กฎ 20 ข้อในการลงทุนที่เวียดนามในหนังสือ คุณแบ่งเป็น 4 ส่วน
ได้แก่

  • พื้นฐานกิจการ
  • สิ่งที่ห้ามทำ
  • เชื่อมั่นแต่ต้องตรวจสอบ
  • การถอนตัว
    ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อย ?

บอกตามตรงมีกฎเพราะว่าพวกเราเคยพลาดและสะดุดมาก่อน
เราเกาหัวแล้วถามตัวเองว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง เพื่อที่เราจะไม่พลาดซ้ำ
ในส่วนของ Fundamental เราต้องมั่นใจกับผู้บริหาร เมื่อพวกเขาทำเงิน เราก็ทำเงิน
เมื่อเค้าเสียเงินหรือเจ็บปวด เราก็เจ็บปวดไปด้วย

พวกเขาผ่านเรื่องที่เลวร้ายและได้ประสบการณ์ เพื่อลงทุนได้ดีขึ้นในอนาคต

นี่คือเหตุผลที่มีกฏขึ้นเพราะพวกเราผ่านมันมา อะไรที่เราควรทำ ไม่ควรทำ อะไรที่พวกเราควรจะตรวจสอบ
และอะไรที่เราควรพิจารณาเมื่อต้อง Exit เพราะสุดท้าย เราต้องคืนเงินให้ผู้ถือหุ้น

อะไรเป็นกฎยากสุดที่คุณเรียนรู้ อะไรเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดในเวียดนาม ?

เราเคยมั่นใจมากในการสร้างโรงแรมในเวียดนาม แต่ประเมินต้นทุนต่ำเกินไป ประเมินเวลาก่อสร้างต่ำไป ประเมินกฏที่อนุมัติต่ำไป มันเป็นโรงแรมห้าดาว เห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้รู้อะไรเลย

ในมุมมองทางการเงินคงไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะสร้าง โรงแรม หรือแม้แต่โรงพยาบาล ให้คนอื่นทำดีกว่า มันถูกกว่าถ้าใช้วิธีซื้อต่อจากคนอื่น เพราะโรงแรม โรงพยาบาลมักจะขายต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี
แต่ตอนนั้นพวกเราคิดต่าง เราเลือกที่จะสร้างโรงแรมที่ดีมากๆ แต่สุดท้ายมันมืดมน

รวมทั้งปัญหาตอนสร้างโรงพยาบาลที่ต้นปี 2010 ที่ไม่ใช่แค่อัตราเงินเฟ้อสูงเท่านั้น แต่อุปกรณ์ที่ผ่านการอนุมัติให้ใช้ในตอนแรก ไม่มีแล้วในสามปี ต่อมากระทรวงสาธารณสุขเพิ่มมาตรฐานให้โรงพยาบาลอีก
ดังนั้นคุณต้องเปลี่ยนแปลงการออกแบบและก่อสร้าง รวมถึงการซื้ออุปกรณ์เครื่อง MRI เครื่องผ่าตัด จาก GE หรือ มิตซูบิชิ ที่รุ่นเดิมไม่มี ต้องเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และต้องปรับห้องใหม่ด้วย
ยังไงเราก็ได้เรียนรู้ ถ้ามีครั้งต่อไปรอบ ๆ เราจะสร้างห้องให้กว้างๆ ไว้มากกว่าจะระบุรายละเอียดในห้องไปเลย

คุณลงทุนหลากหลายบริษัท ตั้งแต่ธุรกิจเพื่อสุขภาพถึงร้านขายขนม คุณมุ่งเน้นไปที่การพยายามค้นหาธุรกิจ?

สิ่งที่เราทำคือเราก้าวไปย้อนกลับไปดูภาคต่างๆ ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของ เศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อพูดว่า GDP กำลังเติบโต 6-7% เรากำลังพูดถึง เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโต
นั่นหมายถึงความมั่งคั่งของคนที่กำลังเติบโต คนร่ำรวยขึ้น และพวกเขาต้องการสิ่งพื้นฐาน เช่น บริการทางการแพทย์ ธนาคาร บ้านพักอาศัย อาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ
เมื่อเราต้องเลือกอุตสาหกรรม เรามีสองทางเลือก

  1. เราต้องการหาผู้เล่นที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้น เราต้องมั่นใจว่าดีที่สุด ผู้เล่นจะชนะผู้เล่นคนอื่นๆ ทั้งหมดในระยะยาว
    คุณสามารถเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆ ได้ แต่เบอร์หนึ่งเบอร์สองกำลังจะมา
  2. เลือกบริษัทที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่มีศักยภาพ ยกตัวอย่างบริษัทเหล็กที่เราลงทุนซึ่งบริษัทเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
    เราลงทุนในบริษัทนี้ชื่อว่า HPG ในปี 2008 เราทุ่มเงิน 50 ล้านดอลลาร์ลงไป พวกเขาได้นำเศษเหล็กรถยนต์จากสหรัฐอเมริกายุโรป พวกเขาละลายลงและพวกเขาก็สร้างขึ้นใหม่

เขาเป็นผู้เล่นอันดับที่ 11 ที่ไม่ใกล้เคียงกับสามอันดับแรกเลย แต่เราใส่เงินเข้าไป เราเชื่อความสามารถที่จะมีคอมเพล็กซ์เหล็กครบวงจร ต้นน้ำยังปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายน้อยกว่าค่าใช้จ่ายจริงมาก เช่น เศษเหล็กไขลานนาฬิกา

วันนี้ HPG มีความสามารถในการขายเหล็กถูกกว่าเจ้าอื่นที่มีคุณภาพเดียวกัน ตอนนี้เขาคือผู้เล่นอันดับหนึ่งในเวียดนาม
ความจุจากสองล้านตัน สู่แปดล้านตันในวันนี้ เป็นบริษัทที่สองในเวียดนามที่จะเกินกำไรหนึ่งพันล้านดอลลาร์จากในปีนี้

ภายใน 13 ปี บริษัทนี้โตจากบริษัทมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ สู่ 10,000 ล้านดอลลาร์ (โต 20 เท่า)
นี่เป็นสิ่งที่เราหา บริษัทอันดับท้ายในธุรกิจ แต่ผู้บริหารดีมีศักยภาพ เราลงทุนแล้วบอกว่าคอยดูนะเค้าจะโตมาเป็นอันดับ 1 แล้วเราก็จะได้ Value นั้น
ตอนนี้ HPG เค้าส่งออก ด้วย 34% market share ในตลาดเหล็กเวียดนาม ดังนั้นน่าจะยังมีศักยภาพในการโตในประเทศ

เวียดนามเป็นทายาทของจีนในแง่ของการผลิตและการส่งออก แต่คหนึ่งในกฎของคุณคือ ไม่ลงทุนธุรกิจการส่งออก สินค้าโภคภัณฑ์ อธิบายเพิ่มเติมหน่อย?

หลายปีที่แล้ว เราดูบริษัทเฟอร์นิเจอร์ 2-3 แห่ง ธุรกิจพวกเขากำลังรับคำสั่งจากอเมริกาและยุโรปให้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ในเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ในร่มหรือกลางแจ้ง
สิ่งที่เราค้นพบในการทำงานของบริษัทเหล่านี้คือ
นำเข้าวัตถุดิบ->ทำงานในโรงงาน-> เสร็จแล้วก็จัดส่งไปยุโรปหรืออเมริกา
แต่พวกเขาไม่จ่ายเงินให้บริษัททันที พวกเขาให้บัญชีลูกหนี้แทน

แต่ปัญหาใหญ่คือประเทศอย่างเวียดนาม ค่าต้นทุนการกู้ยืมสูงมากดอกเบี้ย 8-10% ขณะที่เงินกู้ที่ยุโรปอาจแค่ 1% จากมุมนั้นก็ไม่ดึงดูดผมให้ลงทุน

