โลกในมุมมองของ Value Investor  18 กรกฎาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี  ตลาดหุ้นไทยนั้นดูเหมือนจะไม่ไปไหน  สิ้นปี 2555 ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,392 จุด ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ดัชนีอยู่ที่ 1,360 จุดหรือลดต่ำลงประมาณ 2.3%  และในช่วง 8 ปีมานี้  ตลาดหุ้นไทยอยู่ในลักษณะ “Sideway” คือไม่ขึ้นหรือลงมาก  ปีที่ดีที่สุดคือปี 2559 ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นประมาณ 20% ส่วนปีที่แย่ที่สุดก็คือปี 2558 ที่ดัชนีติดลบ 14% และปีนี้ที่ดัชนีดูผันผวนขึ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ที่ดัชนีตกลงไปแล้วประมาณ 13.9%  ถ้านับจำนวนปีที่ขาดทุนหรือกำไร  ใน 8 ปีนั้นก็มี 4 ปีที่ดัชนีเป็นบวกและอีก 4 ปีที่ดัชนีติดลบ  ดูจากสถิติแล้ว  นี่น่าจะเป็น 8 ปีแห่งความผิดหวังและตกต่ำของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย  นักลงทุนโดยเฉลี่ยแล้วแทบจะไม่ได้อะไรจากการลงทุนระยะยาว  นักลงทุนน่าจะ “ถอดใจ” และลดระดับการซื้อขายลงไปมาก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor     11 กรกฎาคม 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​ผมสังเกตมานานแล้วว่าตลาดหุ้นไทยนั้นเป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศอื่น ๆ  ที่ผมรู้จัก  การเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลของไทยนั้น  ว่าที่จริงแทบไม่เคยหายไปเลยยกเว้นก็แต่ในช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่ เศรษฐกิจไทยแทบจะล่มสลายและคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็คือผู้ประกอบการและนักธุรกิจที่มีเงินมากพอที่จะเล่นหุ้นหรือลงทุนได้ในช่วงเวลานั้น  ซึ่งก็ทำให้การ “เก็งกำไร” ในตลาดหุ้นหายไปอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาหลายปีก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวและเกิด  “นักลงทุนรุ่นใหม่” ที่มีความหลากหลายมากขึ้นและรวมถึง  คนชั้นกลางที่ “กินเงินเดือน” และเริ่มสะสมเงินหรือความมั่งคั่งเพื่อการเกษียณ  นักลงทุนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีจำนวนมากขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนรุ่นเก่า  พวกเขานอกจากจะมีเงินแล้วก็ยังมี “ความรู้”ในการลงทุนมากขึ้นมาก  พวกเขารู้ว่าในการเลือกหุ้นลงทุน  เราจะต้องวิเคราะห์และประเมินหามูลค่าที่แท้จริงและเปรียบเทียบกับราคาหุ้น  ถ้าหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากหรือที่เรียกว่ามี Margin Of Safety สูง  เขาก็จะซื้อ  ถ้าราคาหุ้นแพงกว่าก็ต้องขาย  นี่คือหลักการที่เรียกว่า “Value Investing” ที่กลายเป็น “กระแสหลัก” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ​แต่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นเองนั้น  นอกจากจะไม่หายไปแล้ว  มันยังเฟื่องฟูมากและอาจจะมากกว่าการเก็งกำไรในอดีตด้วยซ้ำ  เหตุผลนั้นน่าจะมีหลายอย่าง  ประการแรกนั้น  การเก็งกำไรเป็นเรื่องที่อยู่ใน “ยีน” ของคนตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของมนุษย์ที่เรียกว่า “Homo Sapiens” โดยที่คนที่ไม่กล้าหรือไม่ชอบเสี่ยงนั้นมักจะเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ยากและน้อยกว่าคนที่ชอบเสี่ยง  ประการต่อมาก็คือ  ระบบที่เอื้ออำนวยให้กับการเล่นเก็งกำไร  นั่นก็คือ  ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นที่ต่ำมากและการที่ไม่เสียภาษีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์  ดังนั้น  การซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นและ “ทำกำไร” ได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่คนอยากทำ  และสุดท้ายก็คือ  “ทางเลือก” ในการเก็งกำไรอย่างอื่นในประเทศไทยนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลตอบแทนดีเท่ากับการ “เล่นหุ้น” ในภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันโดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อการเกษียณ ​การเก็งกำไรที่สูงมากนั้น  ทำให้หุ้นที่ถูกเก็งกำไรมีราคาปรับตัวสูงกว่าปกติ  ยิ่งมีคนเข้ามาซื้อขายมากก็ยิ่งทำให้ราคาปรับตัวสูงเพิ่มขึ้น  และนั่นทำให้หุ้นมักจะมีราคาแพงกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก  ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นเหล่านั้นและเก็บไว้ยาวนาน  โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงมาตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นก็จะสูง  เราก็อาจจะขาดทุนได้มาก  ดังนั้น  VI ที่มุ่งมั่นและระมัดระวังจึงควรจะรู้ว่าตลาดหุ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนหรือหุ้นตัวไหนกำลังมีการเก็งกำไรสูงมากน้อยแค่ไหน  อะไรคือ “สัญญาณ” ที่แสดงว่ามีการเก็งกำไรที่ร้อนแรงอยู่ในตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวแพงผิดปกติและเราควรที่จะหลีกเลี่ยง ​สัญญาณการเก็งกำไรข้อแรกก็คือ  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้น  นับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้วที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงลิ่วเทียบกับตลาดในประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน  ล่าสุดในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ทั้ง ๆ  ที่มีปัญหาโควิด-19...
โลกในมุมมองของ Value Investor  4 กรกฎาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมสังเกตเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกิดขึ้นในโลกจำนวนมาก   สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น  เติบโตอย่างรวดเร็ว  และภายในเวลาไม่นานนักก็แซงหรือทดแทนสิ่งเก่าที่เคยยิ่งใหญ่หรือเป็นสิ่งที่เคยยึดถือกันมายาวนานเป็นสิบ ๆ หรือร้อยปี  นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนต้องใช้กัน   แต่รวมถึงแนวความคิดและปรัชญาของผู้คนที่เปลี่ยนเร็วไม่แพ้กันหรือเร็วยิ่งกว่าสิ่งของที่จับต้องได้  การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้  ผมคิดว่ามาจากการ “ปฏิวัติ” ของเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิตอลที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว  จาก 1G กลายเป็น 5G ภายในเวลาแค่ประมาณ 20 ปี  ซึ่งทำให้ประชาชนรายเล็ก ๆ  ทั่วโลกที่ไม่เคยเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมกลายเป็นคนที่มีความสำคัญโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสามารถ “รวมพลัง” กันผ่านระบบ “สื่อสังคม” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จักนั่นก็คือระบบอินเตอร์เน็ต  ในอดีตนั้น  คน ๆ  เดียวทำหรือมีบทบาทอะไรน้อยมากโดยเฉพาะถ้าเขาไม่ได้อยู่ในระบบของ “อำนาจเดิม” ที่เป็น “สถาบัน” ที่มีอยู่ในโลกมายาวนานเช่น  สถาบันการปกครองของรัฐต่าง ๆ  หรือสถาบันเศรษฐกิจที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ  ในโลก  เป็นต้น ​ในปัจจุบันนั้น  คนที่อาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากเกิดในยุคก่อน เช่น  ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่มีอำนาจรัฐหรือไม่มีเงินและชื่อเสียง  อาจจะสามารถก่อตั้งบริษัทเล็ก ๆ  ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสร้างผลิตภัณฑ์  ระดมเงินที่ต้องการผ่านกองทุนต่าง ๆ  แล้วก็นำเสนอและขายผลิตภัณฑ์นั้นแก่คนทั่วไปผ่านสื่อสังคมที่สามารถขยายไปอย่างรวดเร็วถึงคนเป็นล้าน ๆ  ทั่วโลก  ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี  สินค้าของเขาก็ได้รับการยอมรับและใช้กันทั่วไปมากกว่าบริษัทยุคเก่าที่อาจจะเปิดดำเนินการมาเป็นร้อยปีและเป็นผู้นำมาครึ่งศตวรรษ  ผู้ก่อตั้งบริษัทรุ่นใหม่ที่พลิกเปลี่ยนโลกในชั่วข้ามคืนเหล่านั้น จำนวนมาก  เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่เพิ่งจบหรือยังไม่จบวิทยาลัย  ในวันที่เขายิ่งใหญ่และเป็นมหาเศรษฐีนั้นก็มักจะยังหนุ่มมาก  อายุไม่เกิน 40 หรือที่มากหน่อยก็แค่ 50 ปี  ความแตกต่างของอายุของผู้นำในโลกยุคใหม่กับผู้นำในโลกยุคเก่าเห็นได้อย่างชัดเจน  ความคิดของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน  โลกกำลังเกิด “Generation Gap” หรือ “ช่องว่างระหว่างวัย” ที่รุนแรง  ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ของหรืออุปกรณ์  แต่เป็นเรื่องของความคิดที่อาจจะส่งผลรุนแรงทางการเมืองได้ ​ตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ...
โลกในมุมมองของ Value Investor         27 มิถุนายน 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ช่วงที่การระบาดของโควิด-19 กำลังหมดไปจากประเทศไทยหลังจากเรา “ปิดเมือง” มาหลายเดือนนั้น  สิ่งที่ผมเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญมี 2 เรื่องก็คือ  เรื่องแรก  เกิด “Pent Up Demand” นั่นก็คือ  มีความต้องการของสินค้าและบริการหลายอย่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจาก  “ความต้องการที่ถูกอั้นไว้” ของผู้บริโภคในสินค้าบางอย่าง  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ  การท่องเที่ยว โดยเฉพาะของคนที่มีเงินมากพอที่จะเที่ยวได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือต้องห่วงว่าเงินจะหมดไปมาก  และเรื่องที่สองก็คือ  “Wealth Effect” on demand ซึ่งก็คือ  ความมั่งคั่งของผู้บริโภคที่มากขึ้นหรือในกรณีของโควิด-19 ก็คือความมั่งคั่งที่หดหายหรือลดลงไปที่จะมีผลต่อความต้องการซื้อสินค้าของคนในประเทศ ในช่วงนี้  ในบางธุรกิจและในบางพื้นที่  เราก็มักจะได้รับ “ข่าวดี” ที่ว่า  หลังจากมีการเปิดเมืองบางส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผลประกอบการหรือยอดขายก็ดีหรือกระเตื้องขึ้นมาก  ยกตัวอย่างเช่น  โรงแรมระดับหรูในเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพเช่น  หัวหิน มียอดผู้เข้าพักเต็มหรือเกือบเต็มอย่างรวดเร็วหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดใหม่กลายเป็นศูนย์ติดต่อกันเกิน 14 วันหรือมากกว่านั้น  และนั่นก็ทำให้ผม  “ประหลาดใจ” และรู้สึกมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดเมื่อผมเดินทางไปพักผ่อนที่นั่นเมื่อ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา   ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน  ผมก็ได้ข่าวว่าร้านอาหารภัตตาคารที่เริ่มเปิดในห้างต่างก็มีลูกค้าเข้ามากินกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแม้ว่ายังมีข้อกำหนดให้ต้องเว้นระยะห่างอยู่บ้าง  ดูเหมือนว่าคนจะ “อั้น” กันมานาน  คือไม่ได้ออกไปเดินห้างและแวะกินอาหารในห้าง  เขาเหล่านั้น  ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนชั้นกลางกินเงินเดือนและก็ไม่ได้ตกงานจนต้องกระเหม็ดกระแหม่ไม่สามารถมากินอาหารภัตตาคารได้  ดังนั้น  พวกเขาก็มากินอาหารอร่อย ๆ ที่ไม่ได้กินมานาน  มันเป็น Pent Up Demand หรือความต้องการที่อั้นไว้ในช่วงที่ออกนอกบ้านไม่ได้และร้านปิดเป็นเวลาหลายเดือน สัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปพักผ่อนอีกครั้งที่สวนผึ้งจังหวัดราชบุรี  ในโรงแรมที่ค่อนข้างหรูซึ่งดูเหมือนจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับหัวหิน  สวนผึ้งน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเป็นหลักมีต่างชาติน้อย  วันที่เข้าพักนั้นก็เป็นแบบเดียวกับที่หัวหินนั่นคือ  โรงแรมมีลูกค้าที่ค่อนข้างจะเต็มหรืออย่างน้อยก็พอใช้ได้ไม่เหงา  อย่างไรก็ตาม  เมื่อออกท่องเที่ยวในวันต่อมาผมก็เริ่มเห็นความแตกต่าง  ร้านอาหารส่วนใหญ่แม้แต่ร้านดังก็ยัง  “ไม่มีคน” หลายแห่งก็ยังไม่เปิด