ถ้าหากพูดถึงกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามคงจะขาด Vingroup ไปไม่ได้ บทความนี้จึงจะมาแนะนำและอัพเดตข้อมูล ของ Vingroup Joint Stock Company (VIC) หรือ Vingroup JSC กันค่ะ ความเป็นมา • ก่อตั้งในยูเครนโดยกลุ่มวัยรุ่นไฟแรงชาวเวียดนาม ในปี 1993 ด้วยชื่อเดิม Technocom เริ่มต้นด้วยธุรกิจการแปรรูปอาหารภายใต้แบรนด์ Mivina และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว...
โลกในมุมมองของ Value Investor    18 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแก่ตัวลงทำให้ชอบมองย้อนหลังและเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันในทุกเรื่องทุกประเด็นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องที่ผมคิดว่าเป็น  “แนวโน้ม” ใหญ่  หรือเป็นกระแสที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวทางเดียว  ไม่ใช่เรื่องที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นกลับไปมาหรือขึ้นลงเป็นแฟชั่น ในบทความนี้ผมคงพูดเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นหลักและก็จะเป็นเรื่องที่มาจากความเข้าใจและความรู้สึกที่เก็บสะสมมาต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ได้อ้างอิงตัวเลขแบบวิชาการ   อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าตัวเลขจริงก็คงไม่ผิดไปมากจนทำให้ข้อสรุปนั้นมีความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องแรกก็คือการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งในอดีตนั้นเราเคยโตเร็วมาก  ช่วงเวลาส่วนใหญ่เราเคยโตประมาณ 7% ต่อปี  บางช่วงสั้น ๆ  เราเคยโตเกิน 10% และช่วงที่เราประสบ “ปัญหา” ทางเศรษฐกิจ เราก็โตประมาณ 5% แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าเราจะโตแค่ 3% ต่อปี หรือน้อยกว่านั้น  นั่นเป็นตัวเลขคร่าว ๆ  ผมจำได้ว่าในช่วงที่เศรษฐกิจโตเร็วนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความคึกคักมาก  ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้น  แค่เห็นแสงไฟนีออนในยามค่ำคืนที่เยาวราชและต่อมาแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่เป็นแหล่งของ “คนกลางคืน” มันก็บอกได้ถึงความเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว  ต่อมาก็เป็นเรื่องของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเต็มถนน  การผุดขึ้นของคอนโดมิเนียม  การเติบโตของห้างค้าปลีกสมัยใหม่  และแม้แต่ร้านอาหารจีนหรืออาหารทะเลที่แสนแพงต่าง ๆ  เหล่านี้  ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนรวยขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น  ตรงกันข้าม  ในระยะหลังหรือวันนี้  ผมก็เริ่มเห็นสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังหงอยเหงาลง ภัตตาคารหรูหลาย ๆ  แห่งที่ผมเคยไปกินต่อเนื่องมาเป็นสิบ ๆ ปี  ค่อย ๆ  ทยอยปิดตัวลง  จริงอยู่  การเปลี่ยนพฤติกรรมของการกินก็คงมีส่วนบ้าง  แต่ผลจากภาวะเศรษฐกิจน่าจะมากกว่า ตลาดหุ้นเมื่อวันวานกับวันนี้นั้น  ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร  สิ่งที่ชัดเจนก็คือการลดลงของนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อขายหุ้นลงทุนเองในตลาดนั้น  หลังจากที่ Peak หรือขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว  บัดนี้ดูเหมือนว่าจะลดลงไปมาก  จากตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันประมาณ 70-75% ในช่วงต้น ๆ  ของการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์  และสูงเกิน 50% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดมานานมาก  เดี๋ยวนี้เหลือแค่ประมาณ 30-40%  โดยที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อขายกันประมาณ 25-35% ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงวันนี้  ผู้เล่นใหม่ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คือนักลงทุนสถาบันที่ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 15% จากที่มีบทบาทน้อยมากในอดีต ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กเทียบกับขนาดหรือ Market Cap. นั้นสูงมากในอดีตซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นที่มักเป็นรายย่อยนั้นเป็น  “นักเก็งกำไร” ที่ซื้อขายหุ้นเพราะหวังส่วนต่างของราคาหุ้นในระยะสั้น ในช่วงที่การเก็งกำไรสูงสุดประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น  การเห็นหุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็ก ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดจำนวนหลายตัวเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกติ  แต่ในวันนี้หุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็กแทบไม่เคยติดอันดับเลย  นักเก็งกำไรเองนั้นก็ยังคงอยู่  แต่ก็มีน้อยลงอานิสงค์จากการที่หุ้นตัวเล็กมีราคาตกลงไปมากซึ่งทำให้นักเล่นหุ้นหายไปจากตลาดไม่น้อย  นักลงทุนส่วนบุคคล “รายใหญ่” หลายคนผันตัวเองไปเล่นเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่โดยใช้เครื่องมือหรือตราสารทางการเงินที่สามารถ  “ขยายผลของราคาโดยการกู้” เช่น  บล็อกเทรด  มาเล่นแทนการเล่นหุ้นขนาดเล็ก ในอดีตนั้น  หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมาก  ราคาขึ้นไปเป็นหลายเท่าตัวในเวลาไม่นานมักจะมีแต่หุ้นขนาดเล็กหรือกลาง-เล็ก สาเหตุมักจะมาจากการที่บริษัทมีการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นซึ่งทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรโดยการเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมากจนหุ้นถูก “Corner” ปริมาณ Free Float ที่มีน้อยทำให้หุ้นสามารถถูกกำหนดโดย “เจ้ามือ” ที่มักเป็นนักลงทุนรายใหญ่เมื่อเทียบกับนักลงทุนรายย่อยอื่น ๆ  แต่เดี๋ยวนี้หุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่มี Free Float คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมดไม่มากก็สามารถถูกต้อนเข้ามุมเหมือนกัน  เหตุผลก็คือ  นักลงทุนสถาบันที่มีเม็ดเงินจำนวนมากได้เข้ามาเล่นในเกมนี้ด้วย  ก่อนหน้านี้อาจจะเล่นในหุ้นขนาดกลางหรือกลาง-เล็ก  เวลานี้หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการเติบโตเร็วก็วิ่งเร็วได้จนไม่น่าเชื่อเหมือนกัน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  นักลงทุนสถาบันบางแห่งเริ่มเข้ามาทำตัวเหมือนนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ในตลาด ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่อดีตนั้น  เราไม่เคยขาด  “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่เป็นบุคคลธรรมดา  ตั้งแต่จำความได้  เรามี “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดใหม่ ๆ  ในช่วงแรก ๆ  ก็มีไม่กี่คน  พวกเขามีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นบางตัวในบางเวลามาตลอดและมักจะเป็นที่รู้กันในวงการ  บางครั้งมีถึงขนาดจะไปเทคโอเวอร์แบ้งค์ขนาดใหญ่  แน่นอน  ในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะในยามที่ตลาดประสบกับวิกฤติพวกเขาก็มักจะห่างหายไปบ้าง  แต่เมื่อตลาดหุ้นคึกคักขึ้นก็จะกลับมาใหม่  ขาใหญ่นั้น  หลายคนก็หายไปจากตลาดเมื่อเวลาผ่านไปแต่หลายคนก็ยังคงอยู่และใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  ตามตลาดหลักทรัพย์ที่โตขึ้น  ชื่อของพวกเขานั้นทุกคนในตลาดต่างก็รู้จักดีเพราะอยู่มานานเป็นสิบ ๆ ปี แต่คนอาจจะไม่รู้ว่าในวันนี้  ขาใหญ่หรือเซียนหุ้นรายใหม่นั้นเกิดขึ้นไม่น้อยโดยที่หลายคนนั้นไม่เป็นที่รู้จักของคนในสังคม  พวกเขาเพิ่งเติบโตขึ้นมา  