โลกในมุมมองของ Value Investor 24 พฤษภาคม 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและดัชนีตลาดหุ้น “ตกทุกวัน” อย่างต่อเนื่อง และแม้แต่หุ้นที่ดีและประกาศผลการดำเนินงานที่ “น่าประทับใจ” และราคาก็ไม่แพง บางตัวถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ของตัวหุ้น แต่หุ้นกลับตกลงมาแรงอย่างผิดคาด และนั่นคงทำให้นักลงทุนซึ่งรวมถึง “VI” ทั้งที่เป็นพันธุ์แท้และพันทาง ต่างก็ “หมดหวัง” กับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนจำนวนมากทยอยขายหุ้น หลายคนเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้สามารถทำได้ง่ายพอ ๆ กับการลงทุนในหุ้นไทยและไม่เสียภาษีกำไรจากหุ้นเช่นกัน โดยทำผ่านการซื้อ “DR” และกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับผมและนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ลงทุนระยะยาว ที่เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” และชีวิตตอนนี้อยู่ได้อย่างสบายก็อาศัยเงินจากการลงทุนนั้น ผมจำเป็นต้องมีหุ้นไทย และจะต้องมีหุ้นไทยจำนวนพอเพียงที่จะใช้ชีวิตในระดับปัจจุบันและอนาคตโดยไม่ต้องวิตกกังวล คำถามก็คือ เราจะต้องมีหุ้นไทยแบบไหนที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีพอและปลอดภัยมากในระยะยาวไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
“สูตร” การลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ได้ในสถานการณ์แบบนี้ของตลาดหุ้นไทยของผมก็คือ “สูตรหุ้นรอด 5-5-5-5” ซึ่งผมคาดว่าน่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้อย่างน้อยปีละ 5% แบบทบต้นในระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้าโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ และแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ดีในอีกหลายปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นนี้ก็จะสามารถทนทานกับภาวะเลวร้ายได้ เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือกมานั้น ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี มาดูกันว่ากลยุทธ์ของสูตรนี้คืออะไร
หมายเลข 5 ตัวแรกคือการเลือกหุ้นที่ปัจจุบันจ่ายปันผลตอบแทนอย่างน้อย 5% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งเวลานี้ก็มีหุ้นแบบนี้อยู่จำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ควรจะดูว่าเป็นการจ่ายปันผล “ปกติ” คือเป็นการจ่ายจาก “กำไรปกติ” จากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา จะจ่ายปันผล 100% ของกำไรก็ได้ เพราะในกลยุทธ์การเลือกหุ้นของเรานั้น จะเน้นหุ้นที่มั่นคงแข็งแกร่ง มีเงินสดเหลือเฟือที่จะรับกับสถานการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจได้
เลข 5 ตัวที่สองก็คือ หุ้นที่เราจะเลือกนั้น เราต้องคาดการณ์และมั่นใจว่า อีก 5 ปีข้างหน้า ปันผลที่เราจะได้รับนั้น ก็ยังไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นที่เราซื้อได้ในวันนี้ ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า
1) ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลตอบแทนให้เรา 5% ต่อปีในวันนี้ ปันผลในอีก 5 ปีข้างหน้า เราเชื่อมั่นว่าจะไม่ลดลง ยังคงจ่ายได้อย่างน้อยเท่าเดิมในวันนี้ อาจจะเพราะว่าหุ้นอยู่ในธุรกิจที่ยังไปได้เรื่อย ๆ และแม้ว่าอาจจะไม่โตแต่ก็ไม่ลดลง และบริษัทก็ยังน่าจะรักษาสถานะในการแข่งขันและทำผลกำไรได้เหมือนเดิม ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นในธุรกิจธนาคารที่อาจจะอิ่มตัวและการแข่งขันก็ไม่รุนแรง และธนาคารส่วนใหญ่ก็มีการบริหารงานที่ดีในการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เป็นต้น
2) ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลมากกว่า 5% ในวันนี้ เช่น จ่าย 6-8% และเราเชื่อมั่นว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้า แม้ว่าธุรกิจจะตกลงมาบ้าง กำไรก็อาจจะถดถอยลงบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังรักษาระดับการจ่ายปันผลที่ทำให้เราได้รับปันผลตอบแทนจากราคาหุ้นในวันนี้ไม่น้อยกว่า 5% ต่อปี หุ้นตัวนี้ก็ยังเข้าข่ายที่เราจะเลือกซื้อหรือเก็บไว้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังก็คือ แทนที่ปันผลจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 5 ปี มันอาจจะลดลงมากจนทำให้หุ้นหมดสภาพที่จะจ่ายปันผลได้ดีแล้ว หายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ในกรณีแบบนี้ การดูสถิติการจ่ายปันผลย้อนหลังไปหลายปีจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ดีขึ้น