สภาวะแห่งความเงียบเหงานั้นสัมผัสได้  ผู้บริโภคระดับคนกินเงินเดือนที่ยังต้องระวังว่าเศรษฐกิจยังเลวร้ายอยู่นั้น อาจจะยังไม่พร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยว  ดังนั้น  การท่องเที่ยวย่านสวนผึ้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเป็นหลักนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่กลับมาดี Pent Up Demand นั้น  มักจะเกิดหลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติ  ในช่วงวิกฤตินั้น  เศรษฐกิจตกต่ำคนก็มักจะเลี่ยงที่จะใช้เงินโดยเฉพาะกับสินค้าคงทนเช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านและเครื่องใช้ภายในบ้านที่มักจะสามารถเลื่อนการซื้อไปได้  เพราะของที่มีอยู่ก็ยังพอใช้ได้และมีอายุการใช้ยาว  เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นและของที่มีอยู่ก็ใกล้ “หมดสภาพ”  พวกเขาก็จะเริ่มซื้อกันอย่างรวดเร็วส่งผลให้ความต้องการและยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  แต่หลังจากการซื้อรอบแรกแล้ว   ยอดขายก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติตามภาวะของเศรษฐกิจและความต้องการปกติของผู้บริโภค  ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง  ยอดขายของสินค้าทุกอย่างก็จะฟื้นตัวดีขึ้นตาม  อย่างไรก็ตาม  ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวหรือกำลังถดถอยลงด้วยซ้ำ  ยอดขายสินค้าต่าง ๆ  รวมถึงยอดขายสินค้าที่เกิดจาก Pent Up Demand ก็จะทรุดตัวลงต่อไป การที่ผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มมากน้อยแค่ไหนนั้น  สิ่งหนึ่งที่มีผลมากก็คือ  ความรู้สึกว่าเขารวยหรือมีความมั่งคั่งมากน้อยแค่ไหน  คนที่รู้สึกว่าตนเองมีเงินหรือความมั่งคั่งสูงและรู้สึกว่าในอนาคตเขาจะยังสามารถหาเงินได้อย่างมั่นคงก็จะกล้าใช้เงินกล้าซื้อของที่ต้องการมากกว่าคนที่คิดว่าตนเองจนและรายได้ในอนาคตไม่แน่นอนและจะลดลง  โดยที่ความมั่งคั่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของเม็ดเงินอย่างเดียว  ทรัพย์สมบัติเช่น  บ้านและที่ดิน  หลักทรัพย์เช่น หุ้นและพันธบัตร ทองและอื่น ๆ  ก็ถือเป็นความมั่งคั่งทั้งสิ้น  และถ้าสินทรัพย์เหล่านั้นมีราคาเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น  พวกเขาก็จะใช้เงินซื้อสินค้ามากขึ้นซึ่งทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู  คำกล่าวที่ว่าในยามที่ตลาดหุ้นดี  การขายคอนโดราคาแพงจะดีตามนั้นเป็นความจริง  และในยามที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเร็วคนจะบริโภคสินค้าทั่วไปมากขึ้นก็เป็นความจริงเช่นกัน  ตรงกันข้าม  ในยามที่ทรัพย์สินหลัก ๆ  ทั้งอสังหาฯและหุ้นตกหนัก  สินค้าโดยเฉพาะที่มีราคาแพงและไม่ใช่สินค้าจำเป็นก็จะมียอดขายตกลงไปมาก  ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของ Wealth Effect ภาวการณ์ของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ผมเองมีความรู้สึกว่าคนรวยหรือคนที่มีทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งสูงนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกระทบอะไรมากนัก  เมื่อมีการเปิดเมือง  พวกเขาก็กลับมาบริโภคสิ่งที่ถูกอั้นไว้ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกมานาน เช่น  การท่องเที่ยวและการซื้อบ้านราคาแพงที่ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นอย่างไม่คาดคิดเมื่อเทียบกับบ้านราคาถูก  ในเวลาเดียวกัน  คนชั้นกลางนั้น  น่าจะถูกกระทบมากจากวิกฤติโควิด-19  เพราะการปิดกิจการจำนวนมากโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเดินทางทำให้คนจำนวนเป็นล้านต้องตกงานหรือทำงานน้อยลง  พวกเขาต้องใช้เงินเก็บมาประทังชีวิตทำให้ความมั่งคั่งลดลงและในขณะเดียวกันรายได้ในอนาคตก็ดูไม่แน่นอน  ดังนั้น พวกเขารู้สึกจนลง  ว่าที่จริงหลายคนอาจต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้น  ดังนั้น พวกเขาก็จะใช้จ่ายน้อยลง  โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านช่วงPent Up Demand ไปแล้ว ผมไม่รู้ว่า Pent Up Demand จะหมดลงไปเมื่อไร  แต่โดยธรรมชาติก็จะค่อย ๆ หมดไปตามเวลาที่ผ่านไป  ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ก็คือ  ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำลงมากอานิสงค์จากการที่ภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศยังถูกปิดอยู่และดูเหมือนว่าถึงจะเปิดก็เพียงเล็กน้อย  กับเรื่องของการส่งออกที่ชะลอตัวลงอย่างแรงในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  นี่ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะที่เป็นคนชั้นกลางลงมาจะใช้จ่ายน้อยลง  เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจ SME โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเองซึ่งคงจะถูกกระทบหนักจนรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งที่น้อยลง  ทั้งสองกลุ่มนี้ก็คงบริโภคน้อยลง  และดังนั้น  สินค้าที่มีราคาปานกลางถึงแพงที่พวกเขาใช้  โดยเฉพาะ บ้านราคาถูก  รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าน่าจะถูกกระทบหนักเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน  และนี่ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเช่น วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เช่นเดียวกัน ในขณะที่สินค้าราคาแพงที่ “คนรวย” ใช้เองนั้น  ผมคิดว่าน่าจะถูกกระทบน้อยกว่า  เหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าทรัพย์สินที่มีค่ามากเช่น  บ้านและที่ดินรวมถึงหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มีราคาลดลงไม่มาก  ทำให้ พวกเขาไม่รู้สึกว่าจนลงมากจนต้องลดการบริโภคลงอย่างมีนัยสำคัญ สินค้าจำเป็นราคาถูกและคนต้องกินและใช้ประจำวันนั้น  น่าจะฟื้นกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมในเวลาไม่นานเพราะอุปสรรคต่าง ๆ  ในการซื้อและบริโภคหมดไป  คนไทยนั้นถึงจะรู้สึกว่าจนลง  ยังไงก็ยังพอบริโภคสินค้าประจำวันได้ไม่ลดลง  สินค้าบางอย่างนั้นอาจจะมีความต้องการมากขึ้นเมื่อคนจนลงเช่น  บะหมี่สำเร็จรูปที่มีราคาถูกมากซึ่งทำให้คนที่จนลงหันมาบริโภคแทนอาหารที่แพงกว่า  นักเศรษฐศาสตร์เรียกสินค้าแบบนี้ว่าเป็น “Inferior Goods” ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  นักลงทุนจะต้องตระหนักว่าความต้องการสินค้าของบริษัทที่เราลงทุนนั้นเป็นแบบไหนและอยู่ในสถานะใด  อย่าเพิ่งดีใจว่ายอดขายฟื้นตัวแล้วและกำลังเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนเพราะมันอาจจะเป็นแค่ Pent Up Demand ก็ได้  สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวแล้ว  การวิเคราะห์สถานการณ์ระยะยาวซึ่งก็คือการคาดการณ์ความต้องการที่อิงอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของลูกค้าจะเป็นเครื่องป้องกันความผิดพลาดของเราได้      
