเป็นที่ยอมรับว่าเป็น  “เซียน VI” ในวันนี้ ความสามารถในการเลือกหุ้นโดยใช้หลักการแบบ VI ดูเหมือนว่าจะเป็น “ปัจจัยหลัก” หรือปัจจัยประการเดียวที่ทำให้ VI ประสบความสำเร็จ  หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ “เซียน VI” พูดถึงเวลาคุยหรือให้สัมภาษณ์พิธีกรหรือผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามว่าอะไรคือ “สูตรแห่งความสำเร็จ” ของการเป็น VI   แทบจะไม่มีใครพูดถึงสภาวะของตลาดหุ้นหรือแม้แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจว่ามันเอื้ออำนวยต่อการลงทุนหรือไม่  คนสนใจแต่เฉพาะตัวหุ้นหรือกิจการที่กำลังเติบโตและเอาชนะคู่แข่งที่บริหารงานด้วยแนวทางการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่กำลังค่อย ๆ  ล้มหายตายจากอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากภาวะวิกฤติการเงินในปี 2540 ในช่วงเวลานั้น  ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเลือกซื้อหุ้น  “VI” ซักตัวหนึ่ง  ที่ราคาหุ้น “เริ่มขยับ”  และเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงใน “หมู่นักลงทุน VI” ที่เริ่มรวมตัวกัน...
โลกในมุมมองของ Value Investor  16 พฤศจิกายน 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การวิเคราะห์แบบหา “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมที่ “กำลังเติบโต” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญอย่างหนึ่งของ VI โดยเฉพาะที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น  ในธุรกิจที่เกี่ยวกับ “สินค้าผู้บริโภค” มักจะมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในหมู่นักวิเคราะห์จำนวนมาก ประการแรกก็คือ  บริษัทที่กำลังวิเคราะห์นั้น  อยู่ใน “ธุรกิจ” อะไรกันแน่และใครคือ “คู่แข่งขัน” โดยตรง  ประเภทที่  “ซัดกันหมัดต่อหมัด” ผู้ชนะได้ตลาดเพิ่มและผู้แพ้มีลูกค้าหรือมีรายได้น้อยลง ตัวอย่างเช่น  หุ้น A เป็นผู้นำโดดเด่นมานานในธุรกิจภัตตาคารอาหารสุกี้หม้อไฟ  มีร้านส่วนใหญ่ในห้างหรูสมัยใหม่  ลูกค้าหลักเป็นคนเดินห้างที่มีฐานะทางเศรษฐกิจระดับประมาณ  B+ ขึ้นไป  ในเวลาต่อมา  หุ้น ก. เปิดภัตตาคารสุกี้หม้อไฟเช่นเดียวกัน  แต่มีร้านส่วนใหญ่นอกห้างหรู  ลูกค้าหลักมีอายุน้อยกว่าและมีฐานะทางเศรษฐกิจประมาณ C+ หรือ B-   เวลาผ่านไป  ยอดขายของภัตตาคารของ A ค่อย ๆ ลดลง  ในทางตรงกันข้าม  ภัตตาคารของ ก. เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นผู้นำรายหนึ่งของภัตตาคารสุกี้หม้อไฟ  และด้วยอัตราเร่งของร้านและรายได้ที่เพิ่มขึ้น  นักวิเคราะห์หลายคนก็เริ่มคิดว่าบริษัท ก. จะกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งแทน A ที่ดูเหมือนว่า “กำลังแพ้” ในธุรกิจ...
✨🔥 สัมมนาออนไลน์เจาะลึกหุ้นเวียดนาม – จีน 🇻🇳🇨🇳(ตามคำเรียกร้อง! หลัง On-site เต็มไวเกินคาดใน 1 สัปดาห์) LITTLE VS BIG DRAGON: FOCUS เน้นๆ หุ้นเวียดนาม-จีน (Online)🗓️ 15 ธ.ค. 2567🕘 9.00-17.00 น. 🌟 Exclusive ปีละครั้ง! เจาะลึกหุ้นรายตัวในเวียดนาม-จีน พร้อมเทคนิคการลงทุนโดยกูรูชั้นนำ อาทิ: ดร.นิเวศน์, คุณเอก ธาราบดี, คุณบอล ภาคภูมิ, คุณมี่ ทิวา, คุณเจ๊กกี้ สุธน และอีกมากมาย 💥 เนื้อหา: หุ้นเวียดนาม 70% หุ้นจีน 30% 🔴 สะดวกสุดๆ Online ดู Live สดได้ทุกที่ ถาม-ตอบ Real-time 🔴 Special session: Live เจาะลึกหุ้นเวียดนามก่อนสัมมนา (Q&A สด 1 ธ.ค. 19.30-21.30 น....
