โลกในมุมมองของ Value Investor    26 กุมภาพันธ์ 65

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นทำให้ผมหวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองที่เริ่มขึ้นในยุโรปในปี 1939 หรือประมาณ 83 ปีมาแล้ว  เพราะมันมีอะไรคล้ายกันอย่างบอกไม่ถูก  เพียงแต่ว่าคู่กรณี  ทั้งเรื่องของประเทศและตัวผู้นำที่ก่อสงครามนั้นมีการสลับสับเปลี่ยนไป  ผมจะเล่าเรื่องของสงครามโลกครั้งที่สองก่อน

เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งจบลงในปี 1919 และมีการเซ็นสัญญาแวร์ซายซึ่งบีบบังคับเยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามมาก  ซึ่งทำให้คนเยอรมัน “เจ็บแค้นมาก”  เฉพาะอย่างยิ่งฮิตเลอร์ซึ่งเคยเป็นทหารผ่านศึกและต่อมานำพรรคนาซี “ชนะเลือกตั้ง” และได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1933 และเมื่อได้อำนาจมาแล้ว  เขาก็เริ่มใช้อำนาจ  “เผด็จการ” ยุบพรรคการเมืองอื่นทั้งหมดและประกาศถอนตัวจากสันนิบาตชาติซึ่งคล้าย ๆ  กับสหประชาชาติในวันนี้   ความคิดของฮิตเลอร์ก็คือ  เขาจะนำเยอรมันกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมและเป็น “อาณาจักรไร้ช์ที่ 3” ที่จะยิ่งใหญ่ “ชั่วฟ้าดินสลาย”  และการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งแรกนั้นเป็นเพราะมีคนที่ทรยศ “แทงข้างหลัง” โดยเฉพาะคนยิวซึ่งจะต้องถูกกำจัด

ถึงปี 1934 ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์กเสียชีวิต  ฮิตเลอร์ก็ยุบตำแหน่งประธานาธิบดีรวมกับนายกและแต่งตั้งตัวเองเป็นฟูเรอร์หรือ  “ผู้นำสูงสุด”  พอถึงปี 1935 ก็ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเริ่มเกณฑ์ทหารและขยายกองทัพขนานใหญ่  ทั้งหมดนี้ประเทศผู้ชนะสงครามเช่นอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดสงครามกับเยอรมันอีก  พวกเขาต่างก็ไม่พร้อมและไม่อยากจะต้องเจอกับสงครามอีกครั้ง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ประเทศมีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่จะต้องฟังเสียงประชาชนที่ต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะทำสงครามโดยที่ไม่มีเหตุผลเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศของตนเอง  นอกจากนั้น  ก็มักจะไม่มีงบประมาณทางทหารมากพอ  ไม่ต้องพูดถึงกำลังทหารที่มีจำกัดเนื่องจากไม่สามารถที่จะเกณฑ์ทหารได้ในยามที่ประเทศไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม

ถึงปี 1938 เมื่อทุกอย่างดูเหมือนว่าจะพร้อมแล้ว ฮิตเลอร์  ซึ่งจริง ๆ  แล้วเป็นคนสัญชาติออสเตรียมาก่อนก็ส่งทหารบุกยึดประเทศออสเตรียและประกาศรวมออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน  โดยที่คนออสเตรียเองนั้น  เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดและส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายเยอรมันและพูดภาษาเยอรมันก็ยินดี  และนั่นนำมาสู่การเข้ายึดครอง “Sudetenland” ซึ่งเป็นพื้นที่ตอนเหนือของประเทศเช็คโกสโลวาเกียในขณะนั้นที่อยู่ติดกับชายแดนเยอรมัน

เช็กโกสโลวาเกียเป็นประเทศที่เกิดขึ้นในปี 1918 จากการล่มสลายของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งก็มีคนเยอรมันจำนวนมากถึงประมาณ 23% และโดยเฉพาะในเขตซูเดเตนนั้น  คนส่วนใหญ่ก็เป็นเยอรมันซึ่งนั่นทำให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งในเขตนี้มีความโน้มเอียงที่จะเข้ากับฮิตเลอร์  มีการเรียกร้องที่จะเป็นอิสระในการปกครองตนเองซึ่งรัฐบาลของเช็กโกเองก็พยายามจะเจรจากับเยอรมันเพื่อแก้ปัญหาแต่ก็ไม่สำเร็จ  ในอีกด้านหนึ่ง อังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้ามาเจรจากับเยอรมันที่เมืองมิวนิคเมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ  และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดสงคราม  อังกฤษและฝรั่งเศสต้อง  “เอาใจ” เยอรมัน  โดยนายกรัฐมนตรีแชมเบอร์เลนของอังกฤษให้ความเห็นว่าคนเยอรมันในซูเดเตนนั้น “น่าเห็นใจและยากลำบากจริง”   และแนะนำให้เช็กโกยอมตามความต้องการของเยอรมัน  แชมเบอร์เลนเองเชื่อว่าฮิตเลอร์คงต้องการแค่นั้น แต่จริง ๆ  ฮิตเลอร์ต้องการมากกว่า