โลกในมุมมองของ Value Investor   20 มิ.ย. 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยหรือมีฐานะพอสมควรนั้น  ก่อนที่จะคิดลงทุนในสินทรัพย์ ธุรกิจ หรือหุ้นและหลักทรัพย์ในตลาด  เขาควรจะเริ่มต้นโดยการ “ลงทุนในตัวเอง”  ซึ่งความหมายในที่นี้ก็คือ  ลงทุนปรับปรุงตัวเองให้มีศักยภาพที่จะทำเงินให้มากขึ้นและเหลือเก็บพอที่จะนำเงินนั้นมาลงทุนในธุรกิจ สินทรัพย์ และหลักทรัพย์ทางการเงินที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีต่อไป  การลงทุนในตัวเองนั้นมีข้อดีก็คือ  ตัวเราจะ “มีค่ามากขึ้น” และมันจะติดตัวตลอดไป ไม่มีใครมาเอาไปได้  และที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การลงทุนกับตัวเองนั้น  เราสามารถที่จะใช้ “แรงงาน” ของเราแทนเงินได้มาก  ดังนั้น  นี่คือหนทางสำคัญที่สุดสำหรับคนจนที่อยากรวยหรือมีชีวิตที่ดีขึ้นมากในอนาคต การลงทุนกับตนเองที่สำคัญที่สุดเรื่องแรกก็คือในตอนเด็กที่เราจะต้องศึกษาและเรียนรู้วิชาการต่าง ๆ รวมถึงวิชาชีพที่เราจะนำมาทำงานหาเงินใช้  ยิ่งเรียนมากเราก็มักจะทำเงินได้มากขึ้น  อย่างไรก็ตาม  ต้นทุนในการศึกษานั้นก็สูงขึ้นจนบ่อยครั้งก็อาจจะ “ไม่คุ้ม” ถ้าเรา  “ลงทุนไม่เป็น”  แต่นี่ก็มองเฉพาะด้านของผลตอบแทนทางการเงินซึ่งไม่ใช่ผลตอบแทนทั้งหมดที่เราได้จากการศึกษา  ว่าที่จริง  การศึกษานั้นให้ผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินมากมาย  เช่น ความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต  ความเข้าใจโลกที่ทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น  ความบันเทิงและรื่นรมย์จากการคิดและจินตนาการต่าง ๆ ที่ตามมา  พูดง่าย ๆ  ความรู้ทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น การลงทุนกับตนเองที่สำคัญไม่แพ้ความรู้นักก็คือ “การลงทุนกับสุขภาพ”  นี่ก็มักสำคัญขึ้นเมื่อเราเริ่มมีอายุมากขึ้นและสุขภาพเริ่มจะร่วงโรยและเราเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายขึ้น  สุขภาพของคนเรานั้น  หลายคนคิดว่ามาจากยีนหรือโชคชะตาเป็นหลัก  และในช่วงที่ยังเป็นหนุ่มสาวนั้น  คนก็มักจะไม่ตระหนักว่าสุขภาพดีมีผลกับชีวิตมากน้อยแค่ไหน  ที่สำคัญก็คือ  อาจจะไม่รู้ด้วยว่าสุขภาพที่ดีโดยเฉพาะเมื่อตนเองมีอายุมากขึ้นนั้นจะต้องมีการ  “ลงทุน”   จริงอยู่  ยีนมีความสำคัญต่อสุขภาพมาก  แต่การ “ลงทุนในสุขภาพ” ที่ดีและมากนั้นก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นมากในยามที่เราแก่ตัวลง  และนี่ก็มักจะสำคัญและบ่อยครั้งมากกว่าเรื่องของเงินด้วยซ้ำ ประสบการณ์ของผมเองเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนในเรื่องของความรู้นั้นน่าจะเรียกได้ว่าผมลงทุนค่อนข้างมาก เหตุผลสำคัญก็คือครอบครัวของผมค่อนข้างจน  พ่อทำงานเป็นช่างก่อสร้างและต่อมาเป็นช่างไม้  ที่ไม่เคยมีเงินเหลือเก็บและบ่อยครั้งไม่พอใช้  ว่าที่จริงเขาไม่เคยมีบัญชีเงินฝากในธนาคารเลย  การศึกษาหรือการเรียนในโรงเรียนของลูกเป็นเรื่องที่ “ฟุ่มเฟือย”  แต่ผมเองโชคดีที่เป็นลูกคนสุดท้องที่ได้เข้าเรียนใน “โรงเรียนวัด” ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมต้นและได้เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเนื่องจากเรียนเก่งพอสมควร  ทั้งหมดนี้ใช้เงินน้อยมาก ผมเรียนปริญญาตรีในคณะวิศวกรรมของรัฐซึ่งใช้เงินน้อยมาก  ด้วยเหตุผลก็คือ  มันคือคณะที่น่าจะสามารถทำเงินได้ดี  “จบแล้วมีงานทำแน่นอน” และใช้เวลาไม่มากเหมือนคณะแพทย์ที่ทำเงินได้มากกว่าแต่ต้องเรียน 7 ปี  ดังนั้นการเรียนวิศวน่าจะเป็น “การลงทุนที่ดี” และเมื่อจบแล้วผมก็เลือกไปทำงานในต่างจังหวัดซึ่งเป็นโรงงานน้ำตาลที่ทุกปีในช่วง “เปิดหีบ”  ประมาณ 4 เดือน เราจะได้เงินเดือนค่าล่วงเวลาเป็น 2 เท่าของเงินเดือนปกติ  นอกจากนั้น  เขามีที่อยู่และอาหาร 3 มื้อซึ่งทำให้เราแทบไม่มีค่าใช้จ่าย  ผมคิดว่านี่คือ “สวรรค์” ของการเก็บเงินเพื่ออนาคต ทำงานในโรงงาน 2 ปี  ผมก็รู้สึกว่าศักยภาพของตนเอง “ตีบตัน” งานช่างนั้นเป็นงานที่เงินเดือนดีในตอนเริ่มต้น  แต่หลังจากนั้นเงินเดือนก็จะปรับขึ้นช้า ๆ  ปีละประมาณ 7-10% และแทบจะไม่มีโอกาสปรับแบบก้าวกระโดดเพราะการเลื่อนหรือปรับตำแหน่ง  บริษัทเป็นธุรกิจครอบครัวที่เจ้าของคุมตำแหน่งบริหารที่สำคัญ  อย่างมากที่เราจะเป็นได้ก็อาจจะเป็นนายช่างคุมโรงงานเมื่อถึงวันที่เราใกล้เกษียณ  ผมคิดแล้วก็ตัดสินใจ “ลงทุนในการศึกษา” เพิ่ม  เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำเงินของตนเองโดยการ “เรียน MBA” ซึ่งเป็นสาขาวิชาใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มมีในประเทศไทยในขณะนั้น ผมคิดว่า  การเรียน MBA จะทำให้ผมสามารถเข้าสู่วงการ “บริหารธุรกิจ” ที่เป็นงานใหญ่ขึ้น  และในบริษัทที่ก้าวหน้าหรือเป็นบริษัทต่างชาติ  เงินที่เก็บได้ทั้งหมดถูกนำมาใช้ในการเรียนและสนับสนุนทางบ้านแบบเดิมที่ทำมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ผมจบปริญญาโททางด้านการตลาดภายใน 2 ปี ด้วยการเรียนและทำงานอย่างละครึ่งเวลาหรือสัปดาห์ละ 3 วัน การเรียนและการเดินทางไปกลับต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่เหนื่อยหนักไม่น้อย  แต่เมื่อเรียนจบผมก็ไม่ได้เปลี่ยนงานตามที่หวัง ผมยังทำงานที่เดิมแต่ได้รับการปรับงานให้ช่วยบริหารภายในโรงงานเพิ่มขึ้นบ้าง  อย่างไรก็ตาม  งานหลักก็ยังเป็นเรื่องของการผลิต  เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นทำให้การไปเริ่มงานใหม่ในสาขาใหม่ที่เงินเดือนต่ำกว่าไม่น่าสนใจเท่าที่ควร สำหรับคนที่เป็นช่างซึ่งมักจะ “อนุรักษ์นิยม” และไม่ได้อ่านหนังสือแนวธุรกิจสังคมหรือการพัฒนาตนเอง รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจ  การเปลี่ยนแปลงชีวิตมากมายแบบนี้พร้อม ๆ  กับการลดรายได้ลงเป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้ยาก  ผมจึงยังทำงานเก็บเงินต่อไปอีก 2 ปี  การเรียน MBA ยังไม่สามารถที่จะทำให้ผมเห็นหรือเลือกช่องทางที่จะเปลี่ยนชีวิตตนเองได้  และนั่นนำมาสู่การ “ลงทุนในตัวเองต่อไป” โดยการไปเรียนต่อต่างประเทศทั้ง ๆ  ที่  “ไม่มีเงินพอ” การไปอเมริกาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านการเงินนั้น  ผมคิดว่าคงช่วยให้ผมสามารถเปลี่ยนไปทำงานทางด้านการเงินที่มักเป็นงาน “ใหญ่ที่สุด” ในกระบวนการหาเงิน  แต่ลึก ๆ  แล้ว  ผมก็ไม่หวังจะรวยจากการเรียนมากนัก  สิ่งที่ผมหวังก็คือ  การได้ไป “เปิดโลก” ไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  ไปเห็นประเทศที่เจริญก้าวหน้า  ผมคิดว่าผมอยากมีชื่อเป็น“ด็อกเตอร์” และเป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างน้อยก็ในฐานะของนักวิชาการ  ผมต้องใช้เงินทั้งหมดที่สะสมมาได้เพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน “เที่ยวเดียว” และที่เหลือทิ้งไว้สนับสนุนพ่อแม่  การไปเรียนปริญญาเอกนั้นผมได้ทุนช่วยวิจัยจากมหาวิทยาลัยซึ่งพอใช้ทั้งค่าเรียนและการเป็นอยู่ตราบเท่าที่ยังได้ทุนอยู่ ผมจบปริญญาเอกทางด้านการเงินและการลงทุนในเวลา 4 ปี เมื่ออายุ 32 ปี กลับมาประเทศไทยโดยที่ไม่มีเงินเก็บเลย สรุปแล้ว  เป็นเวลา 10 ปีนับจากการทำงานวันแรก  เงินเก็บเป็นศูนย์  เงินที่ทำมาหาได้ทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปลงทุนในการศึกษาหาความรู้ต่อจากปริญญาตรีเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตนเองในการทำงานหาเงินในอนาคต  ผมเริ่มทำงานทางด้านการเงิน  แต่การจบปริญญาเอกก็มักจะได้ทำงาน “กึ่งวิชาการ”เช่น  งานวางแผนและกำหนดกลยุทธ์องค์กรมากกว่าการทำงานสายปฏิบัติการจริง ๆ  ดังนั้น  ผมก็ยังคงเป็นพนักงานกินเงินเดือนต่อไป  แต่ก็โชคดีที่ว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มบูมและความต้องการคนทำงานระดับหัวหน้างานที่มีความซับซ้อนเช่น  งานวานิชธนกิจ มีมากขึ้น และนั่นทำให้ผมมีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับ “ตลาดหุ้น”  และ “การลงทุนในหุ้น” ในบริษัทหลักทรัพย์  รายได้จากงานนี้ค่อนข้างจะดีและทำให้ผมมีเงินเก็บพอสมควรเมื่ออายุ 44 ปี  แต่เนื่องจากมีครอบครัวและมีลูกที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ซึ่งต้องใช้เงินมากทำให้ผมไม่ได้ลงทุนทางทางการเงินเป็นเรื่องเป็นราวเพราะ “กลัวความเสี่ยง”   แต่วิกฤติต้มยำกุ้งทำให้ผมต้อง “ตกงาน” และมีทางเลือกไม่มากที่จะรักษาสถานะความเป็นอยู่แบบเดิมได้—นอกจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนักและราคาหุ้นจำนวนไม่น้อยมีราคาถูกมาก  หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” หลายตัวมีค่า PE แค่ 6-7 เท่าจ่ายปันผลถึงปีละ 10%  เงินเก็บทั้งหมดถูกนำมาลงทุนในหุ้น  ชีวิตเปลี่ยนเป็น Value Investor หรือVI ผู้มุ่งมั่น ตลาดหุ้นฟื้นตัวและเติบโตมหาศาลหลังวิกฤติ  ภายในเวลาเพียง 8 ปี ผมก็มี “อิสรภาพทางการเงิน” และเกษียณจากการทำงานประจำตั้งแต่อายุ 52 ปี  และนี่ก็น่าจะเป็นบทเรียนได้ว่า  “ความรู้”บวกกับ “โอกาสทอง” สามารถ “เปลี่ยนชีวิต” คนได้มากและรวดเร็วแค่ไหน   สรุปก็คือ  ความสำเร็จในชีวิตผมนั้นน่าจะเป็นผลจากหลายสิ่งคือ  หนึ่ง  การที่ผมลงทุนในการศึกษาสูงมาก  ไม่ใช่เฉพาะจากห้องเรียน  แต่ผมศึกษาต่อเนื่องมาตลอดเวลาจนถึงทุกวันนี้  สอง  เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในปี2540 โดยที่ผมไม่ได้เสียหายทางด้านการเงินมากนักเนื่องจากยังไม่ได้เป็นนักลงทุนแต่เป็นแค่คนกินเงินเดือนธรรมดา และสุดท้าย  ผมโชคดีที่ถูก “บังคับ” ด้วยสถานการณ์ให้ต้อง “เลือก” เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และผมเลือกที่จะลงทุนแบบ VI ที่ผมศึกษามาแล้วว่าเป็นหลักการที่ดีเยี่ยมและปลอดภัยกว่าแนวทางที่นักลงทุนใช้กันก่อนหน้านั้น
โลกในมุมมองของ Value Investor    13 มิถุนายน 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงนี้มีความผันผวนสูงมาก  สองสัปดาห์ก่อนดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ในเวลาสัปดาห์เดียว  แต่สัปดาห์ต่อมาคือสัปดาห์ที่แล้วดัชนีกลับปรับตัวลดลงประมาณ 3.7%  โดยที่ทั้งสองสัปดาห์นั้น  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงลิ่วเฉลี่ยเกือบแสนล้านบาทต่อวัน  นั่นคงทำให้นักลงทุนจำนวนมากประหลาดใจและอาจจะผิดหวังหลังจากที่รู้สึกดีมากจนคลึ้มอกคลึ้มใจในช่วงที่ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นมาต่อเนื่องมากมายถึง 40% หลังภาวะวิกฤติในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2563  คำถามที่น่าสนใจก็คือ  ตลาดหุ้นต่อจากนี้และในระยะยาวเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุนแค่ไหน  หรือพูดง่าย ๆ  มันถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานของประเทศและบริษัทจดทะเบียน ในการวิเคราะห์นั้น  ผมจะมองจากภาพใหญ่และประสบการณ์ที่พบเห็นซึ่งก็มักจะยังอิงกับทฤษฎีทางการเงินการลงทุน  บางส่วนก็อิงกับเรื่องทางเทคนิคและจิตวิทยาอยู่บ้างแต่นั่นก็จะเป็นเรื่องระยะสั้นประมาณไม่เกิน 1 ปี ที่บ่อยครั้งดัชนีหุ้นไม่ได้สะท้อนเรื่องของพื้นฐานทั้งหมด เริ่มจากภาพใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของขนาดของ Market Cap. ของตลาดหุ้นไทยที่ล่าสุดเท่ากับประมาณ 14.5 ล้านล้านบาท  เปรียบเทียบกับขนาดของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศที่ปีละประมาณ 16 ล้านล้านบาท ก็คือประมาณ 90% ของ GDP ตัวเลขนี้ถ้ามองจากประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปซัก 10-15 ปีขึ้นไปก็ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะแพงเกินไป  เพราะในสมัยก่อนหน้านั้น  Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของบริษัททั้งตลาดมักจะอยู่ในระดับไม่เกิน 60-70%  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงประมาณ 10 ปีมานี้  ตลาดหุ้นทั่วโลกเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐดูเหมือนว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นมาก  สัดส่วน Market...