โลกในมุมมองของ Value Investor   9 พฤศจิกายน 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ช่วงเร็ว ๆ  นี้  ในสังคมไทยเกิดปรากฏการณ์หลายกรณีที่อยู่ดี ๆ  คนที่เคยมีอำนาจ  มีบทบาท  และเป็นที่ยอมรับในสังคมว่าเป็น  คนเก่ง  คนดี  คนที่มีความสามารถ  คนที่ต่อสู้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่อาจจะถูกทำร้าย  ถูกทำลาย  ถูกหลอกลวงให้เสียหาย  ก็กลับกลายเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีที่หลอกลวง  ทำร้ายคนอื่นด้วยอำนาจหรือความสามารถที่ตนมี  และกำลังถูกกล่าวโทษโดยคนที่ก่อนหน้านั้น  อาจจะเป็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากและต้องการความช่วยเหลือในฐานะ  “เหยื่อ” ของ  “นักล่า”  ปรากฎการณ์ที่ “นักล่า” ซึ่งก็คือคนที่เก่งกว่า  มีพลังอำนาจมากกว่า  เข้าไปล่า  “เหยื่อ” นั้น  ผมนำมาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของสงครามไปจนถึงการเงินที่ฝ่ายนักล่าจะเป็นผู้ที่ “บุก” เข้าไปต่อสู้แข่งขันเพื่อเอาชนะ “เหยื่อ” ที่อ่อนแอกว่า  แล้วก็กวาดทรัพยากรหรือทรัพย์สมบัติของเหยื่อมาเป็นของตนเอง นักล่าจำนวนไม่น้อย  เคยประสบความสำเร็จมาอย่างใหญ่หลวงจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและก็เป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับเหยื่อ  รวมถึงเป็นที่น่าเกรงขามในหมู่นักล่าอื่น ๆ  ที่อาจจะอิจฉาและพร้อมที่จะเข้ามา “ทำลาย” บารมีนั้นถ้ามีโอกาส  และนั่นก็คือวันที่ “นักล่า”กลายเป็น “เหยื่อ” เสียเองอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวอย่างของสงครามก็คือในศึกสตาลินกราดที่กองทัพเยอรมันบุกโซเวียตรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงที่สามารถยึดยุโรปตะวันตกได้แทบทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น  และเหยื่อรายต่อไปก็คือรัสเซีย  ซึ่งก็คือ “นักล่าระดับรอง” รายหนึ่งที่บุกยึดโปแลนด์ร่วมกับเยอรมันมาก่อนหน้าแล้ว เยอรมันบุกถึงสตาลินกราดและได้เข้าล้อมเมืองไว้ 3 ด้าน ...
