อวสานของหุ้นโรงงาน

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

      ธุรกิจโรงงานที่ผลิตสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนหรือสินค้าสำเร็จรูปให้คนอื่นเพื่อนำไปประกอบเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายหรือนำไปขายในยี่ห้อของคนจ้างที่เรียกว่าเป็น  OEM (Original Equipment Manufacturing) นั้น  ต้องถือว่าเป็นเครื่องจักรสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยมากว่า 30 ปี  เริ่มจากการที่ญี่ปุ่นต้อง “ย้ายฐานการผลิต” มายังประเทศไทยเนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าในญี่ปุ่นสูงขึ้นมากอานิสงค์จากค่าเงินเยนที่ถูกบีบให้สูงขึ้นอย่างกระทันหันจากข้อตกลง Plaza Accord ในปี 1985 ที่ทำให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ  และนั่นทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งการผลิตต้นทุนต่ำเพื่อการส่งออกของประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าของโลกที่สำคัญแห่งหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน   อย่างไรก็ตาม   การ “เปิดประเทศ” ของจีนและเกือบทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงหลัง ๆ นี้  ได้ทำให้เกิด “คู่แข่ง”  มากมายที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าซึ่งทำให้สามารถแย่งการลงทุนไปจากไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงปัจจุบันผมคิดว่าไทยไม่น่าจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของคนที่จะมาลงทุนตั้งโรงงานโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียตนามและอาจจะรวมถึงอินโดนีเซีย

      ประชากรไทยที่น่าจะแก่ตัวมากที่สุดประเทศหนึ่งและอัตราการเกิดน้อยที่สุดเทียบกับคู่แข่ง  ซึ่งส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ในอัตราที่สูงที่สุดและหาแรงงานได้ยากน่าจะทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนเพื่อทำโรงงานน้อยลง  สถานการณ์แบบนี้คงจะดำรงอยู่ต่อไปอีกนานและในที่สุดสังคมไทยก็จะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์  ดังนั้น  ผมคิดว่า “ธุรกิจโรงงาน” ที่ต้องใช้คนจำนวนมากผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเพื่อการส่งออกน่าจะค่อย ๆ  ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องยาวนานและกลายเป็นอุตสาหกรรม  “ตะวันตกดิน”  และแม้แต่โรงงานที่เน้นเฉพาะการขายในประเทศเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก  เพราะในระยะหลัง ๆ  สินค้าที่ขายในประเทศที่มีราคาถูกนั้น  จำนวนมากผลิตจากจีนเนื่องจากต้นทุนต่ำกว่ามาก  คนที่ขายสินค้าซึ่งเคยสั่งซื้อจากโรงงานในประเทศจึงหันไปสั่งซื้อจากจีนหรือประเทศที่ผลิตได้ถูกกว่า

ในส่วนของ “หุ้นโรงงาน” ในตลาดหลักทรัพย์นั้น  แม้ว่าจะไม่มีหุ้นขนาดใหญ่มากนัก  แต่ก็มีหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนหรือทำ OEM กระจายกันในหลาย ๆ  อุตสาหกรรม  ในอดีตเองนั้น  หุ้นโรงงานก็เป็นหุ้นที่มีความคึกคักและมีคนสนใจเล่นหรือลงทุนพอสมควรโดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคซึ่งมักจะมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มที่เน้นขายในประเทศเพราะเป็นธุรกิจที่สามารถส่งออกขายไปทั่วโลก   แต่ในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา  หุ้นโรงงานก็เงียบเหงาลงมาก  แทบจะไม่มีการพูดถึงในแวดวงของนักเล่นหุ้น  ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ซบเซาลงอย่างหนักแม้ว่าตัวธุรกิจเองก็ยังสามารถทำกำไรพอใช้ได้และราคาหุ้นก็ไม่แพงและหลายตัวดูเหมือนจะถูกกว่ากลุ่มอื่น ๆ  โดยเฉลี่ย

การที่หุ้นโรงงานไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวผันผวนคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยไม่สนใจเข้ามาเล่น  ในด้านของนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศเองนั้น  หุ้นโรงงานก็ดูเหมือนว่าจะมีขนาดเล็กเกินไปที่จะทำให้พวกเขาอยากเข้ามาลงทุน  ดังนั้น  แม้ว่าหุ้นหลายตัวมีราคาไม่แพงและจ่ายปันผลงดงาม  มันก็มักจะ “ไม่ไปไหน” เหตุผลคงเป็นเพราะว่ามันไม่ค่อยโตและหลายตัวอาจจะถึงจุดอิ่มตัวและอาจจะค่อย ๆ  ลดลงด้วยซ้ำ  ดังนั้น  แม้แต่คนที่เป็น VI ที่เน้นลงทุนระยะยาวและเน้นปันผลก็มักจะไม่ค่อยสนใจที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงที่หุ้นตัวเล็กจำนวนมากปรับตัวลงหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา  หุ้นโรงงานก็ไม่ได้ปรับตัวลงมากมายนัก  ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องมาจากการที่มันไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปแรงก่อนหน้านั้น  และอีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผลประกอบการของหุ้นโรงงานก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร  หลายตัวก็ยังมีกำไรและจ่ายปันผลงาม

สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน  รวมถึงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคหลายรายมีผลกำไรที่  “น่าผิดหวัง”  ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นปรับตัวลดลงอย่างแรง  และนี่สำหรับผมแล้ว  มันอาจจะเป็นสัญญาณว่า  ธุรกิจที่เป็นโรงงาน  แม้ว่าจะเป็นกิจการที่อ้างว่าตนเองเก่งและยังมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติได้  ก็อาจจะไม่จริงหรือเริ่มสูญเสียความสามารถนั้นลงเรื่อย ๆ   จริงอยู่ตัวบริษัทเองอาจจะมีความสามารถใช้ได้  แต่การแข่งขันในระดับโลกนั้น  ความสามารถของบริษัทอาจจะยังไม่เพียงพอ  สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศก็น่าจะมีผลมาก  ยกตัวอย่างง่าย ๆ  ก็แค่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นต่อเนื่องมาหลายปีคิดเป็นอาจจะ 5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ก็อาจจะเพียงพอที่จะทำลายความสามารถในการแข่งขันไปไม่น้อยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่ค่าเงินลดลงซัก 5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์  เพราะผลของมันคือต้นทุนของเราอาจจะสูงขึ้น 10% เทียบกับคู่แข่งซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่มากในธุรกิจที่มีมาร์จินหรือผลกำไรต่ำอยู่แล้ว  เป็นต้น

แน่นอนว่าไม่ใช่ธุรกิจหรือหุ้นโรงงานทุกแห่งจะ “แพ้” หมด  โรงงานที่มีเทคโนโลยีที่ “เหนือกว่า” และพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลาก็น่าจะยังอยู่ได้  ต้นทุนหลักเช่นค่าแรงที่ไทยเสียเปรียบคู่แข่งบางประเทศก็อาจจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติและ/หรือหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำงานซึ่งทำให้ต้องการคนน้อยลงและทำให้เราไม่เสียเปรียบ  เช่นเดียวกัน  ความสามารถในการจัดการเช่น  การรักษาคุณภาพและการตรงต่อเวลาก็อาจจะทำให้เรายังสามารถแข่งขันได้แม้ว่าต้นทุนการผลิตเราอาจจะยังสูงกว่าคู่แข่ง  แต่การที่ธุรกิจโรงงานจะเติบโตก้าวหน้าขึ้นนั้น  สำหรับประเทศไทยแล้วผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากเพราะปัจจัยที่เอื้ออำนวยทั้งหลายที่เราเคยมีในอดีตนั้นนับวันก็จะถดถอยลงเรื่อย ๆ  เช่นเดียวกับปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือกำลังแรงงานคนหนุ่มสาวที่ดูเหมือนจะลดลงและไม่เห็นว่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้

ความอยู่รอดและยังอาจจะเติบโตขึ้นได้บ้างของเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในระยะยาวแล้วผมคิดว่าอยู่ที่ภาคบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งก็จะทำให้สัดส่วนของคนที่ทำงานหรือรายได้ของประชาชาติในภาคบริการจะค่อย ๆ  เพิ่มขึ้นในขณะที่ภาคการผลิตจะค่อย ๆ  ลดลง  ซึ่งนั่นก็จะทำให้กิจการและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโรงงานจะค่อย ๆ  ถดถอยลง   โรงงานเดิมที่มีอยู่คงไม่หายไปอย่างรวดเร็ว  โรงงานที่เน้นผู้ใช้ในประเทศก็ยังน่าจะได้กำไรและจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้แต่จะโตขึ้นเร็วนั้นก็คงยาก  โรงงานบางอย่างเช่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ก็อาจจะถูกกระทบอย่างเร็วและแรงจนถึงกับแย่ไปเลยนั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้  มองแบบกว้าง ๆ  แล้วดูเหมือนว่า Upside หรือโอกาสที่หุ้นจะดีขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวนั้นน่าจะยากกว่าโอกาสที่หุ้นอาจจะตกต่ำลง  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นโรงงานจึงน่าจะต้องดูว่าอย่างน้อยหุ้นจะต้องไม่แพงหรือถูกและต้องมีปันผลค่อนข้างดี  หุ้นโรงงานที่มีราคาแพงนั้นไม่น่าจะคุ้มค่าเลย  อาการแบบนี้ถ้าจะให้นิยามผมก็คิดว่ามันคือ  “อวสานของหุ้นโรงงาน”