“โปรไฟไหม้” หุ้นไทย

0
282

โลกในมุมมองของ Value Investor 21 มิ.ย. 68

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตลาดหลักทรัพย์มีโครงการ   ”Jump+” ที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนสร้างการเติบโตและสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนแบบ “ก้าวกระโดด” โดยที่โครงการนี้จะให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและการให้คำแนะนำแก่บริษัทจดทะเบียนในหลาย ๆ  เรื่องที่จะทำให้กิจการเติบโต  มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น  ทั้งจากการเติบโตจากภายในและการควบรวมกิจการที่เป็นประโยชน์กับบริษัท  นอกจากนั้นก็ยังช่วยให้กิจการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก  ผลที่คาดหวังก็คือ  มูลค่าของกิจการของบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมในโครงการ  ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด  ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างถาวรในช่วงเวลา 2-3 ปีของโครงการ  พูดง่าย ๆ  ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็น “หุ้นขึ้น” แบบ “ก้าวกระโดด”

ผมเองเห็นด้วยทุกประการ  โดยเฉพาะในยามที่หุ้นโดยรวมมีราคาตกลงอย่างต่อเนื่องทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร  หุ้นจำนวนมากมีผลประกอบการที่ดีใช้ได้  มีความแข็งแกร่ง  มีธุรกิจที่มั่นคงมาก  และที่สำคัญ  จ่ายปันผลได้งดงามสูงที่สุดเป็น “ประวัติการณ์”  เมื่อเทียบกับราคาหุ้น  และแทบจะสูงที่สุดในโลกที่ประมาณเกือบ 5% ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด

ผมคิดว่าสถานการณ์ในยามนี้ของประเทศไทยนั้น   มีแต่เรื่องเลวร้ายที่ประดังเข้ามาซึ่งทำให้คนขาดความมั่นใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นทั้ง ๆ  ที่หุ้นจำนวนมากมีราคาต่ำกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด  ดังนั้น  มีความจำเป็นที่เราจะต้องมีมาตรการกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แบบ “เห็นผลทันที”  โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวไทยที่รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นว่ายังไงเสียบริษัทก็ยังอยู่กับเราไปเรื่อย ๆ  เรายังต้องใช้สินค้าหรือบริการทุกวัน  เราเชื่อมั่นว่าเป็นบริษัทที่ดีและมีบรรษัทภิบาลที่น่าเชื่อถือ  และที่สำคัญ  บริษัททำกำไรได้ดีต่อเนื่องไปอีกยาวนานและสามารถที่จะจ่ายปันผลงดงามให้ผู้ถือหุ้นแทบจะตลอดไป

วิธีที่บริษัทจะทำนั้น  เพื่อที่จะมีประสิทธิผล  จะต้องทำแบบเดียวกับแคมเปญขายสินค้าที่มักจะออกแนว  “ลด  แลก  แจกแถม”  แต่ในกรณีนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ  “ขายหุ้น”  ของบริษัท ถ้าจะเปรียบเทียบในช่วงนี้ก็จะเป็นคล้าย ๆ  “โปรโมชั่นไฟไหม้” ของร้านสุกี้ที่มีการลดราคาอาหารลงหนักมากระดับที่นักกิน  “พลาดไม่ได้”  ซึ่งน่าจะส่งผลให้ยอดขายสุกี้โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับอาหารแบบอื่น  ร้านสุกี้ที่เคยดูเหงา ๆ  อาจจะเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีหรือคนกินสุกี้น้อยลงก็กลับคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แคมเปญ  “ขายหุ้น” ในความหมายของผมก็คือ  แนะนำให้บริษัทจดทะเบียนคิดว่าอะไรจะทำให้คนอยากเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของตนเองในตลาด  และเก็บไว้ยาวนาน  ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละบริษัทก็อาจจะมีประเด็นที่แตกต่างออกไป  แน่นอนว่าการเข้าร่วมโครงการ  Jump+ ก็เป็นทางหนึ่งที่จะดึงดูดคนที่ชอบหุ้นเติบโตเร็วเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน  ทำให้หุ้นขึ้นได้ในระยะยาว  หรือขึ้นได้ทันทีถ้าเริ่มเห็นว่าบริษัทสามารถขับเคลื่อนโครงการได้แน่นอน

ส่วนตัวผมเองนั้น  คิดว่าในยามนี้  สิ่งที่นักลงทุนสนใจเพิ่มขึ้นมากก็คือ “เงินปันผล” แต่นี่ก็มีประเด็นว่าเงินปันผลนั้น  บ่อยครั้งจ่ายแค่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี  วิธีที่อาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการอยากซื้อหุ้นก็คือ  แคมเปญจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง  หรือถ้าจะให้ “เปรี้ยง” ก็คือ  จ่ายทุก 3 เดือน  ครั้งละ 2% ของราคาหุ้นที่ลงทุน  และคนที่จ่ายในอัตรานี้ได้ก็คือหุ้นธนาคารพานิชย์หลายแห่งที่ล่าสุดนั้นจ่ายปันผลได้ปีละ 8% จากราคาหุ้นแล้ว

แน่นอนว่านี่คือ  “แคมเปญ” หรือ  “โปรโมชั่น” ที่มีอายุหรือมีเวลา  อาจจะแค่ปีหรือสองปีเพื่อที่จะทำให้คนซื้อหุ้น “ตัดสินใจทันที” ซึ่งถ้าคนจำนวนมากเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน  ราคาหุ้นก็ควรจะวิ่งขึ้นไปได้