โลกในมุมมองของ Value Investor       2 พฤศจิกายน 67 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรณีของดิไอคอนกรุ๊ปที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจำนวนมากโดยการหลอกลวงให้คนเข้ามา “ลงทุน” ทำธุรกิจขายสินค้าแบบเครือข่ายที่จะสามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็วจนร่ำรวยโดยมีคติพจน์ว่า  “ขยันผิดที่  10 ปี ก็ไม่รวย” นั้น  ผมคิดว่าเป็นคำพูดมาตรฐานที่ถูกใช้ตลอดมาที่จะชักชวนให้คนเข้ามาร่วมทำงานหรือธุรกิจหรือลงทุนในสิ่งที่มักจะทำให้คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือคนคุมกิจกรรมรวยมาก  คนที่ตามมาก็อาจจะรวยบ้าง  แต่คนส่วนใหญ่ที่มาทีหลังสุดจะจน  และบางครั้งก็หมดตัว  เพราะสิ่งที่ทำนั้นจะมีลักษณะคล้าย “แชร์ลูกโซ่” ที่เอาเงินคนที่มาทีหลังมาจ่ายให้กับคนที่มาก่อน ในฐานะของคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร่ำรวยระดับหนึ่งจากการที่เคยเป็นคนจนในวัยเด็กและคนชั้นกลางในช่วงวัยกลางคน  ผมคิดว่าวิธีสร้างความร่ำรวยได้จริง ๆ นั้นมีอยู่  แต่คน ๆ  นั้นจะต้องขยัน “ถูกที่” และก็ต้องใช้เวลาซัก 30 ปี ก่อนที่จะรวย   คำว่าขยันถูกที่นั้น  ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย  อาจจะเป็นงานประจำที่เราทำอยู่ แต่ต้องเป็นงานที่ให้รายได้ค่อนข้างแน่นอนและดีพอสมควร  งานนั้น  ซึ่งอาจจะมีหลายอย่างรวมถึงงานพิเศษด้วย  สามารถทำรายได้ให้เราเพียงพอในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและมีเงินเหลือเก็บเฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งเราจะนำมาลงทุนอย่างสม่ำเสมอในตลาดหุ้นที่จะกล่าวต่อไป ในแต่ละปี  เราจะต้องขยันหาเงินเพิ่มขึ้น  อาจจะมาจากการทำงานหนักถ้าเราเป็นลูกจ้างบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ  ซึ่งจะทำให้เราได้เงินเดือนหรือรายได้เพิ่มขึ้นและทำให้เรามีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นปีละ 10% ต่อเนื่องไปทุกปี  นั่นคือ  ปีที่ 2 เราต้องมีเงินเหลือเก็บและนำไปลงทุนในตลาดหุ้น 11,000 บาท ต่อเดือนโดยเฉลี่ย...
โลกในมุมมองของ Value Investor 12 ตุลาคม 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ข่าวเกี่ยวกับการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ในช่วงอย่างน้อย 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น  ดูเหมือนว่าไม่ใช่เป็นการซื้อหุ้นลงทุน   แต่เป็นการขายหุ้นที่ถือมายาวนานหลายตัว  ในจำนวนที่ค่อนข้างมากอย่างมีนัยสำคัญ  ล่าสุดก็คือขายหุ้นแบ้งค์อเมริกาบางส่วน  ได้เงินมาประมาณ 340,000 ล้านบาท  ในส่วนของการซื้อหุ้นลงทุนเองนั้น  ดูเหมือนว่าจะน้อยกว่าและตัวเล็กกว่าและก็เริ่มไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่หุ้นมีราคาถูกมากมานาน ผลก็คือ  เงินสดของเบิร์กไชร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ล่าสุดนั้นสูงถึงประมาณ 280 พันล้านเหรียญหรือ 9.4 ล้านล้านบาทแล้ว  ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ “สูงที่สุดในประวัติศาสตร์” ของบัฟเฟตต์  นั่นก็น่าจะมาจากมุมมองของบัฟเฟตต์ต่อตลาดหุ้นของอเมริกาว่า  ตลาดหุ้นกำลังเติบโตร้อนแรงเกินไปตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาหลังวิกฤติโควิด-19  ซึ่งทำให้เขาหาหุ้นที่จะลงทุนยาก  เพราะหุ้นเหล่านั้น   “แพงเกินไป”  นอกจากนั้น  หุ้นที่ถืออยู่ก็  “แพงเกินไป” ซึ่งก็ทำให้เขาต้องขายบางตัวออกไป  