นี่คือสิ่งที่ผมทำ และสิ่งที่ตลาดหุ้นจะทำกับคุณต่อไป เจ้าของบทความนี้เป็นเพื่อนนักลงทุนแนว VI ชาวสิงคโปร์ที่รู้จักที่เวียดนามค่ะแนวคิดน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ปัจจุบันที่หุ้นเริ่มตกอีกครั้ง (หลังจากที่ขึ้นมาแรงมาก) แอดเลยพยายามแปลมาฝากเพื่อนๆ ชาว VVI ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านกันนะคะ อ่านจบแล้วไม่รู้ว่ามีใครคิดถึงหนังสือ Principles ของ Ray Dalio เหมือนแอดบ้าง บทความจาก Blog: An Investment Pilgrim's Journal แต่เค้าขอว่าตอนแปลเป็นไทยไม่ต้องบอกชื่อเค้า ขออยู่เงียบๆ ประวัติเจ้าของ Blog น่าสนใจผู้เขียน : จบ ป.ตรีวิศวกรรมการบิน จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล (เกียรตินิยม) + ป.โท วิศวกรรม จากคอร์เนลหลังจากใช้ทุน 6 ปีกับกองทัพอากาศสิงคโปร์ เค้าก็พบว่าไม่ชอบงานที่ทำจึงได้เรียนต่อเรื่อง ป. โทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ NUS แล้วได้ทำงานด้านการเงิน ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้เป็นนักลงทุน Full time และเป็นผู้ก่อสร้างชมรมนักลงทุน VI สิงคโปร์ด้วยค่ะ เหตุผลที่เขียน Blog : เพื่อรวบรวมแนวคิดการลงทุนและบทเรียนที่ได้เรียนรู้รวมทั้งข้อผิดพลาด ความหลงใหลในการลงทุน: ตั้งแต่หยิบหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนครั้งแรกในปี 2002 ก็รู้สึกทึ่งกับโลกของการลงทุนสนุกกับการศึกษาแนวคิดและวิธีการของผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงเช่น Greenblatt, Lynch, Whitman, Fisher...
การระบาดของ Covid-19 ได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจในระยะสั้นและระยะกลางผู้เชี่ยวชาญแนะนำอะไรในการจัดสรรสินทรัพย์หรือลงทุนหุ้นเวียดนามกันบ้าง? สัมภาษณ์ Don Lam ผู้บริหาร VinaCapital ภาพรวม ตอนนี้ทุกประเทศต่างระวังการระบาดระลอก 2 ของ Covid-19 หลังจากมาตรการสาธารณสุขเริ่มผ่อนคลายอย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าเวียดนามจะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ การไหลเข้าของ FDI ยังคงไหลอย่างต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเรื่องภาษีและความไม่แน่นอนใหม่ๆเวียดนามเป็นตัวเลือกของบริษัทเทคโนโลยี-อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ เช่น Samsung, LG, Intel . เราคิดว่าความต้องการนี้จะเพิ่มขึ้นต่อไป Foxconn และซัพพลายเออร์รายอื่นได้ทำการย้ายการผลิตบางอย่างจากจีนมายังเวียดนาม ในทำนองเดียวกันกับบริษัทญี่ปุ่นยุโรปและอเมริกาอีกหลาย การที่ Fed อัดฉีดเงินจำนวนมาก และหุ้นสหรัฐที่ขึ้นมาแรง คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะเข้าสู่ยุคการทำกำไรของตลาดในเวียดนามอีกครั้ง แม้การลงทุนตลาดหุ้นชายขอบ (frontier market ) อย่างเวียดนามไม่ได้รับความนิยมนักในช่วงนี้ แต่ก็เป็นโอกาสในการซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ยังคงเชื่อมั่นในเวียดนาม หุ้นที่ได้รับประโยชน์: ผู้นำตลาด เจ้าของแบรนด์ที่แข็งแกร่งอุตสาหกรรมค้าปลีกสมัยใหม่อสังหาริมทรัพย์สินค้าอุปโภคบริโภคธนาคารวัสดุก่อสร้างพลังงานการบิน / ท่าเรือ / โลจิสติกส์นิคมอุตสาหกรรม เรามองบวกเกี่ยวกับโอกาสในการออกหุ้นกู้และตราสารหนี้ของธุรกิจที่มีคุณภาพสูง ดอกเบี้ยมากกว่า 9% ในระยะเวลาสองปี ข้อควรระมัดระวัง แนวโน้มพันธบัตรรัฐบาลเวียดนาม ค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 3% สำหรับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี)นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2564 ทองคำและอสังหาริมทรัพย์มักจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง โอกาสในระยะยาวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามจะมีศักยภาพสูง เนื่องจากปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์และเวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ได้รับประโยชน์ FDI ที่ไหลจากประเทศจีนเข้ามาหลังโรคระบาด 5 หุ้นที่ชอบ: ไม่ตอบ สัมภาษณ์ Tran Thanh Tan ผู้บริหาร...

