ธุรกิจ Consumer Finance ในเวียดนาม หน้าตาเป็นอย่างไร
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันค่ะ เวลาที่คนเวียดนามช๊อตเงิน หรืออยากจะได้เงินไปจับจ่าย เค้าไปหาจากที่ไหนกันนะ ... คำตอบง่ายๆคือไม่แตกต่างจากบ้านเราเท่าไรเลยค่ะ ทั้งยืมเงินเพื่อน เล่นแชร์ เข้าโรงรับจำนำ หรือว่า กู้นอกระบบ ทำให้หลายฝ่ายหันมาสนใจธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลกันมาขึ้นค่ะ
เมื่อการกู้นอกระบบเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แถมยังเสียดอกเบี้ยแพงมหาศาล ที่เวียดนามก็มีเล่นแชร์กันด้วยในหมู่เพื่อนด้วยค่ะ (ในภาษาเวียดนามเรียกว่า chơi hụi หรือ chơi họ ในภาษาทางภาคเหนือ) เค้ามี app เล่นแชร์ให้โหลดด้วยนะ ใครสนใจลองไปดาว์นโหลดได้ค่ะ ชื่อว่า Tiết kiệm nhóm ^^ แต่ app นี้ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมกันเท่าไรนักในกลุ่มหญิงเวียดนาม
เมื่อเป็นประเทศที่กำลังเติบโต ประชากรยังหนุ่มสาว ชนชั้นกลางเริ่มมีรายได้มากขึ้น ก็มีความต้องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นตามมาเช่นกัน ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มเข้ามาแทนที่ ในช่องว่างที่ธนาคารยังไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ในบางกลุ่ม แน่นอนค่ะธุรกิจกำลังมีแนวโน้มการเติบโตเร็วมาก เนื่องจากอัตราการเข้าถึงสินเชื่อยังอยู่ในฐานต่ำ
จากรายงานของ StoxPlus Corporation ที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลของเวียดนามในปี 2017 ระบุว่าตัวเลขเงินกู้ส่วนบุคคลเทียบกับเงินก็ทั้งหมดของเวียดนามมีสัดส่วนเพียงแค่ 11.4% และยังเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของ GDP ของประเทศซึ่งยังนับว่าต่ำมาก และมีโอกาสเติบโตได้อีก เมื่อเทียบกับสัดส่วนของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ถึงแม้ว่าในปี 2016 ตัวเลขสินเชื่อส่วนบุคคลจะลดลงไปบ้างอันเนื่องมาจากชะลอการเติบโดในส่วนของธนาคารพาณิชย์และยอดสินเชื่อเพื่อซื้อและปรับปรุงที่อยู่อาศัย...
ความเป็นไป(ไม่)ได้
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
นักลงทุนที่ดีนั้น นอกจากวิชาความรู้ในด้านต่าง ๆ แล้ว วิชาความรู้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสถิติและความเป็นไปได้หรือ Probability และความผันแปรหรือ Variation หรือความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่คาดการณ์ หลักทฤษฎีเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนนั้น ต่างก็อาศัยวิชาความรู้นี้เป็นอันมาก เหตุผลก็เพราะเรื่องของการลงทุนนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการพยากรณ์อนาคตซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและโอกาสที่เหตุการณ์ในอนาคตจะออกมาแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้มีสูงมาก การใช้หลักการทางสถิติโดยเฉพาะความน่าจะเป็นจะช่วยให้เรารู้ว่าโดยเฉลี่ยถ้าเราทำมันมากพอหรือตรวจสอบย้อนหลังมากพอ ค่าของมันควรจะเป็นเท่าไรและโอกาสที่เหตุการณ์แต่ละครั้งจะแตกต่างกับสิ่งที่คาดการณ์นั้นจะมีมากหรือน้อยแค่ไหน
ในฐานะของนักลงทุน เราคงไม่มานั่งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นตัวเลข เพราะแม้แต่นักสถิติเองก็มักจะทำไม่ได้แม่นยำ แต่เราต้องเข้าใจแนวคิดของมันเพื่อที่จะได้ไม่ “ถูกหลอก” ด้วยตัวเลขที่นักวิเคราะห์ทำมาให้เราเชื่อและตัดสินใจลงทุนตามตัวเลขที่อาจจะ “สวยหรู” แต่ไม่ได้บอกว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะน้อยมากและโอกาสที่จะผิดพลาดอาจจะสูงมาก ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เราขาดทุนมหาศาล ตัวอย่างเช่น เขาคาดว่ากำไรของบริษัทปีหน้าจะโตขึ้น 50% คิดเป็นเงิน 600 ล้านบาท จากกำไรปีที่แล้วที่ 400 ล้านบาท โดยไม่ได้บอกว่ามันมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ได้กำไรเพิ่มเลยหรืออาจจะขาดทุนก็ได้
นอกจากการคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตถึง 50% แล้ว นักวิเคราะห์ยังได้ให้ Target Price หรือราคาเป้าหมายของหุ้นโดยอิงกับการเติบโตซึ่งมีเซียนหุ้นหลายคนรวมถึง ปีเตอร์ ลินช์ พูดว่าเราสามารถใช้ค่า PEG ซึ่งก็คือค่า PE หารด้วย Growth เท่ากับ 1 เท่าได้ ดังนั้นค่า PE ที่เหมาะสมของหุ้นก็คือเท่ากับ Growth ที่ 50 เท่า แต่ว่าก่อนประกาศหรือออกบทวิเคราะห์ หุ้นตัวนั้นมีค่า PE แค่ 25 เท่า ดังนั้น ราคาหุ้นเป้าหมายก็ปรับขึ้นไปเป็น 1 เท่าตัว เช่น จาก 50 บาทก็กลายเป็น 100 บาท นักลงทุนที่เชื่อตัวเลขราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ก็แห่กันเข้าไปซื้อส่งผลให้หุ้นขึ้นไปแรงมากจากราคา 50 บาทกลายเป็น100 บาท และด้วยอิทธิพลของแรงเก็งกำไรราคาก็วิ่งต่อไปอีกกลายเป็น 120 บาท ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ “ตื่นเต้นมาก” เขาเห็นว่าราคาน่าจะวิ่งต่อไปได้อีกมองจากปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาลและคนกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่ “ระดับโลก”
การปรับ Target Price รอบสองก็ตามมา ตัวเลขกำไรถูกเลื่อนไปใช้ตัวเลขของปีหน้าจากกำไรต่อหุ้น 2 บาทโต 50% กลายเป็น 3 บาท และเมื่อคูณด้วยตัวเลข PE ที่ 50 เท่า ราคาเป้าหมายก็เลยกลายเป็น 150 บาท คำแนะนำก็คือ “ซื้อ” เพราะราคาปัจจุบันเท่ากับ 120 บาท มีโอกาสทำกำไรได้ประมาณ 30 บาทต่อหุ้นหรือประมาณ 25% นักลงทุนจึงซื้อหุ้นต่อทั้ง ๆ ที่ราคาเกินเป้าหมายแรกที่ 100 บาทไปแล้ว และถ้าเราเชื่อตัวเลขเหล่านั้น เราก็อาจจะเข้าไปซื้อ เพราะดูเหมือนว่าหุ้นกำลังวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ทั้งหมดที่เขาพูดมานั้น เขาไม่ได้พูดว่าโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เขาพูดราวกับว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอนหรือไม่ก็สูงมาก และที่ยิ่งสำคัญก็คือ เขาไม่พูดถึงโอกาสความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะต่ำกว่านั้นมาก เช่น กำไรอาจจะไม่โตเลยหรือลดลงได้ทั้ง ๆ ที่ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีตหลายปี กำไรของบริษัทก็ไม่ได้โตหรือโตน้อยแค่ปีละไม่เกิน 10%
เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ได้ออกมาตามที่คาด มันต่ำกว่าที่คาดมาก แต่มันใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในอดีตมากกว่า นั่นก็คือ มันโตช้าแค่ 5-10% ต่อปี นักลงทุนเริ่มตกใจและขายหุ้น ราคาหุ้นร่วงมาแรงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดและค่า PE ก็ยังสูงเกิน 25 เท่าที่เป็นค่า PE ของหุ้นก่อนที่จะมีการคาดการณ์กำไรของบริษัทว่าจะเพิ่มขึ้น 50% ใน “ปีหน้า” นักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่สูงลิ่วขาดทุนหนักเพราะไม่ได้คำนึงถึง Probability หรือโอกาสที่กำไรจะเพิ่ม50% ว่ามันมีมากน้อยแค่ไหน บางทีอาจจะน้อยมากแค่ 10% ก็เป็นได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” และผลก็คือ มันก็ไม่เกิดขึ้นจริง ๆ นอกจากไม่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นยังแตกต่างหรือผันแปรไปจากค่าที่คาดหวังมาก คือจากการเติบโต50% กลายเป็นแค่ 10% ซึ่งในแวดวงของนักลงทุนไทยแล้ว เราไม่ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโต ดังนั้น คนที่เล่นหุ้น Growth ก็ขายหุ้นแบบถล่มทลาย
