” Chris Freund หุ้นส่วนของ Mekong Capital Ltd.กล่าวว่าขณะนี้ดัชนี VN ซื้อขายที่ 12.8 เท่าของกำไรในช่วง 12 เดือนข้างหน้านับว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ สิงหาคม 2017 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสามปีที่ 14.8 เท่า “ (Bloomberg) – สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผลตอบแทนหลัง Tet แย่พอกับหุ้นจีน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ SSI กล่าวว่า “ การหยุดชะงักของโลกที่สำคัญจากซัพพลายเออร์สำคัญเช่นจีน อาจเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อการเติบโตที่นี่” ในขณะเดียวกันมูลค่าที่ต่ำกว่าปกติจะสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนที่ต้องการสะสมหุ้นระยะยาวในราคาที่เหมาะสม Ruchir Desai ผู้จัดการกองทุนของ Asia Frontier Capital กล่าวว่า“ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะสั้นต่อเวียดนามจะติดลบเนื่องจากการเชื่อมโยงทางการค้าและการท่องเที่ยวกับจีน https://finance.yahoo.com/news/vietnam-stock-slump-second-worst-235530598.htmlhttps://www.facebook.com/vvinvestor/posts/2045947492296775/ เกร็ดความรู้ : คนไทยหลายคนมองว่านิสัยและแนวคิดของคนเวียดนามคล้ายไทย แต่แอดว่าคล้ายจีนมากกว่า โดยความสัมพันธ์เวียดนาม-จีน เป็นแบบ"ทั้งรักทั้งเกลียด" กล่าวคือ ชาวเวียดนามเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จีนเป็นเวลานานถึง 2,000 ปีเวียดนามได้รับอิทธิพลจากจีนทั้งทางวัฒนธรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม รวมถึงการปกครองการเมืองระบอบคอมมิวนิสต์ ที่ทำให้ทั้งสองประเทศมีระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดเหมือนกัน แม้ว่าจีนและเวียดนามจะเป็นเหมือนพี่น้องกัน ทว่าความสัมพันธ์กลับไม่ราบรื่น จาก 2 เรื่องสำคัญคือกระแสชาตินิยมต่อต้านจีนของชาวเวียดนาม จากความขมขื่นที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจหลายพันปีความขัดแย้งกับจีนในทะเลจีนใต้ ล่าสุดไวรัสโคโรน่า เวียดนามตัดขาดจีน! เวียดนามเลิกบินจีน-ฮ่องกง-ไต้หวัน ระงับออกวีซ่านักเที่ยว ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า...
หลังจากเมื่อวานนี้ช่วงเช้าดัชนีหุ้นเวียดนาม ลดลงต่ำกว่า 900 จุดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการปรับฐานครั้งสำคัญ ซึ่งก็ถือว่าเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส แต่เหนืออารมณ์ตลาดเราควรมาดูสถานการณ์จริงในปัจจุบันดีกว่าค่ะ 7.00 น. 3 กุมภาพันธ์ 2020 จำนวนผู้ติดเชื้อ coronavirus ของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 8 คน และ มีผู้ต้องสงสัย 92 คน สิ่งที่เวียดนามทำ เวียดนามระงับสายการบินทั้งหมดจากจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า และหยุดการออกวีซ่านักท่องเที่ยวให้กับผู้ที่มาจากประเทศจีนรวมถึงชาวจีนและชาวต่างชาติที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่เป็นเวลา 14 วันโรงเรียนและมหาวิทยาลัยปิดอีกสัปดาห์ รัฐบาลเวียดนาม มีการควบคุมสถานการณ์อย่างแข็งขันมากเพื่อควบคุมโรคนี้ Nikkie มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำhttps://asia.nikkei.com/Spotlight/Coronavirus-outbreak/Vietnam-moves-to-block-coronavirus-risk-to-supply-chain ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นของเวียดนามเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นในเอเชียโดยร่วงลง 7% ในรอบ 3 วัน ภาคธนาคารหลายตัวบวก BID (+ 3.88%), CTG (+ 3.07%), VPB (+ 0.67%) และ STB (+ 0.49%) แต่ภาคที่ส่วนใหญ่กังวล - การบิน - มีแรงขายต่อเนื่อง VJC (-3.61%),...
ช่วงเช้าวันนี้ ดัชนี VN ลดลงต่ำกว่า 900 จุดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี (เวลา 9:25 น. VN-Index ลดลง 37.84 จุด (4.04%) เป็น 898.78 จุด) ก่อนจะปรับขึ้นมายืนเหนือ 900 จุดได้ แอดรีบเช็คข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นและขอสรุปประเด็นดังนี้ค่ะ ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อ nCoV (Corona) นี่มีผลตลาดเวียดนามก็ไม่มีข้อยกเว้น แรงกดดันในการขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ้นขนาดใหญ่เช่น BVH, FPT, GAS, MSN, VIC, VNM, VCB, SAB, MWG มูลค่าลดลงเช่นเดียวหลักทรัพย์ธนาคารน้ำมันและก๊าซอสังหาริมทรัพย์การก่อสร้าง ตรงกันข้ามผลิตภัณฑ์ยา DVN, PME, TRA, IMP, DHC, DMC, JVC, AMV มีความสนใจและหุ้นปรับตัวขึ้นตัวเลขเดือน ม.ค. 2020 ของเวียดนามออกมาไม่ค่อยดี อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 6.43% yoy ยอดส่งออกเดือน ลดลง 14.3%...