3) อาจจะถือว่าเป็นข้อยกเว้น ก็คือ ในกรณีที่ปัจจุบันหุ้นจ่ายปันผลน้อยกว่า 5% ต่อปี เช่น อาจจะ 2-3% ต่อปี แต่เป็นการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และเรามั่นใจว่าภายใน 5 ปี ปันผลที่จ่ายจะคิดเป็นไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นในวันนี้ อาจจะเพราะธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งและมั่นคงมาก ผลประกอบการของบริษัทยังเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรมาขวาง แบบนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่เข้าข่ายจะเป็น “หุ้นรอด” ได้แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่ “หุ้นปันผล”
เลข 5 ตัวที่สามคือจำนวนของหุ้นใน “พอร์ตหุ้นรอด” ซึ่งจะเป็นหุ้นปันผลอย่างน้อย 5 ตัวที่เราเลือก จะต้องเป็นหุ้นที่มาจากอุตสาหกรรมหลากหลายอย่างน้อย 5 อุตสาหกรรมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในกรณีที่บางอุตสาหกรรมอาจจะประสบกับปัญหารุนแรงในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตัวอย่างเช่น เราอาจจะมีหุ้นปันผลในอุตสาหกรรมการเงิน 1 ตัวหรืออย่างมากอาจจะ 2 ตัว หุ้นในธุรกิจสื่อสาร 1 ตัว หุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว หุ้นค้าปลีก 1 ตัว หุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อ 1 ตัว รวมแล้วมีหุ้น 6 ตัวใน 5 อุตสาหกรรม เป็นต้น
เลข 5 ตัวสุดท้ายก็คือ เราจะต้องตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตนี้จะต้องถือต่อไปซัก 5 ปี ถึงจะเห็นผลชัดเจน ในระหว่างนั้น เราก็คงจะพบว่าหุ้นบางตัวอาจจะดีเกินคาด บางตัวก็ตามคาด และบางตัวก็จะต่ำกว่าคาด แต่ถ้าโดยรวมแล้วผลตอบแทนซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมปันผลที่ได้รับ ได้ถึง “เป้า” คืออย่างน้อย 5% ต่อปี ก็แสดงว่ากลยุทธ์นั้น ใช้ได้ อาจจะไม่ต้องปรับอะไร แต่ถ้าผลตอบแทนบางปีต่ำกว่าที่คาด ก็ต้องประเมินว่าเกิดจากอะไร บางทีอาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออาจจะเป็นเรื่องที่เราเลือกหุ้นผิด คือปันผลของหุ้นบางตัวลดลงมากและถาวร ก็ต้องปรับพอร์ตตามสถานการณ์
นักลงทุนหลายคน โดยเฉพาะที่เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูง ๆ มาแล้ว อาจจะรู้สึกว่าผลตอบแทน 5% ต่อปีนั้น ต่ำเกินไป อาจจะไม่คุ้มค่าที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่ “เสี่ยงมาก” เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ของการลงทุนใน “หุ้นปันผล” ก็อาจจะเลวร้าย ได้ปันผลมากถึง 10% แค่ปีเดียวแต่ราคาตกลงไป 20-30% และหลังจากนั้นปันผลก็หายไป จึงไม่อยากและไม่สนใจที่จะเล่นหุ้นปันผล
แต่นั่นอาจจะเป็นการผิดพลาดจากการกำหนดตัว “หุ้นปันผล” ที่มักจะมองแค่ “ปันผลปีล่าสุด” แต่ไม่ได้ดูอดีตย้อนหลังไป 4-5 ปี ว่าปันผลที่จ่ายนั้นมั่นคงแน่นอนแค่ไหน คิดเป็นปันผลต่อหุ้น เช่น 1 บาท 1.2 บาท 1.3 บาท 1.4 บาท ย้อนหลังไป 4 ปี ส่วนข้อมูลผลตอบแทนเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ในแต่ละปีนั้น ก็เป็นข้อมูลประกอบที่ทำให้ดูง่ายว่าจ่ายกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปีนั้น ๆ แต่อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะราคาหุ้นอาจจะตกลงมาเรื่อย ๆ ทำให้ผลตอบแทนเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่จ่ายปันผลลดลงเรื่อย ๆ
ว่าที่จริง แทบทุกครั้งที่มีบทวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวไหนเป็น “หุ้นปันผลสูง” ที่น่าซื้อ ผมแทบจะไม่สนใจเลย เพราะหุ้นเหล่านั้นมักจะปันผลสูงผิดปกติแค่ปีนั้นและอาจจะบางปี ปีอื่น ๆ ปันผลมักจะน้อยและไม่แน่นอน บางทีก็อาจจะไม่จ่ายปันผลด้วยซ้ำ เพราะบริษัทมักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงหรือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ควบคุมผลประกอบการยาก ดังนั้น ถ้าคิดจะเล่นหุ้นปันผล จะต้องวิเคราะห์เอง หรือต้องถามนักวิเคราะห์ที่มีความสามารถจริง อย่าดูแค่ตัวเลขที่มีคนนำเสนอว่าเป็นหุ้นปันผล
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทที่จะเป็นหุ้นปันผลได้นั้น มักจะต้องเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง มั่นคง อยู่มานาน มีขนาดใหญ่พอสมควร มีผู้บริหารที่ดีและดูแลผู้ถือหุ้น อย่างน้อยโดยการจ่ายปันผลที่เหมาะสม หุ้นเหล่านี้บางทีราคาหุ้นก็ไม่ค่อยไปไหน เพราะธุรกิจอาจจะไม่ค่อยโต และนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ไม่สนใจ เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศ ที่มองแต่หุ้นเติบโตและก็เห็นว่ามีตลาดหุ้นอื่นที่สามารถค้นหาและลงทุนได้ แต่สำหรับนักลงทุนไทยแล้ว นาทีนี้เราจะหาหุ้นเติบโตในตลาดหุ้นไทยที่ไหนหรือในอุตสาหกรรมไหน?
สำหรับ VI พันธุ์แท้แล้ว ในช่วงเวลาที่มืดมนนี้ ไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่จะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดีเท่ากับหุ้นที่ยังสามารถจ่ายปันผลอย่างน้อยเท่าเดิมได้ในระยะยาวอย่างน้อยอีก 5 ปี ข้างหน้า