ส่วนใหญ่อาจจะไม่เกิน 10 ปีด้วยซ้ำ   แต่ขนาดของเม็ดเงินและความสามารถที่จะขับเคลื่อนหุ้นนั้นมหาศาล  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกล้าได้กล้าเสียกว่าในการที่จะ Leverage หรือกู้เงินขยายผลการลงทุนเป็นหลาย ๆ  เท่าตัว  อิทธิพลของนักลงทุนรายใหญ่รุ่นใหม่นั้นน่าจะแซงเซียนหุ้นรุ่นเก่าไปแล้ว  ในขณะที่เซียนหุ้นรุ่นเก่านั้นก็กำลังเข้าสู่วัยสูงอายุและอาจจะค่อย ๆ  ถอนตัวออกไปจากตลาดในไม่ช้า สมัยก่อน คือช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 เป็นเวลา 22 ปี นั้น  คนที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” นั้น  แทบจะเรียกว่าไม่มี  มีแต่คน “เล่นหุ้น”  ที่เป็น “รายใหญ่” หน่อยก็มักเป็นคนทำธุรกิจที่ชอบเก็งกำไรและมีเงินมากหน่อยก็จะเข้ามาเล่นหาเงินจากตลาดหุ้น  นักลงทุนที่เหลือก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่มักจะเป็นแม่บ้านหรือคนที่ชอบเก็งกำไรหรือเล่นการพนัน  คนที่เป็นพนักงานบริษัทที่จะเล่นหุ้นนั้นจะมีก็แต่คนที่อยู่ในวงการการเงินและหลักทรัพย์  การเล่นหุ้นนั้นมักจะอาศัยข่าวสารข้อมูลที่เป็นเรื่องของภาพใหญ่และเหตุการณ์และกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท  แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ  “ข้อมูลภายใน”  เกี่ยวกับผลประกอบการและการเข้ามาเล่นของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเกิดขึ้นของแนวความคิดการลงทุนแบบ VI มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาประมาณ 20 ปี กลุ่มของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปมาก นักลงทุนส่วนบุคคลกลายเป็นคนกินเงินเดือนหรือคนทำงานส่วนตัวที่มีรายได้และการศึกษาสูง  นักลงทุนสถาบันเกิดขึ้นมากมายอานิสงค์จากการส่งเสริมของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนหุ้นระยะยาว  กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนประกันสังคม  และกองทุนต่าง ๆ  สารพัดนอกจากนั้น  การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์และสังคมที่คนไทยต่างก็มีลูกน้อยลงมากหรือไม่มีเลยทำให้ต้องลงทุนเพื่อการเกษียณของตนเองแทนที่จะหวังพึ่งพาลูก  ทั้งหมดนี้ทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้คิดว่าหุ้นเป็นเรื่องของการพนันแต่เป็นการลงทุน  “เพื่อชีวิต” การลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้นไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในธุรกิจ  และดังนั้น  การวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลของบริษัทเพื่อที่จะใช้เลือกหุ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ  ทั้งหมดนี้ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกิจกรรมที่สำคัญระดับชาติ  ตลาดหลักทรัพย์กลายเป็น “เสาหลัก” ที่สำคัญไม่แพ้สถาบันหลักอื่น ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ  เศรษฐกิจในอดีตของเราก้าวหน้าเร็วมากแต่กำลังชะลอลงอย่างแรงในวันนี้  ส่วนตลาดหุ้นของเราก็เช่นกัน  มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรงมั่นคงมีมาตรฐานดีขึ้นมากมานาน  แต่การเติบโตของหุ้นที่ค่อนข้างนิ่งมานานถึง 6-7 ปี รวมถึงการลดลงของการสนับสนุนจากภาครัฐในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็อาจจะทำให้ตลาดหงอยลงได้เช่นกัน    