ธรรมชาติของตัวเลขผลประกอบการของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทนั้น เราต้องเข้าใจว่ามันสามารถคาดการณ์ด้วยความแม่นยำและมีความผันผวนต่างกัน จำนวนและขนาดของลูกค้ารวมถึงความผันผวนของราคาสินค้ามีส่วนอยู่มาก ถ้าลูกค้าเป็นรายย่อยและมีจำนวนมากเป็นล้าน ๆ คน การคาดการณ์โดยทั่วไปก็จะมีความแม่นยำและโอกาสที่ผลประกอบการจะแตกต่างจากตัวเลขคาดการณ์มากก็จะน้อย ในกรณีแบบนี้ ความเสี่ยงของการลงทุนก็จะต่ำกว่า เรามักจะไม่ค่อยเจอวิกฤติด้านของการลงทุนรุนแรงในหุ้นประเภทนี้ เช่นเดียวกัน โอกาสที่หุ้นจะกระโดดขึ้นไปรุนแรงในเวลาอันสั้นก็จะน้อยกว่ามากเพราะการคาดการณ์อนาคตของผลประกอบการของหุ้นปีต่อปีก็มักจะไม่ก้าวกระโดดที่จะส่งผลให้หุ้นมีราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วมากได้ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้แปลว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ เพราะจริงอยู่ว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้อาจจะไม่ทำให้รู้สึกว่ารวยเร็ว แต่ในระยะยาวแล้ว มันอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเล่นหุ้นที่หวือหวาแต่คาดการณ์ได้ยากและมีโอกาสสูงที่มันอาจจะตกต่ำลงอย่างแรงในบางช่วง และการตกต่ำลงแรงนั้นมันทำลายความมั่งคั่งได้รุนแรงมากกว่าการขึ้นที่รุนแรงในระดับเดียวกัน
ตัวเลขภาพใหญ่เช่น ตัวเลขเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับตัวของดัชนีหุ้นเองนั้นก็มีความแตกต่างกันมากในแง่ของความสามารถในการคาดการณ์และความผันผวนของตัวเลข โดยที่ตัวเลข GDP นั้นเนื่องจากผูกติดอยู่กับประชาชนทั้งประเทศและกิจกรรมที่เขาทำ การคาดการณ์ปีต่อปีจึงค่อนข้างแม่นยำพอสมควรและความผันผวนก็ค่อนข้างต่ำ เช่น ถ้าเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโต 4% และความผันผวนก็คือไม่ต่ำกว่า 3.5% ในด้านที่แย่และไม่เกิน 4.5% ในด้านที่ดี โอกาสที่เราจะทำนายพลาดก็น้อย ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกังวลมากนักว่าบริษัทที่เราลงทุนจะ “เจ๊ง” เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย อย่างมากเราก็ไม่ค่อยดีหรือดีเท่านั้น
แต่ตัวเลขดัชนีหุ้นนั้นการคาดการณ์น่าจะยากถึงยากมากและความผิดพลาดจากที่ทำนายก็อาจจะมหาศาล หุ้นอาจจะเป็นวิกฤติได้เสมอเนื่องจากมันอิงกับปัจจัยทั่วโลกซึ่งแน่นอนรวมถึงปัจจัยในประเทศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องหรือแม้แต่ใกล้เคียง เช่นเดียวกัน หุ้นก็อาจจะดี ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้น “หักปากกาเซียน” ได้เสมอแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่าปีนี้เล่นหุ้นยากมาก ดังนั้น เราไม่ควรจะหวังอะไรกับดัชนีหุ้นถ้าเราลงทุนระยะยาว เราอาจจะต้องระวังมากขึ้นบ้างในกรณีที่มีสถานการณ์บางอย่างที่ประวัติศาสตร์บอกว่า “น่ากลัว” เช่นในยามที่หุ้นปรับตัวเป็นกระทิงและดัชนีมีราคาแพงมากซึ่งในที่สุดก็มักจะต้องปรับตัวลงแรงจนบางครั้งเป็นวิกฤติ เป็นต้น
ทั้งหมดนั้นก็คือตัวอย่างของตัวเลขที่เราอาจจะต้องคาดการณ์เพื่อที่จะวิเคราะห์หุ้น หน้าที่ของเราก็คือการวิเคราะห์ตัวเลขแต่ละตัวว่ามันน่าจะเป็นอย่างไรในปีหน้าและในอนาคต เราจะต้องรู้ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ในการที่จะกำหนดตัวเลขเหล่านั้นและความผันผวนของมัน ในกรณีจำนวนมากนั้นผมพบว่ามันไม่สามารถกำหนดได้แม่นยำและความผันผวนสูงมาก ซึ่งในกรณีแบบนั้นบ่อยครั้งผมจะไม่ลงทุนเลย ผมชอบลงทุนเฉพาะในหุ้นที่ผมคาดการณ์ตัวเลขได้ค่อนข้างดีและความผันผวนหรือโอกาสแตกต่างจากที่คาดการณ์มีน้อย เพราะด้วยการลงทุนในหุ้นแบบนี้ โอกาสผิดพลาดหรือเรา “แพ้” มีต่ำ ผมชอบลงทุนในสิ่งที่มีโอกาสขาดทุนน้อยแม้ว่าบางทีกำไรก็อาจจะไม่สูง เพราะผมเชื่อในกฎสำคัญของการลงทุนในระยะยาวที่ว่า “อย่าขาดทุน”
เก็บตก VI Summit 2019 - งานรวมพลวีไอที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
วันนี้แอดฟังรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน
อาจารย์นิเวศน์ ได้เล่าถึงบรรยากาศงาน VI Summit 2019 และทริปสั้นๆ ที่ไป Malaysia ให้ฟัง