เปิดปี 2020 ด้วยเรื่องใหญ่ๆ ที่กระทบกับตลาดหุ้นมากมาย และสิ่งที่ทั่วโลกเป็นกังวลอยู่ ณ. ขณะนี้คงไม่พ้นไวรัสโคโรน่า ทีมงาน VVI ชาวเวียดนามจัดทำ Infographic ถึงผลของตลาดหุ้นเวียดนามต่อโรคไวรัสโคโรน่า มาให้แอดมินเล่าสู่กันฟังค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามาดูประวัติของไวรัสโคโรน่ากันก่อน ต้นกำเนิดไวรัสโคโรน่า: เมืองอู่ฮั่น (Wuhan) ประเทศจีน และเริ่มติดต่อไปยังเมืองอื่นๆ ของจีนและประเทศต่างๆ ในโลก วันศุกร์ที่ผ่านมามีการยืนยันผู้ติดเชื้อโคโรน่าที่ Hubie กว่า 4,500 ราย ส่วนประเทศไทย 19 รายและเวียดนาม 2 ราย ในฐานะนักลงทุนถึงแม้อนาคตจะเป็นเรื่องที่ยากต่อการทำนายได้ถูกต้อง 100% แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อการทำนายอนาคตให้ใกล้เคียงก็คือการศึกษาข้อมูลในอดีต ย้อนอดีตไปดูผลกระทบของโรคระบาดต่อหุ้น โรค Sars ที่มีผลต่อดัชนีหุ้น MSCI Chinaโรค Swine flu ที่มีผลต่อ ดัชนีหุ้น MSCI Mexicoโรค Ebola ที่มีผลต่อ ดัชนีหุ้น MSCI Africaโรค Zika ที่มีผลต่อ...
โลกในมุมมองของ Value Investor        1 กุมภาพันธ์ 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​การประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทยหรือ KBANK และช.การช่างหรือ CK เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปกว่า 5% ในทันทีนั้น  เป็นเรื่องราวพิเศษที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยในตลาดหุ้นไทย  ในความคิดของผมและอาจจะนักลงทุนอีกหลายคนนั้นคงมองว่าผู้บริหารของทั้งสองบริษัทเห็นว่าราคาหุ้นของตนเอง  “ต่ำเกินไป”  เทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการแต่นักลงทุนอาจจะมองไม่เห็น  หรืออาจจะเห็นแต่คิดว่ามูลค่าหรือคุณค่านั้นถูก “เก็บ” หรือ“กัก” ไว้ในบริษัทไม่สามารถปล่อยออกมาให้กับผู้ถือหุ้นได้  ดังนั้นพวกเขาก็ไม่ให้คุณค่ากับทรัพย์สินเหล่านั้น  การที่บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในวิธีที่จะ  “ปลดปล่อยคุณค่าของหุ้น” ทำให้หุ้นมีคุณค่าหรือมูลค่ามากขึ้น  และก็ดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง  ผมเองก็หวังว่าต่อจากนี้จะมีบริษัทหรือหุ้นที่สามารถและเต็มใจที่จะ  “ปลดปล่อยคุณค่า” ของหุ้นที่ถูกเก็บหรือกักไว้มากขึ้น   และต่อไปนี้ก็คือวิธีการที่อาจจะเลือกทำได้ ​สำหรับบริษัทที่มีเงินสดมากพอและไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรนั้น  วิธีที่ง่ายและควรทำที่สุดก็คือการจ่ายปันผลออกไปให้มากขึ้น  แต่ถ้าจะยิ่งดีขึ้นไปอีกก็คือการประกาศซื้อหุ้นคืนอย่างมีนัยสำคัญเช่น 10% ของบริษัทและต้อง “ซื้อจริง ๆ” ไม่ใช่ประกาศแล้วถึงเวลาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ซื้อ  หุ้นขึ้นไปบ้างก็ไม่ซื้อ  การตั้งใจซื้อจริงจะทำให้จำนวนหุ้นน้อยลงและกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น  ทำให้ปันผลในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้นราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น  แต่ถ้าไม่เพิ่มขึ้นก็ไม่ต้องสนใจ  เพราะคุณค่านั้นถูก “ปลดปล่อยให้แก่ผู้ถือหุ้น”ผ่านการปันผลที่เพิ่มขึ้นแล้ว  กลยุทธ์การซื้อหุ้นคืนนั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบมากและแทบทุกบริษัทที่เขามีสิทธิมีเสียงเขาจะสั่งหรือแนะนำให้ผู้บริหารบริษัทพิจารณา  ในตลาดหุ้นไทยนั้น  ที่ผ่านมามักจะมีแต่บริษัทขนาดเล็กหรือกลาง-เล็กที่มักจะประกาศซื้อหุ้นคืนหลังจากที่ราคาหุ้นตกต่ำลงไปมากซึ่งทำให้เจ้าของเดือดร้อนต้อง  “พยุงราคาหุ้น”  โดยใช้เงินบริษัท  ทั้ง ๆ  ที่ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นก็ยังไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน  ดังนั้น  การซื้อหุ้นคืนแบบนี้ก็เป็นแค่การ “เล่นหุ้น”  ที่ไม่ควรทำ  เป็นการทำลายคุณค่าของหุ้น ​การปลดปล่อยคุณค่าของหุ้นที่ทำโดยผู้บริหารบริษัทที่มักจะรู้คุณค่าหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นจริงอีกแบบหนึ่งก็คือการที่ผู้บริหารทำ Leverage Buyout หรือผู้บริหารกู้เงินมาเทคโอเวอร์บริษัทที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่อื่นที่ควบคุมบริษัทอยู่  การทำแบบนี้ได้ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐานของกิจการที่ต้องสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินยอมปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริหารเพียงพอที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท  เมื่อซื้อหุ้นได้ทั้งหมดแล้ว  ผู้บริหารก็มักจะต้องปลดปล่อยทรัพย์สินออกมาให้กับตนเอง  เช่นจ่ายปันผลมโหฬารให้กับตนเองที่เป็นผู้ถือหุ้นเพื่อไปคืนหนี้  หรือขายทรัพย์สินบางส่วนที่ขายได้ง่ายเพื่อนำเงินนั้นมาจ่ายคืนหนี้ด้วย  การทำ Leverage Buyout นั้น  เพื่อที่จะดึงดูดให้นักลงทุนเทนเดอร์หรือขายหุ้นให้กับผู้บริหาร  เขาก็มักจะต้องเสนอราคาค่อนข้างสูงในระดับ 50% บวกเหนือราคาตลาดในขณะนั้น  และนี่ก็เป็นการปลดปล่อยคุณค่าหุ้นได้ค่อนข้างมาก  ในตลาดหุ้นไทยนั้นยังมีกรณีแบบนี้ไม่มากแต่ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ​กรณีต่อไปก็คือการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดประกาศซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท นี่คือกรณีที่บัฟเฟตต์ประกาศเทคโอเวอร์หุ้นทั้งหมดของ GEICO ที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่แล้ว  กรณีนี้มักจะเป็นเรื่องที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อาจจะเป็นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจหลายอย่างและต้องการที่จะจัดระเบียบหรือปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มโดยการเทคโอเวอร์บริษัทลูกเพื่อถอนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  กรณีแบบนี้การเสนอราคารับซื้อหุ้นก็มักจะไม่สูงเท่ากับกรณี Leverage Buyout เช่น  อาจจะรับซื้อในราคาบวกซัก 30%จากตลาด เป็นต้น  คุณค่าที่ถูกปลดปล่อยออกมาให้กับนักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ก็จะน้อยกว่าเนื่องจากคนที่ซื้อเองนั้นก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ควบคุมบริษัทอยู่แล้ว   “Control Premium” หรือคุณค่าของการที่สามารถควบคุมบริษัทได้ก็ไม่เกิดขึ้น  ดังนั้น  คนซื้อก็มักจะไม่ยอมจ่ายแพงมาก ​สุดท้ายก็คือการที่มี “คนนอก” ที่มองเห็นว่าบริษัทมีมูลค่าพื้นฐานสูงกว่าราคาหุ้นมากจนอยู่ในข่ายที่สามารถเข้าไปเทคโอเวอร์และปลดปล่อยคุณค่านั้นได้และคุ้มที่จะทำ  กรณีแบบนี้ถ้าเป็นตลาดหุ้นพัฒนาอย่างในสหรัฐก็ถือว่าบริษัทเป็น “Takeover Target”  บริษัทไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ควบคุมบริษัทอยู่  บริษัทมีผลประกอบการและ/หรือทรัพย์สินที่รวมถึงบริษัทลูกที่สามารถขายได้ทันทีที่เพียงพอที่จะคืนหนี้แบ้งค์ได้ในเวลาอันสั้น...
พอดีวันนี้แอดได้รับ inbox ว่า "สวัสดีครับแอดมิน พอจะเรื่องโรคโคโรน่า ที่เวียดนาม มาอัพเดทกันบ้างมั้ย รอรับชมครับ ขอบคุณครับ" ทางเพจจึงรวบรวมข้อมูลมา Update ให้ฟังดังนี้ค่ะ สถานการณ์โลก เวลา13:00 น. 29 ม.ค. 62 อัปเดตยอดผู้ป่วยสะสมทะลุ 6,000 เสียชีวิตแล้ว 132 ราย ผู้ติดเชื้อที่เวียดนาม เวลา15:40 น. 29 ม.ค. 62 กรณีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าต่างประเทศ (นอกจีน) อันดับ 1 : พบที่ประเทศไทย (พบการติดเชื้อ 14 คน) อันดับ 11: พบที่เวียดนาม (พบการติดเชื้อ 2 คน) เวียดนามได้เพิ่มมาตรการคัดกรองของนักเดินทางทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่เล่าว่าเขาไม่เคยพบการแพร่ระบาดของโรคเช่นนี้ในช่วงห้าปีที่ทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บริษัททัวร์เวียดนามหลายแห่งได้ระงับทัวร์ขาออกไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าศูนย์กลางการท่องเที่ยวของ Da Nang, Khanh Hoa and Lao Cai ได้ขอให้บริษัทการท่องเที่ยวหยุดทัวร์จีนและยกเลิกทัวร์ต่างประเทศ เมื่อปีที่แล้วเวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน 5.8 ล้านคนเพิ่มขึ้น 17%...