ประการที่สองคือ เราพบว่าธุรกิจเหล่านี้เมื่อพวกเขายังเล็กไม่เป็นไร แต่เมื่อโตขึ้นต้องแข่งกับอินโดนีเซียประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องแข่งกับมาเลเซีย ต้องแข่งกับจีนที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ด้วย


การส่งออกเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ ผู้คนชื่นชมแบรนด์ที่พวกเขาจะจ่าย อัตรากำไรขั้นต้นสูง
แต่ถ้าคุณผลิตเฟอร์นิเจอร์ แม้กระทั่งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ มันสามารถกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ได้(ถ้าไม่มีแบรนด์ สิทธิบัตร) และคุณแข่งขันกับผู้ส่งออกรายอื่น

ปัญหาที่เวียดนามจะเผชิญคือ วันนี้ค่าแรงเราถูกมาก บริษัทข้ามชาติจึงมา ถ้าวันหนึ่งต้นทุนเราเพิ่มขึ้น ธุรกิจในเวียดนามอาจจะไม่มีความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกอีกต่อไป
ผู้คนย้ายไปบังคลาเทศ กัมพูชา ประเทศที่ถูกกว่าอื่น ๆ เราต้องเผชิญหน้ากับมันในห้าถึงสิบปีและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่คุณกล่าวถึง ใน 20 ปีที่ผ่านมา คือเงินเฟ้อสูง แต่ตอนนี้การควบคุมได้
คุณจะแนะนำให้นักลงทุนรับความเสี่ยงยังไง?

ใช่ฉันคิดว่ามีสองส่วน คำถามหนึ่งคือเงินเฟ้อในเวียดนามแบบในอดีตจะมีในอนาคตไหม
เราค้นพบองค์ประกอบหลักที่ผลักดันอัตราเงินเฟ้อในเวียดนาม คือ

  1. มีการเติบโตของสินเชื่อธนาคาร 30-50 ต่อปี
  2. มีสถานการณ์ที่ค่าเงินด่องอ่อนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมาก
    ตอนนั้นนำเข้าสินค้ามากกว่าการส่งออก เศรษฐกิจจึงขาดดุลการค้า เรานำเข้าหลายอย่าง เช่นรถยนต์ นาฬิกา และอื่นๆ พอมูลค่าของค่าเงินลดลง มูลค่ารถก็ขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผลักดันอัตราเงินเฟ้อในเวียดนามในช่วง 20 ปีที่แล้ว

ตอนนี้การขาดดุลการค้าไม่มีอยู่แล้ว เราได้ดุลการค้า 10,000- 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ดังนั้นสกุลเงินท้องถิ่นจึงแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ธนาคารก็ได้เรียนรู้จากการปล่อยสินเชื่อมากเกินไปนำไปสู่เงินเฟ้อ พวกเขาจึงมีการจำกัดเครดิต
อัตราการเจริญเติบโตเครดิตในเวียดนามประมาณ 11-12% ผมคิดว่าเงินเฟ้อต่อจากนี้จะไม่สูงมัน น่าจะ3-5%

ดังนั้น คำแนะนำสำหรับนักลงทุนคือ คุณสร้างอัตราเงินเฟ้อ 3-4% ใน IRR
ถ้าเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุน 5 ปี ต่อจากนี้คือ 20% ต่อปี
ถ้าเงินเฟ้อเท่ากับ 3% ผลตอบแทนที่ได้คือ 17% ต่อปี

แต่เดี๋ยวก่อน ธุรกิจในตัวเองสามารถตอบโต้อัตราเงินเฟ้อได้หากขึ้นราคาสินค้าได้
คุณอาจจะได้ผลตอบแทน 20-23% ถ้าธุรกิจนั้นปรับตัวได้

ในฐานะชาวต่างชาติมันก็โอเค 20%
แต่มันไม่ใช่แค่นั้นถ้าเงินเวียดนามแข็ง เงินปันผลหรือกำไรที่ผมทำได้ในเวียดนาม แปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐ หรือปอนด์อาจสูงขึ้น

ดังนั้นในเวียดนาม
คุณหาธุรกิจที่มีอำนาจการกำหนดราคาเมื่อมีเงินเฟ้อ และมีสกุลเงินที่แข็งสำหรับนักลงทุนต่างชาติ

ดูเหมือนว่าการได้ดุลการค้าเวียดนามน่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ใน 5-10 ปีข้างหน้า

ในหนังสือที่คุณกล่าวถึงวิธีที่สามารถลงทุนได้ในเวียดนาม รวมถึงผ่านบริษัทของคุณที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ลอนดอน ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม?