ทางเพจสรุปมาฝากดังนี้ค่ะ
อาจารย์นิเวศน์ เล่าให้ฟังว่า
งาน VI Summit ที่กัลลาลัมเปอร์นี้น่าจะเป็นรวมพลที่น่าจะใหญ่ที่สุดในย่าน
ปกติจะไปบรรยายที่สิงคโปร์แต่ปีนี้ไปมาเลเซีย
ในงานมีคนไทยไปด้วย หลายคนเป็นคนคุ้นหน้า
สังคม VI ไทย หลายคนไม่ทำงานแล้ว เป็นอิสระทางการเงิน
การไปสัมมนาต่างประเทศเป็นชีวิตอีกแบบที่สนุกดี ได้เพื่อน ได้ความรู้
ในฐานะวีไอ เราต้องเรียนรู้ไว้
VI Summit รอบนี้มี Speaker ชาวจีน ออสเตรเลีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย USA เน้นแนวเป็นวีไอ ไม่มีเทคนิคคอล
มี Sarah Fu ที่เป็นพิธีกรเคยสัมภาษณ์ Warren Buffett กว่า 10 ครั้ง
ซึ่งปกติเป็นเรื่องยากที่ Warren จะยอมในสัมภาษณ์บ่อยๆ นะ
---
พิธีกร: อยากให้อาจารย์ช่วยเปรียบเทียบระหว่าง KL,Malaysia กับ Bangkok
สิ่งที่เห็นความแตกต่างบ้านเมืองเค้าถูกออกแบบ วางผังไว้ดี
ดูเหมือนประเทศเจริญแล้ว
ไม่แน่นแบบบ้านเรา
มีสถาปัตยกรรมแบบเก่าๆ ปนสมัยใหม่
ถนนหนทางดีมาก
ที่งงคือเราอยากไปเที่ยวแบบธรรมชาติ
สวนนกใหญ่ที่สุดในโลก
แต่สวนนกห่างกันจากกลางเมืองแค่ 15 นาที
สวนนกตรงนี้เป็นต้นไม้ใหญ่เป็นป่าเลย
กางมุ้งหลาย 10 ไร่
อากาศข้างนอกที่มาเลเซียดี
บ้านเรามีฝุ่น ผมเลยอยู่บ้านตลอด
ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกมีปัญหาอึดอัด...
ส่องบรรยากาศ การลงทุน “เวียดนาม”
Hanoi- เริ่มมีย่านการค้าทำเลทอง
- มีห้างสรรพสินค้าลอตเต้สัญชาติเกาหลี
- มีห้างบิ๊กซีจากไทยเข้าไปลงทุน
- มีการก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูส โดย “แคปปิตัลแลนด์” สัญชาติสิงคโปร์
- ส่วนของทุนท้องถิ่นก็ไม่เบาเลย
มีการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมอย่างยานยนต์ที่ Vingroup เพิ่งจะทำคลอดรถแบรนด์ “Vin Fast” สัญชาติเวียดนามออกมาต้นปีนี้ -พร้อมเปิดตัวสมาร์ทโฟนแบรนด์ “Vsmart” ของบริษัทเป็นครั้งแรก
————-
ซี.พี.เวียดนาม
————
บิ๊กธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจร Feed-Farm-Food ในเวียดนาม นาน 25 ปี จนเติบโตเป็นท็อป 5 ในตลาดอาหารเวียดนาม ได้เล่าว่า
“เวียดนามมีจุดเด่นสามารถเป็นได้ทั้งฐานการผลิตและฐานการตลาด เพราะ
- มีประชากรเวียดนามมากถึง 97 ล้านคน
- มีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรปีละ 1% ที่สำคัญ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน มีอายุเฉลี่ย 31 ปี จึงมีความต้องการบริโภคสูงขึ้น
- มีแรงงานจำนวนมาก ค่าแรงงานต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่น
- ภูมิประเทศมีชายฝั่งทะเลยาวจึงมีการพัฒนาท่าเรือ และมีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์
- อัตราการขยายตัวของจีดีพีเฉลี่ย 6.5% รายได้ประชากรต่อหัวต่อปีประมาณ 2,629 เหรียญสหรัฐ
- “การเมือง” ที่มีเสถียรภาพ ทำให้มีการขับเคลื่อนนโยบายมีเอกภาพและมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ มีการปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดกว้าง มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ตามนโยบาย “Doi Moi”...
ผู้ได้ประโยชน์ตัวจริง
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนใหม่ๆ คนส่วนใหญ่บอกว่าน่าจะเป็นแค่เรื่องบลัฟกัน
เดี๋ยวก็เลิก เพราะต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บทั้งคู่ ไม่น่าจะมีใครอยากทำสงครามการค้ากันหรอก
แต่เอาเข้าจริงๆ กลับยืดเยื้อมาถึงวันนี้
และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ หลายบริษัทกำลังหาทางหลบหลีกผลเสียหายอันเกิดจากสงครามนี้ด้วยการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น
และดูเหมือนว่าประเทศที่ได้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวนี้คือเวียดนาม
ทำไมจึงเป็นเวียดนาม?