บทความนี้จะมาแนะนำและอัพเดตข้อมูลหุ้นรายตัว ที่ยังคงอยู่ในกลุ่ม 30 หุ้นที่ทำกำไรมากที่สุดในปี 2019 ของเวียดนามค่ะ เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเวียดนาม FPT Corporation หรือ FPT ค่ะ ภาพรวม • FPT เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีธุรกิจหลักคือ โทรคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ  การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไอที, ส่งออกซอฟต์แวร์, การรวมระบบ, บริการอินเตอร์เน็ต เป็นต้น รวมถึงธุรกิจการลงทุนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ • ผู้ก่อตั้งบริษัท Truong Gia Binh ได้รับการขนานนามว่าเป็น Bill Gates แห่งเวียดนาม และเป็นนักธุรกิจชาวเวียดนามคนแรกที่ได้รับรางวัลจาก Nikkei Asia จากกลุ่ม Nikkei ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย • เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไม่ใช่กิจการของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และกำลังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ที่ปัจจุบันมีการดำเนินการแล้วใน 45 ประเทศทั่วโลก โดยที่ผ่านมาได้เข้าซื้อบริษัทไอทีในสโลวะเกีย และบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ • บริษัทในเครืออาทิ - FPT Software Company Limited - FPT Information System Company Limited - FPT Investment JSC - FPT Education Company Limited - FPT Online Services JSC - Synnex FPT JSC - FPT Telecom Joint Stock Company  - FPT Digital Retail JSC  • อยู่ใน Top 5 ของหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดของเวียดนาม • มีสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติมากถึง 49% ถือหุ้นโดยรัฐบาล 5.9% และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดคือ Truong Gia Binh 7.08% • ตามรายงานรายได้ของ FPT ในปี 2019 FPT มีรายได้สุทธิที่ 27,717,000 ล้าน VND เพิ่มขึ้น 19.4%  มีกำไรก่อนหักภาษีที่ 4,665 ล้านVND เพิ่มขึ้น 20.9% มีรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 26%...
โลกในมุมมองของ Value Investor         25 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตั้งแต่กระแส Disruption หรือการทำลายล้างธุรกิจดั้งเดิมโดยเทคโนโลยีใหม่ที่อิงกับดิจิตอลเกิดขึ้นเต็มที่ทั่วโลก  เราก็ได้เห็นหลาย ๆ  ธุรกิจหรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลาย ๆ  ตัวตกต่ำลงแทบจะเป็น  “หายนะ” การที่หุ้นตกลงมาครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุดเป็นเรื่องปกติ  บางกลุ่มหรือบางตัวตกลงมาเหลือแค่ 10%  เจ้าของซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนนั้นเปลี่ยนสถานะจากมหาเศรษฐีกลายเป็นเศรษฐีธรรมดา  หลายคนจากเศรษฐีก็เหลือแค่เป็นคนรวยธรรมดา ๆ  คนหนึ่งในเวลาเพียงไม่กี่ปี  คนที่ลงทุนในหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt นั้นต่างก็ขายหุ้นหนีตาย  หุ้นถูกหลีกเลี่ยงโดยนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุน “ผู้รอบรู้” หรือเป็น “VI” ไม่ว่าราคาจะตกลงมาเท่าไร  ครั้นจะสวิทซ์หุ้นจากหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt เป็นหุ้นที่กำลัง Disrupt คนอื่น  ก็หาไม่ได้ในตลาดหุ้นไทย  ต้องไปลงทุนข้ามประเทศในตลาดใหญ่อย่างอเมริกาหรือจีน  ซึ่งยังมีอุปสรรคไม่น้อย  แถมราคาหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะแพงมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ตนเองอาจจะยังมีความรู้หรือความเข้าใจไม่พอว่าควรจะเข้าตอนไหน แต่สำหรับผมแล้ว  “ในวิกฤติก็มีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น”  ข้อแรกก็คือ  มันจะต้องวิกฤติก่อน  แล้วเราถึงจะหาโอกาส  ความหมายของผมก็คือ  มองหาหุ้นที่ราคาตกลงมามากจน “ถูกมาก”  ซึ่งคำว่าถูกมากนี้ต้องวัดด้วยมาตรวัดทุกค่า  เช่น  ค่า PE PB Dividend Yield และ Market Cap. หรือรวมถึงตัวอื่น ๆ  ที่อาจจะใช้ได้  ถ้าค่าทุกค่านั้นบ่งบอกว่าหุ้นมีราคา “ถูกมาก” อย่างที่  “ไม่เคยปรากฏมาก่อน”  แบบนี้ก็ชัดเจนว่าหุ้นกำลัง  “วิกฤติ” อย่างไรก็ตาม ถ้ามีค่าบางตัว เช่น ค่า PE อาจจะไม่ต่ำ  หรืออาจจะติดลบเลย  แต่เป็นเหตุการณ์เฉพาะครั้งเดียว  หุ้นก็ยังสามารถพูดได้ว่าถูกมาก  วัดจากตัวเลขอื่น ๆ  ได้  โดยเฉพาะจากค่า Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทเทียบกับที่เคยเป็นมา “โอกาส” ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ  ธุรกิจหรือหุ้นที่คนคิดว่าถูก