และเก็บเป็นเงินสดที่เขาต้องเอาไปลงทุนซื้อพันธบัตรหรือเงินลงทุนระยะสั้นที่ให้ดอกเบี้ยหรือกำไรต่ำกว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นมากเป็นเวลาหลายปี พูดได้เลยว่าบัฟเฟตต์  “ตกรถ” ครั้งใหญ่ที่ไม่ได้ซื้อหุ้นที่วิ่งแรงต่อเนื่องมาหลายปีในตลาดหุ้นสหรัฐ  ผมเองไม่รู้ว่าบัฟเฟตต์คิดอย่างไร  บางทีเขาอาจจะรู้สึกเฉย ๆ  ก็ได้  เพราะคนอย่างบัฟเฟตต์นั้น  คิดลึกและรอบคอบเสมอ  ไม่ตามใครและแน่นอน  ไม่ตามตลาด  และไม่แคร์ว่าใครจะบอกว่าเขาพลาดไปแล้วและ “ตกรถ” เพราะเขาอาจจะไม่เข้าใจ “หุ้นในโลกยุคใหม่” ที่เป็นหุ้นดิจิทัลและ “AI” ที่กำลังโตขึ้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor    5 ตุลาคม 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ นักพูดชื่อดังและหนึ่งในพิธีกรรายการ Money Talk เคยเล่าเรื่องโจ๊กในรายการโดยการถามผมในฐานะของ “นักลงทุน” ว่า  “อะไรเอ่ย…ราคาไม่เคยแพง?” ผมเองก็ตอบไม่ได้  เพียงแต่คิดว่าอาจจะเป็นสโลแกนของร้านขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ  “วอลมาร์ท” ที่ใช้คำว่า  “Low Price, Every Day” หรือ  “ราคาถูกทุกวัน” แต่คำตอบที่ถูกต้องก็คือ  “เมีย”  เพราะเมียนั้น  “ถูกเสมอ” หรือทำอะไรก็ไม่เคยผิด แต่เมื่อมาคิดถึงหุ้น  ที่แทบทุกตัวนั้นมีราคาขึ้นลงทุกวัน  และนักลงทุน  โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor  ต่างก็พยายามหาหุ้นที่ “ไม่แพง” เพื่อที่ว่าจะได้ขายหุ้นทำกำไรได้งดงามก็มักจะเป็นเรื่องที่หาได้ยาก  เพราะหุ้นนั้นมักจะมีความผันผวนขึ้นลงเร็ว  บางครั้งก็แพง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นหุ้นถูก  โอกาสที่จะหาหุ้นที่ถูกอยู่เรื่อย ๆ  หรือถูกเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะหาได้ยาก  แต่จากประสบการณ์ของผมที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน  ผมพบว่ามีหุ้นอยู่กลุ่มหนึ่งที่มักจะ “ถูกเสมอ”  ถูกแบบเรื้อรัง  แต่คนที่ซื้อไปก็มักจะไม่สามารถทำกำไรได้สูงกว่าปกติต่อเนื่องยาวนาน  หุ้นกลุ่มนั้นก็คือ  “หุ้นแบ้งค์” ในตลาดหุ้นไทย  ย้อนหลังไปหลายสิบปีในยามที่ประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  เศรษฐกิจเติบโตมาก  ซึ่งทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตตามกันไป  หุ้นแบ้งค์เป็นกลุ่มหุ้นจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุด  คิดเป็นมูลค่าตลาดของหุ้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการของบริษัทเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวม  แต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากมายนัก  ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้น...
LITTLE VS BIG DRAGON : FOCUS เน้นๆ หุ้นเวียดนาม-จีน 📅 วันที่: 15 ธันวาคม 2567🕘 เวลา: 9.00-17.00 น.📍 สถานที่: Bangkok Marriott Sukhumvit (BTS ทองหล่อ, Skywalk ถึงหน้าโรงแรม / ที่จอดรถสะดวกสบาย) ❌ ขอปิดรับสมัคร สัมมนาเจาะลึกหุ้นเวียดนาม -จีน : Little Vs Big Dragon 🇻🇳🇨🇳 ❌ ขอบคุณ VVI Membership และเพื่อนนักลงทุนทุกท่าน ที่สมัครกันจนเต็มทุกที่นั่งในสัปดาห์แรก VVI หวังว่าท่านจะได้ความรู้ ความสนุก และ Networking ก๊วนนลท. หุ้นเวียดนาม- จีน แบบเต็มอิ่มในครั้งนี้แล้วพบกันวันสัมมนาค่ะ 🙏 พบกับสัมมนาสุด Exclusive 1 ปีมี 1 ครั้ง มากกว่าสัมมนาทั่วไป…โฟกัสเน้นๆ: หุ้นรายตัวเวียดนาม-จีน : เจาะลึกหุ้นรายตัวในเวียดนาม-จีน พร้อมเทคนิคการจัดพอร์ต และการบริหารภาษี โดยนักลงทุนชั้นนำ...