เหตุผลที่สำคัญคือ
-เวียดนามได้เปรียบในจุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
-อีกทั้งค่าลงทุนต่ำและรัฐบาลทุ่มเทสนับสนุนอย่างเต็มพิกัด
-อีกประเด็นหนึ่งคือ เวียดนามไม่มีข้อขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ ทำให้เชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์ คงไม่ตามไล่ล่าไปถึงเวียดนาม
-ล่าสุดอีกประการหนึ่งคือ เวียดนามก็มีความคืบหน้าเรื่องการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปเเละประเทศริมมหาสมุทรเเปซิฟิกอีก 10 ชาติ
—
จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามเอื้อต่อการขนส่งสินค้าทางทะเลไปทางตะวันออก และการนำเข้าวัตถุดิบทางบกจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็ค่อนข้างสะดวก
ตั้งเเต่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหญ่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทที่ไปปักหลักที่จีนที่ไหวตัวทันต่างก็วิ่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการขยับขยายไปเวียดนามกันอย่างคึกคัก
มีการประเมินกันว่าเวียดนามเป็นทางเลือกที่มีแรงจูงใจที่สุดสำหรับผู้ผลิตสินค้าในจีนที่ต้องการขยายกำลังการผลิตนอกประเทศ
เพราะศูนย์การผลิตอื่นๆ ในเอเชียสู้เวียดนามไม่ได้ เนื่องจากตั้งอยู่ห่างไกลจากจีน ทำให้เสียค่าลงทุนสูงกว่า
ที่สำคัญคือ เวียดนามตอบโจทย์เรื่อง supply chain สำหรับการผลิตและขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้มากกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบนี้
อย่าได้แปลกใจหาก iPhone จะย้ายฐานการผลิตจากจีนบางส่วนมาเวียดนามในเร็ววันนี้
Foxconn ซึ่งเป็นผู้รับเหมารายหลักในการประกอบโทรศัพท์มือถือ iPhones ที่มีโรงงานในจีนหลายแห่ง กำลังเจรจากับผู้บริหารของเวียดนามที่กรุงฮานอย หรือคณะกรรมการที่มีอำนาจตัดสินใจอย่าง Hanoi People's Committee โดยมีเป้าหมายตั้งโรงงานประกอบโทรศัทพ์ iPhone ขึ้นที่นั่น
ชัดเจนว่านี่คือยุทธศาสตร์ “หลบกระสุนสงคราม” ระหว่างจีนกับสหรัฐของ iPhone เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออนาคตของตนเองในภาวะที่การเมืองระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นตลอดเวลา
ข่าวอีกกระแสหนึ่งบอกว่า แม้บริษัทจีนเองก็ยังไม่วายต้องคิดหาวิธีหลบลี้หนีภัย
บริษัทผลิตหูฟังไร้สาย GoerTek ของจีนก็กำลังพิจารณาย้ายโรงงานจากจีนไปเวียดนามด้วยเหตุผลเดียวกัน
แน่นอนว่าจะต้องเกิดคำถามว่า ทำไมบริษัทเหล่านี้ไม่มองไทยเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งนอกจากเวียดนาม
นี่เป็นคำถามที่คนไทยควรจะต้องใคร่ครวญพิจารณาประกอบการวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโตเร็วในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขยายตัวของโรงงานที่ต่างชาติลงทุนที่นี่นอกจากแหล่งเดิม เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้เเละไต้หวัน
ยิ่งปีที่ผ่านมาจะเห็นการก้าวกระโดดของเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มาลงเวียดนามอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ แจ้งว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ หรือ Foreign...
UPDATE หุ้นเวียดนามรายอุตสาหกรรม 2019
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ นักลงทุนหุ้นเวียดนามทุกท่าน
วันนี้จะเป็นต่อจากภาคแรก ที่เรานำเสนอภาพรวมของตลาดเวียดนามไปนะคะ คราวนี้เราจะมาว่ากันเรื่องภาพรวมในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม สำหรับปี 2019 และเป็นภาคจบของซีรีย์นี้ค่ะ แอดอยากจะแชร์ข้อมูลเพื่อให้เพื่อนๆนักลงทุนเวียดนามที่ได้เข้าถึงข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ และนี่คือจดมุ่งหมายที่เราทำสรุปนี้ขึ้นมาค่ะ
ชอบกด Like ใช่กด Love เป็นกำลังให้คนทำเพจกันเยอะๆนะคะ ^^ ขอบคุณค่า
.
.