โลกในมุมมองของ Value Investor     11 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์คจะทำสถิติสูงสุดตลอดกาลใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ  จนล่าสุดคือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ดัชนีปิดที่ประมาณ 28,824 จุด ทั้ง ๆ ที่อเมริกากำลังมีปัญหาสงครามการค้ากับจีนรวมถึงการพิพาททางทหารครั้งรุนแรงกับอิหร่าน  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนอ้างว่าทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยถดถอยลง  ดัชนีปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นไปแค่ 1% และน่าจะย่ำแย่ต่อไปในปีนี้  อย่างไรก็ตาม  ดัชนีตลาดหุ้นของโลกโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายต่างก็ปรับตัวขึ้นดีมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่าน  ว่าที่จริงปีที่แล้วนั้นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นดีที่สุดปีหนึ่ง  ดัชนีดาวโจนส์เองก็ปรับตัวขึ้นไปในระดับ 20%  นี่ทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยรู้สึกท้อแท้ผิดหวังกับการลงทุน  หลายคนถอนตัวออกจากตลาด  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย  ว่าที่จริงความท้อแท้หมดหวังนั้นเริ่มก่อตัวมานานพอสมควรแล้วอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2561 ที่ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงไปประมาณ 11% โดยที่  “หุ้นยอดนิยม” ที่เป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบเล่นกันมากนั้น  บางตัวตกลงไปเกินครึ่ง  อนาคตของตลาดหุ้นไทยสำหรับนักลงทุนหลายคนดู  “มืดมน” ตลาดหุ้นอเมริกาดู “สดใส” ว่าที่จริงตลาดหุ้นอเมริกาตั้งแต่ปี 2009 หลังจากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 นั้น  ปรับตัวดีขึ้นมาตลอดแทบทุกปีเป็นเวลา11 ปีแล้ว  สิ้นปี 2008 ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ประมาณ 8,000 จุดเศษ ๆ  ถึงปัจจุบันดัชนีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.6 เท่า  คิดแล้วเท่ากับผลตอบแทนที่ปีละ 12.3% แบบทบต้นไม่รวมปันผล  นี่เป็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นอเมริกา  คือเป็นตลาดกระทิงที่ยาวมากเกิน 10 ปีและให้ผลตอบแทนที่สูงมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  เพราะในอดีตนั้นตลาดกระทิงมักจะกินเวลาโดยเฉลี่ยแค่ 5-6 ปี  ที่สูงเป็น 10 ปีนั้นมีน้อยมาก  นี่เป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกาอย่างแท้จริง  และเมื่อคำนึงถึงเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนของอเมริกาที่ดูเหมือนว่าจะยังดีมากเพราะเป็นเศรษฐกิจที่มีพลวัตรเป็นเศรษฐกิจดิจิตอลที่ก้าวหน้าและยังมีประชากรที่เพิ่มขึ้นและ  “ไม่แก่”  เมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าอื่น ๆ ในโลก คนอาจจะคิดว่าตลาดหุ้นไทย “แย่มาก”  อนาคตไม่รู้อยู่ที่ไหน?  แต่ถ้ามองย้อนหลังไป  11 ปีหลังวิกฤติซับไพร์มเหมือนกันก็จะพบว่าตลาดหุ้นไทยเองนั้นก็ปรับตัวดีขึ้นมากเหมือนกัน  ว่าที่จริงไม่แพ้ตลาดหุ้นอเมริกาหรือดัชนีดาวโจนส์เลย สิ้นปี 2008 ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 450 จุด  ถึงวันที่ 10 มกราคม 2563 ดัชนีอยู่ที่ 1,581 จุด หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 เท่าเกือบเท่ากับการเติบโตของดัชนีดาวโจนส์ในเวลาเดียวกัน  ถ้าคิดรวมปันผลแล้ว  ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยดีกว่าตลาดนิวยอร์กด้วยซ้ำ แต่ความแตกต่างของการเติบโตหรือผลตอบแทนจากตลาดทั้งสองในเวลา 11 ปีหลังวิกฤติก็คือ  ดัชนีดาวโจนส์นั้นมีการเติบโตค่อนข้างสม่ำเสมอกว่าตลาดหุ้นไทยมาก   ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตขึ้นแรงมากในช่วง 4 ปีหลังวิกฤติ โดยที่ปี 2552 ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 63% ปี 53 ขึ้นไปอีก 41% ปี 54 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ -0.7% พอถึงปี 2555 ดัชนีขึ้นไปอีก 36% รวมแล้วในเวลา 4 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้นไป 942 จุดหรือเพิ่มขึ้นกว่า 200% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 33%  และนี่คือ “ยุคทอง” ของนักลงทุนส่วนบุคคลโดยเฉพาะที่เป็น VI และนักเก็งกำไรที่มัก “ทุ่มสุดตัว” และทำให้เกิด “เศรษฐี”  จากหุ้น  และ  “เซียนหุ้น” จำนวนมาก  พวกเขามักจะ “ลงทุนในหุ้น 100%”  หลายคนเกินร้อยโดยการใช้มาร์จินซื้อขายหุ้น   นั่นน่าจะก่อให้เกิด “วัฒนธรรมการลงทุนในหุ้น” สำหรับคนไทยจำนวนมากโดยเฉพาะที่ยังเป็นหนุ่มสาว  หุ้นไม่ใช่การเก็งกำไรหรือการพนันอีกต่อไป  แต่หุ้นคือ ‘‘ชีวิต”  แม้แต่นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการก็ยังเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  บ่อยครั้งก็ผ่านลูกหลานที่ได้สร้างผลตอบแทนเป็นที่ประจักษ์ว่า  ลงทุนในหุ้นดีกว่าการทำธุรกิจของตนเอง หลังจาก “สี่ปีทอง” ของตลาดหุ้นจบลงที่ดัชนีประมาณ 1,400 จุดในปี 2555 แล้ว  ดัชนีก็แกว่งตัวเป็น Sideway มาตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาไม่ถึง 200 จุดคิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเพียง 2.8% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ในเวลาเดียวกันนั้นยังคงเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นถึงปีละ 10% โดยที่ 4 ปีหลังนี้ในสมัยประธานาธิบดีทรั้มป์ดัชนีดาวโจนส์เติบโตขึ้นถึงปีละ12.8% โดยที่หุ้นที่นำให้ดัชนีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นมาจากหุ้นดิจิตอลยุคใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและประกอบกับการลดภาษีนิติบุคคลที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ค่า PE ของหุ้นไม่ได้สูงเกินไปจนทำให้ราคาหุ้นเป็น  “ฟองสบู่” และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์และดัชนีอื่น ๆ  ในประเทศสหรัฐไม่ประสบกับปัญหา “วิกฤติตลาดหุ้น” อย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนเกรงกลัวกัน มองในฐานะของนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุนกันเป็นสิบ ๆ ปีหรือตลอดชีวิต  เราคงบอกไม่ได้ว่าตลาดไหนดีกว่าชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐ  เพราะตัวเลขผลตอบแทนโดยเฉลี่ยระยะยาวของทั้งสองตลาดนั้นใกล้เคียงกันมาก  ไม่ใช่แค่ 11 ปีที่ผ่านมาแต่ย้อนหลังไปถึงช่วงเวลาเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ 45 ปีที่ผ่านมาที่ตลาดหลักทรัพย์สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนประมาณเกือบ 10% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งก็ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐ  ประเด็นที่ว่าบางช่วงบางตอนตลาดหุ้นหนึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอีกตลาดหนึ่งนั้น  จริง ๆ  แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  ในขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ “เลวร้าย” ตลาดอาจจะไม่ไปไหนเป็นทศวรรษ  แต่ในตลาดหุ้นอเมริกาเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  ผมอยากสรุปว่านับจากวันเปิดตลาดหุ้นหรือนับจากช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติซับไพร์มซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก  ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐนั้น  “ดีเสมอกัน”   คำถามที่สำคัญก็คือ  เวลาต่อจากนี้ล่ะ  ตลาดหุ้นไทยหรือตลาดนิวยอร์กหรือตลาดหุ้นอเมริกาจะดีกว่าในระยะยาว  ซึ่งนี่ก็จะเป็นคำถามสำคัญโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่หรือนักลงทุนคนหนุ่มสาวที่จะต้องตัดสินใจลงทุนเพื่อชีวิตอีกหลายสิบปีข้างหน้า  เพราะการตัดสินใจผิดก็จะทำให้ชีวิตทางการเงินแตกต่างไปมาก  สำหรับผมเองนั้น  ผมคิดว่าในระยะยาวแล้ว  ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมก็จะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ  และเศรษฐกิจของประเทศเองนั้นก็มักจะถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญ 3 ประการนั่นก็คือ  1) ระบบการปกครองและการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ  2) กำลังแรงงานของประเทศว่ามีมากขึ้นหรือน้อยลง  และ 3) ก็คือ คุณภาพของคนหรือแรงงานว่ามีความสามารถหรือประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งถ้ามองว่าคนไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและในไม่ช้ากำลังแรงงานก็จะน้อยลงเมื่อเทียบกับอเมริการวมถึงประเด็นอื่น ๆ  ที่กล่าวถึงแล้ว  ผมก็คิดว่าภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาก็น่าจะดีกว่าไทยในอนาคต  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าตลาดหุ้นในอนาคตของอเมริกาน่าจะดีกว่าตลาดหุ้นไทยในระยะยาวนับจากวันนี้ อย่างไรก็ตาม  ในฐานะที่เป็นคนไทยและอาศัยอยู่ในประเทศไทย  การลงทุนในประเทศไทยก็น่าจะมีความได้เปรียบอยู่พอสมควรในการที่จะรู้จักบริษัทหรือหุ้นรายตัวเป็นอย่างดี  ดังนั้น  คนที่เป็นนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ก็น่าจะสามารถเลือกหุ้นรายตัวได้ดีรวมถึงอาจจะเห็นโอกาสหรือจังหวะในการลงทุนในหุ้นรายตัวที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้าเราลงทุนแบบ Focus หรือลงทุนที่เน้นการถือหุ้นไม่กี่ตัว  โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติหรือดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดก็มีความเป็นไปได้  ดังนั้น  กล่าวโดยสรุปก็คือ  ถ้าจะลงทุนแบบอิงดัชนีในกองทุนรวมของประเทศ  ผมคิดว่าลงทุนในอเมริกาน่าจะดีกว่า  แต่ถ้าจะลงทุนแบบเลือกหุ้นเอง การลงทุนในประเทศไทยก็ยังมีโอกาสที่จะเอาชนะการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาได้ทั้ง ๆ ที่ภาพรวมโดยเฉลี่ยในระยะยาวตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ดีเท่า  โดยที่เหตุผลก็คือ  เรารู้จักหุ้นในตลาดไทยดีกว่าโดยเฉพาะในหุ้นตัวเล็กลงมาที่บางตัวสามารถโตได้เร็วมากเทียบกับหุ้นตัวใหญ่ทั้งในตลาดหุ้นไทยและอเมริกา
ในช่วงปีที่ผ่านมา ภาคการธนาคารของเวียดนามได้รับการพูดถึงและถูกคาดการณ์ถึงศักยภาพในการเติบโตที่ดีเยี่ยม ในบทความนี้จึงจะมา แนะนำหุ้น bluechip ในดัชนีVN30 หุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่ทำกำไรมากที่สุดของตลาดหุ้นเวียดนามในปี 2019 ค่ะ Joint Stock Commercial Bank for foreign Trade of Vietnam (VCB : HOSE) หรือ Vietcombank...
โลกในมุมมองของ Value Investor      4 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​Ray Dalio เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกองทุนหนึ่งตั้งแต่ปี 1975 หรือประมาณ 45 ปีมาแล้ว  เวลานี้เขาอายุประมาณ 70 ปีและน่าจะเริ่มเกษียณจากงานหลักแต่ก็ยัง Active หรือยังทำงานคึกคักและเป็นที่ปรึกษาและให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความเป็นไปของโลกรวมถึงการเขียนหนังสือให้ความรู้จากประสบการณ์ในชีวิตของตนเองในฐานะของนักลงทุนและผู้บริหารกองทุนที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา  ว่าที่จริงตอนนี้เขาดังกว่าตอนเป็นผู้บริหารมาก  ส่วนหนึ่งจากการที่เริ่มเขียนหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลกโดยเฉพาะหนังสือที่ชื่อว่า “Principles: Life and Work”  ที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตและการทำงานของตนเองที่ประสบความสำเร็จว่ามาจากการใช้หลักการต่าง ๆ  ที่เขาพัฒนาขึ้นมาตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม  เขาไม่ได้พูดถึงหลักการการลงทุนซักเท่าไร  ซึ่งทำให้นักลงทุนแบบ VI รวมถึงผมก็ยังไม่รู้ว่าเคล็ดหรือหลักการลงทุนของเขาเป็นอย่างไร แน่นอนว่าเขาไม่ใช่นักลงทุนแนว “VI พันธุ์แท้” แบบบัฟเฟตต์หรืออีกหลายคนที่เป็นไอดอลของสาวก VI ทั่วโลก...