Disrupt หรือกำลังถูก Disrupt นั้น  ไม่ถูก Disrupt จริง หรือถูก Disrupt แค่บางส่วน  หรือใช้เวลานานมากก่อนที่มันจะถูกทดแทนได้ทั้งหมดซึ่งทำให้ธุรกิจยังคงหากินหรือทำกำไรได้ไปอีกนานและคุ้มที่จะลงทุน    ถ้าเราเจอหุ้นแบบนี้ที่มีราคาตกลงมามากเกินไป  มันก็อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปลงทุนและทำผลตอบแทนทบต้นได้ดีพอ เช่น  10-15% ต่อปีต่อเนื่องไปอีกซัก 10 ปี  เป็นต้น การวิเคราะห์เพื่อหาซีนาริโอว่าหุ้นที่ตกลงมามากจากความกลัวว่ามันจะถูก Disrupt จะเป็นแบบไหนจริง ๆ  นั้น  ไม่ใช่เรื่องง่ายนักและจะต้องคำนึงถึงเรื่องของท้องถิ่นหรือสถานที่ตั้งของธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่ก็คือประเทศไทยด้วย  และต่อไปนี้ก็คือธุรกิจบางอย่างที่ผมมอง หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการการเงินทุกรูปแบบนั้น  ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt บางส่วนโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ  รายได้และกำไรคงหายไปอย่างมีนัยสำคัญแต่ธุรกิจอื่น เช่น  การปล่อยสินเชื่อหากินจากส่วนต่างของดอกเบี้ย  การบริหารเงินและบริหารความเสี่ยงให้ลูกค้า  การขายประกันและผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน  ก็ยังน่าจะอยู่ไปอีกนาน  นอกจากนั้น  ธนาคารยังสามารถลดต้นทุนของการให้บริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องใช้คนและสาขาลงได้ไม่น้อยเมื่อเวลาผ่านไป  ดังนั้น  แบ้งค์โดยรวมจึงน่าจะยังไม่ถูกDisrupt  และผมคิดว่าการที่หุ้นแบ้งค์หลาย ๆ  ตัวตกลงมาแรงนั้น  น่าจะเป็น  “โอกาส”  ในการลงทุน   อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อาจจะมีประเด็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นและความต้องการสินเชื่อลดลง  ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องพิจารณาร่วมด้วย ธุรกิจ “สื่อดั้งเดิม” ทั้งหลายซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงทีวี  หนังสือพิมพ์  สื่อนอกบ้าน  ผมคิดว่า ถูก Disrupt อย่างรวดเร็วและยังไม่จบ  ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นเรียกว่าเป็นวิกฤติระดับ  “หายนะ” คนจำนวนมากยังทยอยเลิกดูทีวี  หนังสือพิมพ์วารสารต่าง ๆ  เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผมเองที่เคยติดละครหลังข่าวบนจอทีวีนั้น  ก็เพิ่งจะเลิกเปิดทีวีไปหลายเดือนแล้วตามภรรยาซึ่งเลิกดูละครผ่านทีวีแต่หันไปดูในไอแพดแทน  ดังนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้ที่ตกลงมามากเป็นวิกฤติแต่โอกาสที่จะซื้อลงทุนก็อาจจะไม่เกิด  ราคาที่ลงไปนั้น  อาจจะเหมาะสมกับธุรกิจที่ค่อย ๆ  ลดค่าลงไปเรื่อย ๆ  และไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร ห้างค้าปลีกแบบมีหน้าร้านโดยเฉพาะที่เป็นช็อบปิ้งมอลขนาดใหญ่นั้น  ราคาหุ้นก็ลงมาบ้างเหมือนกันแต่ไม่มากขนาดเป็นหายนะ  แม้ว่ากำไรจะโตช้าลงมากหลายคนก็ยังคิดว่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังน่าสนใจลงทุน  คำถามสำคัญก็คือ  ห้างแบบนี้ในประเทศไทยในที่สุดจะค่อย ๆ  ตกต่ำลงเพราะถูก Disrupt จากการค้าขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตแบบที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วอย่างในอเมริกาหรือไม่?   นอกจากนั้น  ธุรกิจอย่างการขายอาหารที่มีหน้าร้านก็ดูเหมือนว่ากำลังถูกท้าทายโดยการขายอาหารแบบดีลิเวอร์ลี่ผ่านแอ็ปต่าง ๆ  สุดท้ายภัตตาคารจะแย่หนักไหม? คำตอบเรื่องนี้คงต้องดูเป็นธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ไป  กลุ่มแรกพวกเมกาสโตร์ ที่ขายสินค้าทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt อย่างช้า ๆ  เมื่อคนเริ่มสั่งของจากที่บ้านและพบว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ  อานิสงค์จากความก้าวหน้าของการทำโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ  ดังนั้น  คนมีเหตุผลที่จะต้องไปซื้อที่ห้างน้อยลง  การเติบโตของยอดขายจะน้อยลงจนอาจจะถึงกับติดลบก็เป็นไปได้  อย่างไรก็ตาม  ห้างคง “ไม่ตายแต่ไม่โต” ธุรกิจทำห้างให้เช่าแบบสรรพสินค้านั้น  บางคนบอกไม่ถูกกระทบเพราะรับค่าเช่าจากคนขายของ  แต่ถ้าคนขายของได้น้อยลง  ค่าเช่าที่จะจ่ายได้ก็ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้นไม่ได้  จริงอยู่ คนไทยนั้นอาจจะยังต้องการเดินห้างอยู่เนื่องจากมันเย็นสบาย  มีแหล่งบันเทิงและทำธุรกรรมต่าง ๆ  เช่น การเงิน  รวมถึงกินอาหารภัตตาคารในห้าง  ส่วนการซื้อสินค้านั้นเขาอาจจะทำน้อยลงเนื่องจากการทำผ่านอินเตอร์เน็ตสะดวกกว่า   