Banking Sector
ทาง Viet Cap คาดการณ์ว่ากำไรของกลุ่มแบงค์จะโตประมาณ 23% (หรือประมาณ 26% แบบ normalization basis) โดย EPS growth จะโตประมาณ 17.4% และมี NIM เพิ่มขึ้นเป็น 7 bps ในปี 2018, และเพิ่มเป็น 9 bps ในปี 2019 เนื่องจากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ policy rate ในปีนี้ และ credit growth เฉลี่ยประมาณ 14.6%
นอกจากนี้ตลาดยังไม่ได้ให้ค่ากับความสามารถในการกลับรายการหนี้สินที่เคยถูก write-off ไปแล้ว ตาม Resolution 42/2017/QH14 ซึ่งรายรับตรงส่วนนี้...
สิ้นสุดการรอคอย! ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในนครโฮจิมินห์ ภายใต้สถานกงสุลใหญ่ ได้ร่วมกับบริษัท Baker&Mckenzie เวียดนามจัดทำคู่มือการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในเวียดนาม ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยในฉบับนี้มีการเพิ่มเติมกฎระเบียบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นสาขาที่กำลังเติบโตสูงตามชนชั้นกลางที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงกฎหมายการค้าปลีกและการแข่งขันของเวียดนามฉบับใหม่ สามารถดาวโหลดฉบับเต็มได้ที่
http://www.thaiembassy.org/…/business-20190116-111032-55200…
Update สถานการณ์หุ้นเวียดนาม 2019
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ นักลงทุนเวียดนาม
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แอดได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนา “Vietnam Strategy 2019” ผ่านทาง webinar ที่จัดโดย Viet Capital ค่ะ โดยมีนักลงทุนจากทางยุโรปโทรเข้ามาร่วมด้วยค่ะ ทางแอดเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนไม่มากก็น้อย เลยอยากจะขอแบ่งปันภาพรวม และมุมมองจากทาง Viet Capital ค่ะ
สำหรับการลงทุนในประเทศเวียดนามในปี 2019 นั้น ทาง Viet Capital ยังมองว่าเป็นมุมบวกอยู่ค่ะ โดยมีเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ประมาณ 1050 จุด (upside 18%) โดยคำนวนมาจากการที่ Viet Capital ได้เข้าพบผู้บริหาร และวิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประมาณ 75% ของ market capitalization ตลาด ประมาณว่า ณ. สิ้นปี 2018 จะมี EPS growth ประมาณ 11% และ คาดการณ์ว่าปี 2019 จะมี EPS growth ประมาณ...
"Bamboo Airways" บินเที่ยวแรกแล้ววันนี้
"Bamboo Airways" สายการบินน้องใหม่สัญชาติเวียดนาม เสร็จสิ้นเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในวันนี้ ที่บินจาก โฮจิมินห์ซิตี้ มายัง ฮานอย
"Bamboo Airways"กลายเป็นสายการบินลำดับที่ 5 ของเวียดนามหลังจาก
Vietnam Airlines,
Jetstar Pacific Airlines,
Vietjet Aviation
Vietnam Air Services Co.
"Bamboo Airways"
ลงนามข้อตกลง ที่จะจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 20 ลำ และลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัทแอร์บัสเพื่อจัดซื้อเครื่องบินรุ่น A320neo จำนวน 24 ลำ
ขณะที่ Vietjet ที่ให้บริการด้วยเครื่องบินแอร์บัส 60 ลำ ได้กลายเป็นสายการบินเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศในเวลาอันรวดเร็ว
Trinh Van Quyet ประธานบริษัท FLC Group และ Bamboo Airways ไม่ได้แสดงความวิตกถึงเรื่องการแข่งขัน
"Bamboo Airways" คาดว่าจะให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศทั้งหมด 37 เส้นทางในปีนี้ และเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเริ่มต้นที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์
Trinh Van Quyet กล่าวในวันนี้ (16 ม.ค.) ว่า บริษัทยังไม่มีแผนที่จะจดทะเบียนสายการบินแบมบูในตลาดหุ้น
เวียดนาม...