เริ่มทศวรรษใหม่ด้วยหุ้นรายตัวในดัชนีVN30 หุ้น VI ที่เป็นที่สนใจและน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยในระดับหนึ่งแล้วนะคะ นั่นคือ Vietnam Dairy Products JSC (VNM) หรือ Vinamilk ค่ะ VNM เป็นกลุ่มบริษัทที่มี Market cap ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ดำเนินธุรกิจมาหลายสิบปี โดยมีธุรกิจหลักเกี่ยวกับการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม อาทิเช่น นมสด โยเกิร์ต นมเปรี้ยว...
พรุ่งนี้ปีใหม่! 2020 แล้ว เรามาสรุป 10 เหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้ จากชมรมนักข่าวหลักทรัพย์เวียดนามกันดีกว่าค่ะ กฎหมายใหม่ได้รับการอนุมัติ 26 พ.ย. 2019 รัฐบาลได้อนุมัติกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2021 โดยกฎหมายฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงคุณภาพของ บริษัทในตลาดหุ้นและปกป้องนักลงทุนมากขึ้น รวมทั้งปูทางไปสู่การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์เวียดนามและศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และการชำระหนี้ของเวียดนามซึ่งรัฐถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ของทุน หรือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดยกเครื่องแผนตลาดหุ้น 28 ก.พ. 2019 คำสั่ง...
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์สัมภาษณ์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์กับนักลงทุนจึงขอแชร์ ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าการลงทุนสามารถสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากยาจกให้กลายเป็นเศรษฐี แต่นักลงทุนต้องศึกษาและเรียนรู้ว่าเศรษฐกิจเติบโตอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจคุณก็จะไม่ทำแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงอยู่ที่หลักการในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จยังเป็นแบบเดิม แต่กาละและเทศะไม่เหมือนเดิมแล้ว ยี่สิบปีก่อนเมืองไทยเติบโตเร็ว แต่ในยุคนี้ชัดเจนว่าเมืองไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเติบโตช้าลง เพราะปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือคนแก่ตัวลง ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงนี้ได้ เพราะการไปบอกให้ใครต่อใครมีลูกกันเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และคนรุ่นใหม่ก็มีค่านิยมว่าเขาไม่ต้องการมีลูกเยอะ หรือบางคู่แต่งงานกันโดยไม่คิดจะมีลูกเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงต้องเปลี่ยนไปลงทุนในสถานที่ที่มีการเติบโตเร็ว เช่น ประเทศที่มีเด็กเกิดใหม่เยอะ หรือประเทศที่ประชากรมีศักยภาพสูง ซึ่งประเทศเหล่านี้จะเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ ถามว่าตอนนี้ผมเลือกไปลงทุนที่ไหน─ถ้าผมหนุ่มกว่านี้สักหน่อยผมคงไปมากกว่านี้ อย่างเช่นตลาดอเมริกาก็น่าสนใจมาก...
ขอขอบพระคุณ อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากรพี่เอก ธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม)คุณโกสินทร์ เจือศิริภักดี SVP - Cross Border...
บทความนี้จะมาพูดถึงหุ้นรายตัวในดัชนี VN30 ซึ่งมีบริษัทไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นแบรนด์ชั้นนำของเวียดนามในวงการของเครื่องดื่มเบียร์ค่ะ Sabeco ( Saigon Beer Alcohol Beverage Crop) หรือ SAB เป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารสำเร็จรูป ค้าขาย เบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์และเครื่องดื่มชูกำลัง ค้าขายวัตถุดิบ เครื่องประกอบ ส่วนประกอบ เครื่องปรุงรส และส่วนสำคัญสำหรับการผลิตเบียร์...

MOST POPULAR