มีแบบสินค้าให้เลือกมากกว่าและราคาถูกกว่า  ดังนั้น  ธุรกิจทำห้างให้เช่าจึงอาจจะมีกำไรหรือเติบโตไม่เหมือนเดิม  ราคาหุ้นไม่ควรจะแพงอย่างที่เคยเป็น ร้านขายสินค้าเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะอย่าง  เช่น  สินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านนั้น  ผมคิดว่าเนื่องจากสินค้ามีความหลากหลายมากทั้งราคา  รูปแบบ  ความถี่ในการใช้  ทำให้ผู้บริโภคต้องการ “ดูของจริง” มากกว่าจะดูจากภาพ  และบ่อยครั้งเป็นการซื้อหลายอย่างพร้อม ๆ  กันและมีมูลค่าค่อนข้างสูง  ดังนั้น  คนซื้อจึงอยากจะไปซื้อที่ร้านมากกว่าสั่งจากอินเตอร์เน็ต  ดังนั้น  ผมคิดว่าคงยังห่างจากการถูก Disrupt พอสมควร  กลุ่มที่สองคือสินค้าอิเล็กโทรนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย  นี่คือสินค้าที่อาจจะถูก Disrupt ได้ง่ายเนื่องจากมันเป็นสินค้าที่เป็นมาตรฐานเหมือนกันและมียี่ห้อและรุ่นไม่มากนัก  การเลือกผ่านอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย  อย่างเดียวที่ดูเหมือนว่าหลายคนก็ยังอยากไปซื้อที่ร้านก็เพราะว่ามันเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ยอมเสียเวลาไปดูซักหน่อยและได้รับบริการการอธิบายการใช้งานก็อาจจะยังคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt และอาจจะเกิดขึ้นเร็วนั้นมีพอสมควร  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนที่พยายามขายผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น  อาจจะรวมไปถึงเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและแข่งขันกับห้างที่มีหน้าร้านได้ ธุรกิจขนาดใหญ่สุดท้ายที่น่าสนใจมากเพราะราคาหุ้นตกลงมาจนน่าจะเป็นวิกฤติแล้วก็คือ ธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะถ่านหินและน้ำมันซึ่งพูดกันว่ากำลังถูก Disrupt จากพลังงานสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า  ความคิดของผมก็คือ  นี่คือธุรกิจที่ผู้ใช้นั้นเป็นโรงงาน(โรงไฟฟ้า) หรืออุปกรณ์(รถยนต์) ที่มีอายุยืนยาวและมีจำนวนมากมาย  ดังนั้น  การเปลี่ยนหรือทดแทนถ้าจะเกิดขึ้นก็จะเป็นไปอย่างช้า ๆ   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เทคโนโลยีใหม่ก็ยังไม่ได้เหนือกว่าเทคโนโลยีเก่าในทุกด้านโดยเฉพาะราคาและความสม่ำเสมอและประสิทธิภาพของการทำงานทำให้การ Disrupt เป็นไปอย่างช้า ๆ  ผมคิดว่าอย่างน้อยคงต้องเป็น 10 ปีขึ้นไปก่อนที่ธุรกิจจะมีปัญหาอย่างจริงจัง  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์  นี่ทำให้ราคาของสินค้าโดยเฉพาะที่เป็นต้นน้ำถูกกระทบในด้านลบได้ค่อนข้างแรงเมื่อความต้องการลดลงแม้เพียงเล็กน้อย ยังมีธุรกิจอีกมากที่เราจะต้องวิเคราะห์ผลกระทบของ Disruption ว่าที่จริงในระยะหลัง ๆ  นี้  แทบไม่มีธุรกิจไหนที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง  ดังนั้น  นักลงทุนจะต้องคิดและคำนึงถึงอยู่เสมอเมื่อจะลงทุนซื้อขายหุ้น
ถ้าหากพูดถึงกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามคงจะขาด Vingroup ไปไม่ได้ บทความนี้จึงจะมาแนะนำและอัพเดตข้อมูล ของ Vingroup Joint Stock Company (VIC) หรือ Vingroup JSC กันค่ะ ความเป็นมา • ก่อตั้งในยูเครนโดยกลุ่มวัยรุ่นไฟแรงชาวเวียดนาม ในปี 1993 ด้วยชื่อเดิม Technocom เริ่มต้นด้วยธุรกิจการแปรรูปอาหารภายใต้แบรนด์ Mivina และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนเป็นหนึ่งในการจัดอันดับ 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุดในยูเครน • ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศเวียดนาม Technocom กลับมาเวียดนามในปี 2000 และเริ่มต้นธุรกิจด้วยแบรนด์ Vincom และ Vinpearl เป็นแบรนด์หลักในเวียดนาม และทั้งสองบริษัทก็ร่วมกิจการและจัดตั้งบริษัทร่วมทุน Vingroup ในปี 2012 ภาพรวม •เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียโดยมีมูลค่าหลัก ทรัพย์ตามราคาตลาดประมาณ 16,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ •เป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลายภาคส่วน เป็นผู้บุกเบิกและนำเทรนด์ในธุรกิจต่างๆ และมีมาตรฐานระดับสากล •สร้างแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับทั้งในเวียดนามและต่างประเทศ •ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด •เป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีผลกำไรเท่ากับ 50% ของภาคส่วนนี้ทั้งหมด •ผู้ก่อตั้ง Pham Nhat Vuong เป็นคนเวียดนามคนแรกที่ติดอันดับ...