จากมุมมองส่วนตัว มีหลายวิธีที่คุณสามารถลงทุนในเวียดนามได้
ตอนนี้วิธีที่ง่ายที่สุดคือซื้อ ETF ที่มีมากมาย รวมทั้ง ETF เวียดนามในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

แต่ข้อจำกัดของ ETF คือ เน้นที่หุ้นจดทะเบียนเป็นหลัก
ขณะที่กองทุนของเรา VOF เน้นที่เอกชน ธุรกิจส่วนตัวด้วย
ถ้าคุณดูพอร์ตโฟลิโอของเราประมาณ 70% เป็นบริษัทในตลาดหุ้น
แต่ที่จริง หลายธุรกิจเราซื้อตั้งแต่ตอนเป็นบริษัทเอกชนที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหุ้น
เรายึดมั่นกับพวกเขา มันหมายความว่ากองทุนของเราคุณจะได้ใช้ประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากธุรกิจส่วนตัวสู่บริษัทในตลาดหุ้น

ในขณะที่ ETF มันก็ดีในการซื้อบริษัทจดทะเบียน ที่มีค่าบริหารที่ต่ำมาก
นั่นเป็นวิธีง่ายๆ 2 วิธี
VOF มีสภาพคล่อง คุณขายได้ตลอดเวลา
ETF เข้าถึงหุ้นในบริษัทจดทะเบียนง่าย มีสภาพคล่อง ขายได้ตลอดเวลา
และระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้นคือ ลงทุนตรงในเวียดนาม รวมทั้ง สามารถลงทุนโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจในเวียดนามตัวเลือกอื่น ๆ ที่ผมเห็นคือ คนยุโรปเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในเวียดนาม และลงทุนด้วยตัวเอง

อสังหาริมทรัพย์และ Urbanization เป็นการลงทุนที่มีศักยภาพไหม?

ก็ถือเป็นการลงทุนที่ดี

คำถามสุดท้ายของผม คุณอยากให้คนอ่านได้อะไรจากหนังสือ ?

ผมหวังว่าโดยการอ่านหนังสือจะทำให้เขาเห็นความท้าทายบางอย่างที่เราเผชิญ
เมื่อเราลงทุนในเวียดนามมันไม่ใช่ เฮ้ GDP โต 6-7% แล้วเราบอกว่าตลาดจะเติบโต
แต่มันมีความท้าทายซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตามเราได้ผลตอบแทนที่สูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เราเผชิญ
และผู้คนควรสังเกตประเทศที่มีคน 100 ล้านคน เติบโต 6-7% ต่อปี
ดังนั้นความหวังในท้ายที่สุดก็คือ หนังสือเล่มนี้จะเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ไม่เห็นโอกาสในการลงทุนในเวียดนามได้เห็นและลงทุนในเวียดนาม

—-

สำหรับเพื่อนๆ สนใจเรียนรู้หุ้นเวียดนาม สามารถดูรายละเอียดและสมัครกลุ่มปิด! ปรับทัพลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีน ได้ที่: https://bit.ly/316AyPX
ท่านสามารถติดตามข่าวสารจาก VietnamVI ได้ที่Website: https://www.vietnamvi.com
Facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor/
Line: @vietnamvi https://lin.ee/47V0kep
YouTube: https://youtube.com/c/vietnamvi
FB กลุ่มคุยหุ้นเวียดนามฯ: https://web.facebook.com/groups/4738903604867