บทเรียนการลงทุนจากปี 2561
ดร. นิเวศน์เหมวชิรวรากร
ในสงครามนั้นมีคำพูดสำคัญข้อหนึ่งก็คือ “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร” เรื่องหุ้นเองนั้นบ่อยครั้งก็มีการเปรียบเทียบกับสงครามเนื่องจากการลงทุนนั้นเป็น “กิจกรรมแห่งการต่อสู้” ที่รุนแรงคล้ายๆกับสงครามดังนั้นในแวดวงหุ้นเองคนก็มักจะพูดว่าตราบใดที่คุณยังลงทุนอยู่เช่นยังถือพอร์ตลงทุนหุ้นจำนวนมากไว้หรือถือหุ้นบางตัวไว้ก็จงอย่าคิดว่าคุณประสบความสำเร็จทำเงินมากมายแล้วเหตุผลก็เพราะว่าพอร์ตและ/หรือหุ้นที่มีกำไรมหาศาลนั้นอาจจะตกลงมาอย่างแรงจนกำไรหดหายหรือกลายเป็นขาดทุนได้ดังนั้นจงอย่าชะล่าใจและเปิดตัวเองให้อยู่ในความเสี่ยงที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นการลงทุนในหุ้นนั้นเราควรที่จะ “ถ่อมตน” อยู่เสมอตราบที่เรายังคงลงทุนอยู่และนี่ก็คือบทเรียนแรกที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้จากการลงทุนในช่วงปี 2561 ที่ VI จำนวนมากรวมถึง “เซียนหุ้น” ขาดทุนหรือมูลค่าพอร์ตลดลงมามากแทบจะเป็น “หายนะ”
ในการลงทุนนั้นผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมระยะยาวหรือแม้แต่ตลอดชีวิตแม้แต่คนที่ “เล่นสั้น” ซื้อขายหุ้นรายวันแต่ถ้าเขาก็ทำแบบนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานหรือ “ตลอดชีวิต” มันก็คือเกมระยะยาวเช่นเดียวกันเหนือสิ่งอื่นใดก็คือหากเราเป็นคนที่มีเงินเหลือเก็บจากการทำงานใช้แรงงานเงินที่เหลือเก็บนั้นโดยนิยามก็คือเงิน “ลงทุน” เพราะคงไม่มีใครเก็บเป็นเงินสดที่เป็นธนบัตรมันจะต้องถูกนำไปฝากธนาคารหรือซื้อตราสารทางการเงินหรือนำไปซื้อทรัพย์สินเพื่อการลงทุนซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ดังนั้นโดยนิยามแล้วทุกคนที่มีเงินเหลือเก็บก็เป็นคนที่ต้องลงทุนหรือเป็นนักลงทุนและเป็นนักลงทุนระยะยาวตลอดชีวิตผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนนั้นในบางช่วงก็ดีเลิศหรือดีบางช่วงก็แย่หรือแย่มากถ้า“บังเอิญ” ว่าเราทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมมายาวอาจจะเป็น 10 ปีก็จงอย่าคิดว่าเรา “เก่งมาก” หรือเป็น “เซียน” แม้ว่าจะมีคนอื่นยกย่องชื่นชมเราเพราะเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเช่นในปี 2561 เราอาจจะ “แพ้” กำไรที่เคยทำมาได้หายหมดหรือลดลงมากจนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นนั้นไม่ได้สูงกว่าปกติเท่าไรนักและนี่ก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและเกิดขึ้นกับ “เซียน” ระดับโลกด้วย
ปี 2561 นั้นผมคิดว่ามันเป็นปีที่ “หมดรอบ” ในหลายๆเรื่องความหมายก็คือสิ่งต่างๆที่มักเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรดี-ร้ายนั้นหมุนมา “ครบรอบ” เช่นแรงเก็งกำไรในหุ้นแบบต่างๆที่ทำให้หุ้นขึ้นไปแรงมากเป็นเวลาหลายปีพอถึงปี 2561 มันก็ถึงจุดสุดยอดและก็เริ่มปรับตัวลงแรงและดูจะไม่สามารถดีดตัวขึ้นในระยะสั้นอย่างที่เคยเป็นอีกดังนั้นผมคิดว่ามันน่าจะ “จบรอบ” หรือ “อวสาน” และต้องรอเวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นรอบใหม่และการที่มันจบรอบหรือ “สงครามสงบ” แม้ว่ามันจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” นี้เองผมจึงคิดว่าเราน่าจะมาทบทวนดูว่าเราได้รับบทเรียนอะไรบ้าง
จากประสบการณ์ของผมเองนั้นผลงานการลงทุนที่ดีนั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะหุ้นบางตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่องยาวนานซึ่งนั่นช่วยทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตเติบโตหรือต้านทานภาวะเลวร้ายของตลาดได้ถ้าจะพูดภาษาสงครามหน่อยก็อาจจะบอกว่าเรามี “เรือธง” ที่ยิ่งใหญ่ที่คอยค้ำจุนหรือปกป้องน่านน้ำหรือเขตสงครามที่ทำให้กองทัพประสบความสำเร็จและยืนหยัดอยู่ได้เรือธงนั้นเองก็ “ถูกถล่ม” เช่นเดียวกันแต่มันไม่จมและมันพร้อมที่จะกลับมาสู้รบอย่างห้าวหาญต่อไปอย่างไรก็ตามมีโอกาสเสมอที่มันอาจจะถูกถล่มจนจมลงแบบเดียวกับที่เรือบิสมาร์กที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันถูกรุมล่าจนจมลงมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