ฟิน!…

0
โลกในมุมมองของ Value Investor     7 มิถุนายน 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตลาดหุ้นสัปดาห์ที่แล้วดูสดใสมากจนทำให้นักลงทุนจำนวนมากคิดว่าเราน่าจะกำลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเริ่มขึ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 1,500 จุด พอถึงกลางเดือนมีนาคม  ดัชนีก็ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 1,000 จุดเศษ ๆ หรือเป็นการลดลงประมาณ 33% ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว  ซึ่งเข้าข่ายเป็น “วิกฤติตลาดหุ้น” ซึ่งมีสาเหตุจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่กระจายไปทั่วโลกและทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้อง “ปิดเมือง” ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก  ความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้น “รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง” ในเกือบทุกประเทศ  แต่แล้ว  ภายในเวลาเพียงแค่ 2-3 เดือนจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ดัชนีตลาดหุ้นจำนวนมากในโลกก็ปรับตัวขึ้นอย่างแรง  เฉพาะอย่างยิ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวขึ้นเป็น 1,436 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ40% จากจุดต่ำสุดในช่วงวิกฤติ การปรับตัวขึ้นของหุ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้  มาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักมาก  เฉพาะอย่างยิ่งในช่วง4 วันทำการในสัปดาห์ที่ผ่านมา  ดัชนีปรับตัวขึ้นทุกวัน  รวมแล้วประมาณ 7% แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายน 2563 นั้นสูงถึงกว่าแสนสองหมื่นล้านบาทต่อวันซึ่งแทบไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย  ดังนั้น  นี่น่าจะเป็นการ “ฟื้นตัว” จากวิกฤติที่  “สุดยอด” ที่สุดเท่าที่ผมจำความได้  คนที่พอร์ตว่าง  ไม่มีหุ้นหรือถือหุ้นน้อยมากที่กล้าเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” ในช่วงที่เลวร้ายที่สุดกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและถือจนถึงวันนี้น่าจะทำกำไรได้มหาศาล  นักลงทุนจำนวนไม่น้อยในช่วงนี้น่าจะมีความสุขมากขนาดที่เรียกตามภาษาวัยรุ่นว่า  “ฟิน” กันไปเลย อย่างไรก็ตาม  คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานและมักจะอยู่แทบจะตลอดเวลานั้น  ถึงวันนี้ก็อาจจะยังขาดทุนอยู่  เพราะดัชนีตลาดหุ้นจนถึงวันนี้ก็ยังต่ำกว่าเมื่อสิ้นปี 2562 ที่ 1,580 จุด  หรือต่ำกว่าประมาณ 9% ผมไม่รู้ว่าอารมณ์พวกเขาจะเป็นอย่างไร  แต่ความรู้สึกของผมเองนั้นก็คือรู้สึกดีขึ้นมากแม้ว่าจะยังไม่ได้ช้อนซื้อหุ้นที่ตกลงมามากในช่วงวิกฤติ เงินสดที่ถืออยู่ประมาณเกือบ 10% ของพอร์ตตั้งแต่ก่อนวิกฤติถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่ “จดจ้อง” มานานแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ที่คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่แย่มากนั้น  ถึงวันนี้ก็แทบจะไม่ขาดทุนแล้ว  ความรู้สึกดี ๆ  ที่เห็นหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเกือบทุกวันและนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลแห่กลับเข้ามาซื้อหุ้นราวกับว่าเราอยู่ในช่วง “กระทิงดุ” นั้น  มันเป็นเหมือนการ “สะกดจิต” ให้เรามีความมั่นใจว่าหุ้นจะต้องขึ้นต่อไปอีกอย่างแน่นอน  ใครไม่รีบก็จะต้อง “ตกรถ” อาการของตลาดหุ้นบูมนั้นเกิดขึ้นในทุกมิติ  การเก็งกำไรของรายย่อย  การปั่นหุ้นของขาใหญ่  บทวิเคราะห์หุ้นที่ไม่คำนึงถึงพื้นฐานแต่เน้นสตอรี่ต่าง ๆ  กลับคืนมา  เวลาพูดถึงหุ้น  ทุกคนต่างพูดกันถึงการ Turnaround  พูดถึงการเติบโตของกำไรที่จะกลับมาหลังไตรมาศ 2 หรือปีหน้า  นักวิเคราะห์จำนวนมากพูดถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพราะภาวะเงินที่ล้นอยู่ในระบบอานิสงค์จากดอกเบี้ยที่ต่ำลงและการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เท่ากับความหวังและความเชื่อมั่นว่าภาวะเรื่องของโควิด-19 กำลังจะจบลงในไม่ช้าและทุกประเทศต่างก็ทยอยเปิดเศรษฐกิจแม้ว่าโควิดก็ยังไม่หมดไป  ถ้าจะพูดว่าเวลานี้ประเทศส่วนใหญ่กำลัง “มองผ่านโรคโควิด-19 ไปแล้ว” ก็น่าจะได้  สงครามกับเชื้อโรคนั้นกำลังจบลงแล้วด้วย  “ชัยชนะ”  ของมนุษยชาติ  สงครามต่อไปก็คือ  “สงครามทางเศรษฐกิจ” ที่ทุกประเทศต่างก็พยายามต่อสู้เพื่อไปสู่ชัยชนะเช่นเดียวกันในที่สุด สัปดาห์ก่อนผมเองไปเที่ยวพักผ่อนที่หัวหิน  สิ่งที่พบก็คือ  ชายหาดหน้าโรงแรมหรูที่ผมพักอยู่นั้นค่อนข้างคึกคักแม้เป็นวันธรรมดา  อัตราการเข้าพักของโรงแรมนั้นต้องถือว่า  “เต็ม”  อย่างไม่น่าเชื่อ  ผมคิดว่าหัวหินนั้นได้เปรียบที่คนกรุงเทพสามารถเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการติดโควิดไม่มี  การพักผ่อนริมชายหาดที่เป็นสถานที่เปิดนั้นความเสี่ยงในการติดเชื้อก็น่าจะน้อย  ดังนั้น  นี่เป็นทางเลือกแรกของการท่องเที่ยว  ผมคิดว่าหากสถานการณ์การติดเชื้อของไทยยังดีแบบนี้อยู่  การท่องเที่ยวในประเทศแม้แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินก็น่าจะดีขึ้น   เช่นเดียวกับการท่องเที่ยว  ผมเองก็เริ่ม “เดินห้าง”  เพราะมันเป็นกิจวัตรในยามปกติของผม  จำนวนคนในห้างที่ผมเห็นก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นพอสมควรแล้ว  เช่นเดียวกับภัตตาคารในห้างที่คนเริ่มเข้าไปนั่งกินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ข้อมูลจากคนในวงการบอกว่าขณะนี้อัตราการใช้บริการประมาณ 50-60% ของอัตราก่อนโควิดไปแล้ว  นี่คือสถานการณ์ของภาคธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้เปิดซึ่งผมคิดว่าน่าจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด  สนามรบต่อไปที่น่าจะตามมาในไม่ช้าก็คือการเปิด “เต็มที่” ในทุกธุรกิจซึ่งรวมถึงการชุมนุมคนจำนวนมากเช่น  การแข่งขันกีฬา  งานสัมมนา  มหกรรมการแสดงและขายสินค้า  การจัดคอนเสิร์ต และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ  การเปิด  “ชีวิตกลางคืน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใหญ่มากในสังคมไทย  ทั้งหมดนี้  ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นภายในไม่เกิน 2 เดือน  เพราะดูแล้วเหตุผลที่จะไม่เปิดนั้นมีน้อย  ว่าที่จริง  เป็นเวลากว่า 10 วันติดต่อกันแล้วที่เราไม่มีคนในประเทศติดเชื้อกันเองเลย กิจกรรมสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยกว่ากิจกรรมอื่น ๆ  ที่กล่าวถึงทั้งหมดก็คือ  การ “เปิดประเทศ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ  เพราะนี่อาจจะมีผลกับคนไทยหลายล้านคนหรือคิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP  แต่ผมยังไม่เห็นแผนการที่ชัดเจนเนื่องจากการระบาดของเชื้อโรคในต่างประเทศส่วนใหญ่ก็ยังไม่สงบเพียงพอ  การเปิดประเทศอาจจะทำให้เรามีความเสี่ยงที่โรคจะระบาดซ้ำ  ผมเองคิดว่าประเด็นนี้อาจจะลากยาวไปอีกหลายเดือนและถ้าจะให้เปิดได้เสรีกับนักท่องเที่ยวเกือบทุกประเทศก็อาจจะใช้เวลาเป็นปีหรือมากกว่านั้น  ดังนั้น  การท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็จะเป็นภาคเศรษฐกิจที่จะเป็น “ลมต้าน” สำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถจะโตกลับมาเท่าเดิมภายในเวลาก่อน2 ปี คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนที่เน้นดู “พื้นฐานที่แท้จริง” ของหุ้นในระยะยาวก็คือ  ราคาหรือดัชนีหุ้นในช่วงนี้สูงเกินไปหรือยัง  การพุ่งขึ้นของหุ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้มีพื้นฐานที่รองรับหรือไม่?   ถ้ามองว่าราคาหุ้นไทยก่อนโควิด-19 นั้นมีความเหมาะสมอยู่แล้ว  เพราะดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 1,500 จุด ซึ่งมีค่าPE ที่ประมาณ 18 เท่า ซึ่งทำให้ค่า EP เท่ากับ 5.5% ต่อปีเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ประมาณ 1-2% ก็คือมีส่วนต่างประมาณ 3.5-4.5% สำหรับการรับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นนั้น  มองจากประวัติศาสตร์ก็ดูเหมาะสม ไม่แพงหรือถูกเกินไป  แต่การเกิดของโควิด-19 นั้น  ถ้าเราสมมุติว่าจะทำให้เศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถอยหลังไป 2 ปี  คือต้องใช้เวลาอีก 2 ปี เศรษฐกิจและกำไรถึงจะกลับมาที่เดิม  นั่นก็แปลว่าดัชนีหุ้นตอนนี้ควรที่จะต่ำกว่า 1,500 จุด ซัก 12% เพื่อที่ว่าตลาดหุ้นจะโตขึ้นปีละ 6% ต่อปีซึ่งเป็นอัตราที่ผมคิดว่าตลาดหุ้นจะทำได้ในระยะยาวนับจากวันนี้  นั่นก็หมายความว่าดัชนีที่เหมาะสมในวันนี้ก็ควรจะเป็นประมาณ 1,320 จุด ซึ่งต่ำกว่า 1,436 จุดและถ้าเราเชื่อตามนี้ก็หมายความว่าดัชนีหุ้นที่เราเห็นในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ก็ถือว่า “เต็มมูลค่า” แล้ว แน่นอนว่าการคาดการณ์แบบหยาบที่สุดข้างต้นนั้น  มีโอกาสผิดพลาดสูงมากทั้งทางบวกและทางลบ  แต่การที่หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับปริมาณการซื้อขายสูงลิ่วและเกิดขึ้นในยามที่คนจำนวนมากกำลังมีความหวังสูงสุดและสถานการณ์เต็มไปด้วยความสดใสหลังจากความเศร้าหมองหดหู่ซึ่งมักจะก่อให้เกิด “Euphoria” หรือความ “ฟิน”  ในตลาดหุ้นนั้น  เราในฐานะ VI ก็จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ  เพราะตลาดหุ้นจะมีเหตุผลซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นมีเหตุผลก็ต่อเมื่อคนไม่อยู่ในภาวะที่ฟินหรือหดหู่เกินไป  
โลกในมุมมองของ Value Investor  31 พ.ค. 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เวลาที่คนเรามีอายุมากขึ้นนั้น  เรามักจะมองกลับไปในอดีตรำลึกถึงความหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะนั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เงินและพลังงาน  ผมเองก็เป็นอย่างนั้น  แต่ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ผมก็อดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ว่าชีวิตในอดีตกับชีวิตในปัจจุบันของผมมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง  ปรัชญาและความคิดสมัยก่อนกับสมัยนี้ของผมเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน  ทั้งหมดนี้ผมก็ดูด้วยว่าสังคมไทยเองมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนด้วยเพื่อจะได้เปรียบเทียบกับชีวิตและความคิดของตนเอง  ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นโดยเฉพาะที่สนใจในการลงทุน  เพราะชีวิตผมเองนั้น  ถ้าจะนิยามในวันที่ผมไม่อยู่แล้วคงต้องบอกว่าเป็น  “ชีวิตของนักลงทุน VI” คนหนึ่ง             และเรื่องแรกที่ผมคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือเป็นวิวัฒนาการของผมจากช่วงเยาว์วัยมาเป็นคนสูงอายุก็คือ  เดิมผมจะมองเรื่องต่าง ๆ  ในโลกและในชีวิตแบบสัมบูรณ์หรือ Absolute  แต่เมื่ออายุมากขึ้นผมก็รู้สึกตัวหรือคิดว่าชีวิตหรือแทบทุกอย่างในโลกนี้นั้นเป็นเรื่องสัมพัทธ์หรือ Relative  พูดง่าย ๆ  เรื่องต่าง ๆ  ในโลกนี้เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ   ตัวอย่างเช่น  เมื่อเราพูดว่าใครเป็น “คนรวย”  ถ้าเราพูดว่าต้องมีเงินเป็นตัวเลขเท่านั้นเท่านี้  นี่คือการพูดแบบสัมบูรณ์  แต่ผมคิดว่าวิธีที่จะกำหนดว่าใครเป็นคนรวยควรจะเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบว่าในสังคมนั้น  ใครคือคนที่มีเงินมากที่สุดและลดหลั่นกันลงไป  ถ้าเพื่อนของคุณส่วนใหญ่มีเงินมากกว่าคุณ  คุณเองก็อาจจะไม่ใช่ “คนรวย”  เมื่อ 50 ปีก่อนสมัยที่ผมยังเรียนมัธยม ...

MOST POPULAR