โลกในมุมมองของ Value Investor    28 กันยายน 2567 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตั้งแต่ต้นปี 2567 ผมได้วาง  “Playbook” ของการลงทุนของผมไว้ว่า  ผมจะปรับพอร์ตการลงทุนระยะยาวของผมให้ประกอบไปด้วยหุ้นเวียดนามประมาณ 1 ใน 3  ซึ่งจะเป็น  “กองหน้า” ที่จะใช้ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด  แต่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้  เพราะผมจะเลือกหุ้นเอง  ซึ่งจะเป็นหุ้นแนว  “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งก็คือหุ้นที่จะเติบโตระยะยาวและมีความสามารถในการแข่งขันสูงและยั่งยืน  และผมก็เริ่มทำตั้งแต่ต้นปี  มีการขายหุ้นตัวเล็ก ๆ  ราคาถูกที่ผมถือมายาวนานไปทั้งหมดนับร้อยตัว  และใช้เงินที่ได้ซื้อหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก” ขนาดใหญ่ไม่เกิน 10 ตัว  ซึ่งประมาณ 5 ตัวใหญ่ที่สุดคิดเป็นกว่า 75% ของพอร์ตไปแล้ว หุ้นกลุ่มที่สองอีกประมาณ 1 ใน 3 จะเป็นหุ้นกลุ่มใหม่ที่ผมไม่เคยมีเลยและเป็นหุ้นที่ผมเรียกว่า  “หุ้นโลก” เพราะเป็นหุ้นของบริษัทที่มักจะ “ขายสินค้าไปทั่วโลก”  คนทั่วไปมักจะรู้จักและคุ้นเคยกับสินค้า  รวมถึงผมเองที่ต้องใช้  บางทีเกือบทุกวัน  เช่น  ดูหนังของ Netflix  ใช้โปรแกรมสารพัดในคอมพิวเตอร์  หรือเห็นคนใช้เครื่องแต่งกายจากแบรนด์หรูระดับโลก  เป็นต้น ผมวางแผนว่าภายในปี 2567 ผมน่าจะสามารถลงทุนเม็ดเงินจนครบในหุ้นโลกได้  โดยกลยุทธ์ที่ใช้นั้น  ผมจะซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมหรือ  ETF...
โลกในมุมมองของ Value Investor      21 กันยายน 67 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การเปิดจองกองทุนรวมวายุภักษ์สำหรับประชาชนทั่วไปจบลงแล้ว  คนที่ไม่ได้จอง  แต่สนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีแต่มีความเสี่ยงต่ำ  ประมาณว่าได้ปันผลปีละไม่ต่ำกว่า 3% จากเงินลงทุนเริ่มต้นที่ประมาณ 1 ล้านบาทต่อไปเรื่อย ๆ  ทุกปีเป็นเวลา 10 ปี  และในสิ้นปีที่ 10  เงินต้นก็ยังอยู่ครบคล้าย ๆ กับกองทุนวายุภักษ์ แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เป็น  “โบนัส” พิเศษเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาท ถ้าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ  ตามปกติ และตลาดหุ้นไม่ได้เลวร้ายในระดับเดียวกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนเลย  ผมคิดว่ามีวิธีที่เราจะทำได้โดยการออกแบบพอร์ตโฟลิโอที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งและมีราคาถูกจำนวนประมาณ 10 ตัว ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ข้อแรก ลงทุนในหุ้นที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรม  ถ้าอยู่ในอันดับ 1 หรือไม่เกินอันดับ 3 ก็จะดี  เหตุผลก็เพราะบริษัทที่เป็นผู้นำมักจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน  และในกรณีที่เศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมประสบกับปัญหาใหญ่  พวกเขาก็มักจะอยู่รอดได้  และมักจะฟื้นตัวกลับมาได้ดีเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไปแล้ว  ถ้าเราลงทุนระยะยาว  เราก็จะปลอดภัย ข้อสอง  ผู้บริหารจะต้องซื่อสัตย์ไว้ใจได้  ข้อนี้อาจจะดูยาก  เพราะบ่อยครั้งผู้บริหารบางคนนั้นดูจากภายนอกก็ดูไว้ใจได้  แต่สุดท้ายก็อาจจะ  “ดีแตก” ทำเรื่องทุจริต  หลอกลวงจนบริษัทพังก็มี  ทางหนึ่งที่พอจะทำให้ไว้ใจได้บ้างก็คือการที่บริษัทและผู้บริหารทำงานมานานหลาย...

MOST POPULAR