บทเรียนที่ว่าเราต้องมีเรือธงหรือหุ้นที่ยิ่งใหญ่หรือหุ้นที่ในช่วงเวลายาวนานระดับหนึ่งสร้างผลงานที่น่าประทับใจจนทำให้ผลงานโดยรวมของเราดีต่อเนื่องยาวนานนี้ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนที่ปีเตอร์ลินช์พูดไว้ในหนังสือเรื่อง One Up On Wall Street ที่เขาเล่าว่าการเติบโตหรือผลตอบแทนของหุ้นจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของเขานั้นก็ไม่ได้สูงผิดปกติอะไรมัน“ธรรมดา” มากเหตุผลก็อาจจะเป็นว่าเขาถือหุ้นเป็นพันตัวซึ่งมันยากมากที่จะมีผลงานดีทุกตัวแต่หุ้นที่ทำให้พอร์ตเขาดูดีมากก็คือหุ้นบางตัวที่เขาถือไว้จำนวนมากตั้งแต่ราคายังต่ำและบริษัทที่อาจจะเพิ่ง “Turnaround” หรือเติบโตนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆทุกปีในอัตราที่สูงและกลายเป็น “หุ้น 10 เด้ง” และนี่คือหุ้นที่เขาถือยาวนานติดต่อกันหลายปีผลก็คือผลตอบแทนระยะยาวที่ดีมากของเขาส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในหุ้นแบบนี้
บทเรียนสำคัญต่อมาก็คือการ “หลีกเลี่ยงหายนะ” จากหุ้นที่เราลงทุนนี่ก็คือจะต้องประเมินความเสี่ยงของหุ้นทุกตัวว่ามันเป็นอย่างไรความเสี่ยงสูงแค่ไหนและต้องเป็นความเสี่ยงทุกด้านรวมถึงความเสี่ยงที่เราใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุนหรือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการเพิ่มอัตราความเสี่ยงขึ้นไปสูงมากเช่นการใช้บล็อกเทรดเป็นต้นและนอกจากความเสี่ยงของตัวกิจการและตัวหลักทรัพย์เองแล้วเราก็ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิด Fraud หรือการโกงและการหลอกลวงในเรื่องต่างๆรวมถึงระบบบัญชีของบริษัทโดยเฉพาะเวลาที่เราดูแล้วมัน “Too good to be true” หรือมันดูดีจนไม่น่าเป็นไปได้ในช่วงปี 2561 และก่อนหน้านั้น 2-3 ปีดูเหมือนว่าเราจะพบหุ้นประเภทนี้ค่อนข้างมาก
บทเรียนอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะจดจำก็คือหุ้นที่มี “คนเชียร์กันอื้ออึง” นั้นก็เป็นไปตามที่บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่าเรามักจะต้องจ่ายเงินซื้อแพงเกินไปและทำให้เรา “เสียเงิน” ช่วงก่อนหน้านี้เราได้เห็นว่ามีหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเชียร์กันอย่างกว้างขวางว่าจะเติบโตยิ่งใหญ่เหมือนอย่างหุ้นที่ยิ่งใหญ่ในต่างประเทศโดยนักลงทุนนักวิเคราะห์ผู้บริหารบริษัทและสื่อต่างๆซึ่งทำให้ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูงมากแต่แล้วเมื่อตัวเลขผลประกอบการที่ทยอยออกมาไม่รองรับราคาหุ้นก็ปรับลดลงมาหนักมากซึ่งทำให้คนที่ตื่นเต้นกับเสียงเชียร์และเข้ามาซื้อหุ้นขาดทุนจำนวนมาก
อีกบทเรียนหนึ่งที่ปี 2561 ตอกย้ำก็คือการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์น้อยในการลงทุนส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่จะถูกหรือผิดนั้นเท่าๆกันและบ่อยครั้งถึงคาดถูกก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราเป็นนักลงทุนที่เลือกลงทุนเองไม่ใช่คนที่ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนีปี 2561 นั้นคนส่วนใหญ่น่าจะคาดในช่วงต้นปีว่าจะเป็นปีที่ดีเพราะดัชนีหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามเมื่อหมดปีผลปรากฏว่าดัชนีก็ตกลงมา “แรง” คือประมาณ 11% แต่ถ้ามองจากประวัติศาสตร์การตกแค่นี้ก็ถือว่า “ธรรมดา” เป็นแค่ Correction หรือการ “ปรับตัว” ของตลาดหุ้นอย่างไรก็ตามถ้ามองในภาพเล็กลงมาและในสายตาของนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากแล้วปี 2561 น่าจะถือว่าเป็นปี “วิกฤติ” เพราะหุ้นตัวเล็กและกลางที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบลงทุนนั้นจำนวนไม่น้อยราคาตกลงมาน่าจะเกิน 30%
สุดท้ายสำหรับบทเรียนจากปี “วิกฤติ” รอบนี้ก็คือหุ้นที่จะ “อยู่รอด” หรือตกลงมาไม่มากและอาจจะพร้อมที่จะกลับขึ้นมาใหม่ก็คือหุ้นที่ความสามารถในการแข่งขันของกิจการยังแข็งแกร่งและ/หรือบริษัทยังเติบโตและ/หรือราคาหุ้นไม่แพงเกินไปและนี่คือหุ้นที่สามารถ “ฝ่ามรสุม” ของตลาดหุ้นได้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์