โลกในมุมมองของ Value Investor    18 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแก่ตัวลงทำให้ชอบมองย้อนหลังและเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันในทุกเรื่องทุกประเด็นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องที่ผมคิดว่าเป็น  “แนวโน้ม” ใหญ่  หรือเป็นกระแสที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวทางเดียว  ไม่ใช่เรื่องที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นกลับไปมาหรือขึ้นลงเป็นแฟชั่น ในบทความนี้ผมคงพูดเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นหลักและก็จะเป็นเรื่องที่มาจากความเข้าใจและความรู้สึกที่เก็บสะสมมาต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ได้อ้างอิงตัวเลขแบบวิชาการ   อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าตัวเลขจริงก็คงไม่ผิดไปมากจนทำให้ข้อสรุปนั้นมีความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องแรกก็คือการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งในอดีตนั้นเราเคยโตเร็วมาก  ช่วงเวลาส่วนใหญ่เราเคยโตประมาณ 7% ต่อปี  บางช่วงสั้น ๆ  เราเคยโตเกิน 10% และช่วงที่เราประสบ “ปัญหา” ทางเศรษฐกิจ เราก็โตประมาณ 5% แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าเราจะโตแค่ 3% ต่อปี หรือน้อยกว่านั้น  นั่นเป็นตัวเลขคร่าว ๆ  ผมจำได้ว่าในช่วงที่เศรษฐกิจโตเร็วนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความคึกคักมาก  ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้น  แค่เห็นแสงไฟนีออนในยามค่ำคืนที่เยาวราชและต่อมาแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่เป็นแหล่งของ “คนกลางคืน” มันก็บอกได้ถึงความเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว  ต่อมาก็เป็นเรื่องของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเต็มถนน  การผุดขึ้นของคอนโดมิเนียม  การเติบโตของห้างค้าปลีกสมัยใหม่  และแม้แต่ร้านอาหารจีนหรืออาหารทะเลที่แสนแพงต่าง ๆ  เหล่านี้  ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนรวยขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น  ตรงกันข้าม  ในระยะหลังหรือวันนี้  ผมก็เริ่มเห็นสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังหงอยเหงาลง ภัตตาคารหรูหลาย ๆ  แห่งที่ผมเคยไปกินต่อเนื่องมาเป็นสิบ ๆ ปี  ค่อย ๆ  ทยอยปิดตัวลง  จริงอยู่  การเปลี่ยนพฤติกรรมของการกินก็คงมีส่วนบ้าง  แต่ผลจากภาวะเศรษฐกิจน่าจะมากกว่า ตลาดหุ้นเมื่อวันวานกับวันนี้นั้น  ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร  สิ่งที่ชัดเจนก็คือการลดลงของนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อขายหุ้นลงทุนเองในตลาดนั้น  หลังจากที่ Peak หรือขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว  บัดนี้ดูเหมือนว่าจะลดลงไปมาก  จากตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันประมาณ 70-75% ในช่วงต้น ๆ  ของการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์  และสูงเกิน 50% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดมานานมาก  เดี๋ยวนี้เหลือแค่ประมาณ 30-40%  โดยที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อขายกันประมาณ 25-35% ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงวันนี้  ผู้เล่นใหม่ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คือนักลงทุนสถาบันที่ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 15% จากที่มีบทบาทน้อยมากในอดีต ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กเทียบกับขนาดหรือ Market Cap. นั้นสูงมากในอดีตซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นที่มักเป็นรายย่อยนั้นเป็น  “นักเก็งกำไร” ที่ซื้อขายหุ้นเพราะหวังส่วนต่างของราคาหุ้นในระยะสั้น ในช่วงที่การเก็งกำไรสูงสุดประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น  การเห็นหุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็ก ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดจำนวนหลายตัวเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกติ  แต่ในวันนี้หุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็กแทบไม่เคยติดอันดับเลย  นักเก็งกำไรเองนั้นก็ยังคงอยู่  แต่ก็มีน้อยลงอานิสงค์จากการที่หุ้นตัวเล็กมีราคาตกลงไปมากซึ่งทำให้นักเล่นหุ้นหายไปจากตลาดไม่น้อย  นักลงทุนส่วนบุคคล “รายใหญ่” หลายคนผันตัวเองไปเล่นเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่โดยใช้เครื่องมือหรือตราสารทางการเงินที่สามารถ  “ขยายผลของราคาโดยการกู้” เช่น  บล็อกเทรด  มาเล่นแทนการเล่นหุ้นขนาดเล็ก ในอดีตนั้น  หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมาก  ราคาขึ้นไปเป็นหลายเท่าตัวในเวลาไม่นานมักจะมีแต่หุ้นขนาดเล็กหรือกลาง-เล็ก สาเหตุมักจะมาจากการที่บริษัทมีการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นซึ่งทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรโดยการเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมากจนหุ้นถูก “Corner” ปริมาณ Free Float ที่มีน้อยทำให้หุ้นสามารถถูกกำหนดโดย “เจ้ามือ” ที่มักเป็นนักลงทุนรายใหญ่เมื่อเทียบกับนักลงทุนรายย่อยอื่น ๆ  แต่เดี๋ยวนี้หุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่มี Free Float คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมดไม่มากก็สามารถถูกต้อนเข้ามุมเหมือนกัน  เหตุผลก็คือ  นักลงทุนสถาบันที่มีเม็ดเงินจำนวนมากได้เข้ามาเล่นในเกมนี้ด้วย  ก่อนหน้านี้อาจจะเล่นในหุ้นขนาดกลางหรือกลาง-เล็ก  เวลานี้หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการเติบโตเร็วก็วิ่งเร็วได้จนไม่น่าเชื่อเหมือนกัน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  นักลงทุนสถาบันบางแห่งเริ่มเข้ามาทำตัวเหมือนนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ในตลาด ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่อดีตนั้น  เราไม่เคยขาด  “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่เป็นบุคคลธรรมดา  ตั้งแต่จำความได้  เรามี “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดใหม่ ๆ  ในช่วงแรก ๆ  ก็มีไม่กี่คน  พวกเขามีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นบางตัวในบางเวลามาตลอดและมักจะเป็นที่รู้กันในวงการ  บางครั้งมีถึงขนาดจะไปเทคโอเวอร์แบ้งค์ขนาดใหญ่  แน่นอน  ในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะในยามที่ตลาดประสบกับวิกฤติพวกเขาก็มักจะห่างหายไปบ้าง  แต่เมื่อตลาดหุ้นคึกคักขึ้นก็จะกลับมาใหม่  ขาใหญ่นั้น  หลายคนก็หายไปจากตลาดเมื่อเวลาผ่านไปแต่หลายคนก็ยังคงอยู่และใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  ตามตลาดหลักทรัพย์ที่โตขึ้น  ชื่อของพวกเขานั้นทุกคนในตลาดต่างก็รู้จักดีเพราะอยู่มานานเป็นสิบ ๆ ปี แต่คนอาจจะไม่รู้ว่าในวันนี้  ขาใหญ่หรือเซียนหุ้นรายใหม่นั้นเกิดขึ้นไม่น้อยโดยที่หลายคนนั้นไม่เป็นที่รู้จักของคนในสังคม  พวกเขาเพิ่งเติบโตขึ้นมา  ส่วนใหญ่อาจจะไม่เกิน 10 ปีด้วยซ้ำ   แต่ขนาดของเม็ดเงินและความสามารถที่จะขับเคลื่อนหุ้นนั้นมหาศาล  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกล้าได้กล้าเสียกว่าในการที่จะ Leverage หรือกู้เงินขยายผลการลงทุนเป็นหลาย ๆ  เท่าตัว  อิทธิพลของนักลงทุนรายใหญ่รุ่นใหม่นั้นน่าจะแซงเซียนหุ้นรุ่นเก่าไปแล้ว  ในขณะที่เซียนหุ้นรุ่นเก่านั้นก็กำลังเข้าสู่วัยสูงอายุและอาจจะค่อย ๆ  ถอนตัวออกไปจากตลาดในไม่ช้า สมัยก่อน คือช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 เป็นเวลา 22 ปี นั้น  คนที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” นั้น  แทบจะเรียกว่าไม่มี  มีแต่คน “เล่นหุ้น”  ที่เป็น “รายใหญ่” หน่อยก็มักเป็นคนทำธุรกิจที่ชอบเก็งกำไรและมีเงินมากหน่อยก็จะเข้ามาเล่นหาเงินจากตลาดหุ้น  นักลงทุนที่เหลือก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่มักจะเป็นแม่บ้านหรือคนที่ชอบเก็งกำไรหรือเล่นการพนัน  คนที่เป็นพนักงานบริษัทที่จะเล่นหุ้นนั้นจะมีก็แต่คนที่อยู่ในวงการการเงินและหลักทรัพย์  การเล่นหุ้นนั้นมักจะอาศัยข่าวสารข้อมูลที่เป็นเรื่องของภาพใหญ่และเหตุการณ์และกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท  แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ  “ข้อมูลภายใน”  เกี่ยวกับผลประกอบการและการเข้ามาเล่นของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเกิดขึ้นของแนวความคิดการลงทุนแบบ VI มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาประมาณ 20 ปี กลุ่มของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปมาก นักลงทุนส่วนบุคคลกลายเป็นคนกินเงินเดือนหรือคนทำงานส่วนตัวที่มีรายได้และการศึกษาสูง  นักลงทุนสถาบันเกิดขึ้นมากมายอานิสงค์จากการส่งเสริมของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนหุ้นระยะยาว  กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนประกันสังคม  และกองทุนต่าง ๆ  สารพัดนอกจากนั้น  การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์และสังคมที่คนไทยต่างก็มีลูกน้อยลงมากหรือไม่มีเลยทำให้ต้องลงทุนเพื่อการเกษียณของตนเองแทนที่จะหวังพึ่งพาลูก  ทั้งหมดนี้ทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้คิดว่าหุ้นเป็นเรื่องของการพนันแต่เป็นการลงทุน  “เพื่อชีวิต” การลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้นไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในธุรกิจ  และดังนั้น  การวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลของบริษัทเพื่อที่จะใช้เลือกหุ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ  ทั้งหมดนี้ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกิจกรรมที่สำคัญระดับชาติ  ตลาดหลักทรัพย์กลายเป็น “เสาหลัก” ที่สำคัญไม่แพ้สถาบันหลักอื่น ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ  เศรษฐกิจในอดีตของเราก้าวหน้าเร็วมากแต่กำลังชะลอลงอย่างแรงในวันนี้  ส่วนตลาดหุ้นของเราก็เช่นกัน  มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรงมั่นคงมีมาตรฐานดีขึ้นมากมานาน  แต่การเติบโตของหุ้นที่ค่อนข้างนิ่งมานานถึง 6-7 ปี รวมถึงการลดลงของการสนับสนุนจากภาครัฐในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็อาจจะทำให้ตลาดหงอยลงได้เช่นกัน    

MOST POPULAR