ถึงต้นปี 1939 เยอรมันก็บุกเข้ายึดเช็กโกทั้งประเทศ  หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและรัสเซีย  ถึงตอนนี้ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสก็เริ่มรู้แล้วว่าที่คิดไว้ว่าเยอรมันจะไม่บุกต่อนั้นผิดหมด  จึงเซ็นสัญญากับโปแลนด์ค้ำประกันความเป็นอิสระและจะช่วยเหลือหากถูกรุกรานจากประเทศอื่น  และก็เริ่มเตรียมตัวรับสงครามที่ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้  วันที่ 1 กันยายน 1939 เยอรมันก็บุกโปแลนด์  อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมัน  นับเป็นวันที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ

สหภาพโซเวียตรัสเซียเกิดขึ้นหลังจากพรรคบอลเชอวิคหรือพรรคคอมมิวนิสต์โค่นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และขึ้นสู่อำนาจในปี 1922 โดยมียูเครนเป็นหนึ่งในรัฐผู้ก่อตั้ง  หลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 สหภาพโซเวียตเป็นฝ่ายชนะสงครามและก็เริ่มสร้าง “ความยิ่งใหญ่” และกลายเป็น  ซุปเปอร์เพาเวอร์ควบคู่กับสหรัฐอเมริกา  และกลายเป็นคู่แข่งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองคือเป็นสังคมนิยมและเผด็จการที่เผยแพร่ไปทั่วโลกมากพอ ๆ  กับอุดมการณ์ทุนนิยมและประชาธิปไตยที่นำโดยอเมริกา  การแข่งขันในช่วงหนึ่งโดยเฉพาะในปี 1961 ที่ยูริ กาการิน บินขึ้นสู่อวกาศเป็นคนแรกของโลกนั้น  ความรู้สึกก็คือ  โซเวียตรัสเซียกำลังจะกลายเป็น “สุดยอดของโลก” อย่างไรก็ตาม  หลังจากนั้นสหภาพโซเวียตรัสเซียก็เริ่มสะดุด  ระบอบสังคมนิยมเริ่มจะเสื่อมถอย  อาจจะเพราะคนขาดแรงจูงใจในการทำงานรวมถึงไม่กล้าที่จะคิดสร้างสรรค์ที่อาจจะขัดกับ  “รัฐ” ที่ควบคุมความคิดของคนในประเทศ

ถึงปี 1991 สหภาพโซเวียตก็  “ล่มสลาย” รัฐอิสระใหม่ ๆ  กว่า 10 ประเทศเกิดขึ้นรวมถึงรัฐใหญ่เช่นยูเครน  สหภาพโซเวียตที่มีประชากรเกือบ 300 ล้านคนซึ่งมากกว่าสหรัฐที่มี 250 ล้านคน  ลดเหลือเพียงครึ่งเดียวคือประมาณ 150 ล้านคนที่เป็นคนของประเทศรัสเซีย  และก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยหลังจากนั้นจนถึงวันนี้  ขณะที่ยูเครนก็มีประชากรประมาณ 50 ล้านคนและก็อยู่ในระดับใกล้เคียงจนถึงปัจจุบัน  ส่วนอเมริกากลับมีคนเพิ่มขึ้นเป็น 330 ล้านคนในปัจจุบัน  ความยิ่งใหญ่ของรัสเซียนั้น  ถ้าว่ากันทางเศรษฐกิจแล้วก็ต้องพูดว่าหมดไปแล้วเพราะอยู่ในอันดับ 12 ของโลกรองจากเกาหลีใต้และมีขนาดเพียง 7.5% ของ GDP ของสหรัฐ  และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์จำนวนมหาศาลในคลัง  ความเป็น  “มหาอำนาจ” ก็น่าจะหมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียวันนี้อายุ 70 ปีแล้ว  วันที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเขามีอายุ 39 ปี  ในวันนั้นเขาเป็น KGB หรือเป็น “สายลับ” ในต่างประเทศ  ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าคนที่ทำงานแบบนี้ในประเทศสังคมนิยมที่เป็นอภิมหาอำนาจในยุค  “สงครามเย็น”  นั้น  ย่อม “ไม่ธรรมดา”  ต่อมาเขาก็เข้าเล่นการเมืองและได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2000 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 22 ปีแล้วที่เขาอยู่ในอำนาจ  ถ้าพูดถึงความนิยมในหมู่คนรัสเซียนั้น  ก็ต้องถือว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เป็นส่วนใหญ่  แต่วิธีที่ใช้ในการปกครองของเขานั้น  วัดโดย “มาตรฐานสากล” ก็ต้องถือว่าเป็นแบบ  “เผด็จการ” เพราะมีการปิดกั้นเสรีภาพในด้านข่าวสาร การจับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การเลือกตั้งไม่โปร่งใส เป็นต้น

ปูตินน่าจะมีความรู้สึกเคียดแค้นต่อคนอย่างอดีตประธานาธิบดีกอร์บาช็อบที่ทำการปฎิรูประบบการปกครองต่าง ๆ และเน้นในเรื่องการเปิดกว้างของสังคม  ความโปร่งใสและสิทธิเสรีภาพรวมถึงความเป็นประชาธิปไตยที่เรียกว่า “Glasnost” ในช่วงปี 1986-1991  ซึ่งนำไปสู่ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่มีรัสเซียเป็นแกนนำ  เขาคงต้องการที่จะนำรัสเซียซึ่งเคยยิ่งใหญ่ระดับโลกมาตั้งแต่อดีตและเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสหภาพโซเวียตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ  กับความคิดของฮิตเลอร์

เขตดอนบาสทางด้านตะวันออกของยูเครนที่เป็นจุดที่รัสเซียจะเข้ายึดครองนั้นคล้ายกับซูเดเตนที่ว่ามันมีคนเชื้อสายของรัสเซียอยู่มากและเป็นเขตที่ถูก “กดขี่” แต่ถ้าต่อไปรัสเซียจะเข้ายึดยูเครนทั้งหมด  มันก็จะคล้ายกับเช็กโกสโลวาเกีย  หรืออาจจะคล้ายออสเตรียในแง่ที่ว่า  ยูเครนนั้นแท้ที่จริงเป็นของรัสเซียมาตั้งแต่ต้น  ความคล้ายยังอยู่ที่ว่า  ก่อนการบุกยึดนั้น  ปูตินได้ไปพบสีจิ้นผิงเพื่อที่จะหามิตรที่จะช่วยสนับสนุน “ความชอบธรรม” ซึ่งในอนาคตจีนเองก็อาจจะต้องการยึดไต้หวันกลับเป็นของจีนก็ได้

ผมไม่รู้ว่าพัฒนาการเรื่องนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร  ดูเหมือนว่านาทีนี้  “โลกเสรี” กำลังพยายามต่อต้านรัสเซียแต่ก็กลัวว่าจะเกิดสงครามที่ไม่พร้อมจะรับ  ในขณะเดียวกันก็กลัวว่าถ้าปล่อยไปก็อาจจะคล้าย ๆ  กับเหตุการณ์ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้แต่ใช้การแซงชั่นทางเศรษฐกิจซึ่งยากที่จะสำเร็จเมื่อพิจารณาจากการแซงชั่นที่ผ่านมา  เราคงต้องดูกันต่อไปว่า  โลกในยุคศตวรรษที่ 21 สงครามจะเป็นแบบไหน  ผมเองก็ได้แต่หวังว่าปัจจัยชี้ขาดจะเป็นการต่อสู้ทางการค้าและข้อมูลข่าวสารที่ไม่เสียเลือดเนื้อเป็นหลัก  ซึ่งถ้าวัดจากดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมาก็พบว่าดัชนีตลาดหุ้นรัสเซียตกลงไปถึง 27% ซึ่งในความคิดของผมก็คือมันเป็นสัญญาณว่า  การก่อสงครามครั้งนี้รัสเซียจะเสียหายอย่างหนักและไม่คุ้มเลยที่ทำ  พูดอีกอย่างก็คือ  ผมเชื่อว่ารัสเซียจะไม่กลับมายิ่งใหญ่และจะยิ่งเลือนหายไปในประวัติศาสตร์


🇻🇳 เรียนออนไลน์-สัมมนาสามารถดูรายละเอียดและสมัครได้ที่: https://www.vietnamvi.com/onlinecourse/

ติดตามข่าวสารจาก Vietnam VI

Website: https://www.vietnamvi.com

Facebook: vvinvestor

Line: @vietnamvi

YouTube: https://youtube.com/c/Vietnamvi

ห้องคุยหุ้นเวียดนาม:https://www.facebook.com/groups/473890360486727