ถ้าบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากต่างก็ออก “โปรโมชั่น” ของตนเอง  ซึ่งก็ทำได้หลากหลาย  แต่ที่สำคัญก็คือ  ต้องตรงกับความต้องการของผู้ถือหุ้นหรือคนที่จะซื้อหุ้นลงทุนที่เป็น  “ลูกค้า”  ตัวอย่างเช่น  บริษัทออกมารับรองว่างวดหน้าและงวดต่อไปอีก 2-3 งวด  จะเพิ่มอัตราส่วนปันผลที่เคยจ่ายในระดับ 50% ของกำไร  เป็น 60%  และ 70% ตามลำดับ  หรือถ้าจะให้  “เปรี้ยง”  ก็อาจจะบอกว่าจะจ่าย 100% เลย  นักลงทุนก็อาจจะสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นและทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้

ผมเองเคยสนใจ  และ/หรือ ลงทุนกับบริษัทที่ดีจำนวนไม่น้อย  แต่บางครั้งก็ต้องถอยหรือลงทุนน้อยกว่าที่ควรเพราะเหตุที่ว่าบริษัททำอะไรบางอย่างไม่ถูกใจเช่นบริษัทชอบไปลงทุนในบริษัทหรือธุรกิจอื่นที่ผมคิดว่าไม่เป็นประโยชน์  แต่ถ้าบริษัทนั้นเสนอแคมเปญว่า  บริษัทจะเลิกทำเรื่องแบบนี้ภายในช่วงเช่น 3 ปีข้างหน้า  และบอกว่าจะนำเงินจำนวนนั้นมาซื้อหุ้นคืนคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของบริษัท  ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและสามารถจ่ายปันผลมากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์  นี่ก็จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนที่คิดแบบเดียวกับผมเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม  หุ้นก็จะมีราคาหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที

เรื่องที่จะทำอะไรหรือสัญญาอะไรที่จะทำให้นักลงทุนตื่นเต้นและสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น  สิ่งที่ทำหรือคำมั่นสัญญานั้นจะต้องมี “คุณค่า” ในสายตาของนักลงทุน  การเปิดรับฟังความคิดเห็นหรือการติดตามคอมเม้นท์ในสื่อสังคมต่าง ๆ  จะทำให้บริษัทรู้ว่าบริษัทควรจะทำอะไรหรือควรจะมีแคมเปญอะไรที่จะทำให้นักลงทุนสนใจมาซื้อหุ้นลงทุน  ซึ่งจะทำให้หุ้นมีมูลค่ามากขึ้น  นอกจากนั้น  บริษัทก็จะใกล้ชิดกับนักลงทุนมากขึ้นและความไว้วางใจในตัวบริษัทก็จะมีมากขึ้น  นี่จะเป็น “คุณค่า” ให้กับตัวหุ้นและบริษัทในทุกด้านซึ่งรวมถึงการที่นักลงทุนจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทมากขึ้นด้วยหากว่ากิจการของบริษัทนั้นขายสินค้าผู้บริโภค

พูดถึงเรื่องนี้  ผมเองชอบใจบริษัทจดทะเบียนของเวียตนามที่เขาประกาศผลประกอบการ “ทุกเดือน”  ผมไม่แน่ใจว่าจะมีงบบัญชีละเอียดหรือมาตรฐานมากน้อยแค่ไหน  แต่ที่เห็นคือมีตัวเลขยอดขายและกำไรทุกเดือนซึ่งทำให้ผมสามารถติดตามได้และรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทอย่างรวดเร็วแทนที่จะต้องลุ้นถึง 3 เดือนแบบของเรา

การรู้ถึงความเป็นไปของบริษัทอย่างรวดเร็วนั้น  ช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนได้  เพราะถ้าประกาศงบออกมาไม่ดี  เขาก็จะได้ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะทำอะไรกับหุ้น  แทนที่จะต้องรอ 3 เดือนในสถานการณ์ที่หุ้นทยอยตกลงมาโดยที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งนี่ก็จะช่วยเพิ่ม “คุณค่า” ให้กับหุ้นได้

นี่ก็เช่นเดียวกับ “โปร” อื่น  ไม่ใช่เรื่องของข้อบังคับของตลาด  แต่เป็นเรื่องที่บริษัททำด้วยความสมัครใจและดูแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน  นักลงทุนชอบซื้อ-ขายหุ้นที่ทำ “โปร”แบบนี้และเขาก็เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นมากขึ้น  สิ่งที่ต้องระวังก็คือ  ข้อมูลรายเดือนที่เป็นเรื่องรายได้และกำไรของบริษัทจะต้องเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ก่อนสื่ออื่นเช่นเดียวกับรายงานงบรายไตรมาศตามปกติ  และก็ต้องเป็นรายงานที่ถูกต้องแต่ไม่ต้องสอบทานแบบสมบูรณ์เหมือนรายงานที่เป็นทางการอื่น

ทั้งหมดที่เสนอมานั้น  ผมเองก็ต้องออกตัวว่าคงมีคนเห็นด้วยไม่มากโดยเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงที่เรียกว่า  “Establishment”  หรือองค์กรที่เป็นสถาบันจัดตั้งที่เป็นทางการรวมถึงตลาดหลักทรัพย์  เพราะมันคงดู “แหวกแนว” เกินไป  อาจจะเพราะว่า  “หุ้นไม่ใช่สินค้า” ถ้าให้มีการทำ “โปรโมชั่น” จะกลายเป็นการ  “ปั่นหุ้น” แล้วคนที่เข้ามาซื้อจะเจ็บตัวหนักแล้วใครจะรับผิดชอบ

ข้อถกเถียงของผมก็ตอบว่า  เราก็ต้องดูว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นการ “ปั่นหุ้น” หรือไม่  เราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่บริษัทเสนอนั้น  อยู่ในกรอบของกฎข้อบังคับของการเป็น  “Good Governance” หรือเปล่า  ถ้าไม่ใช่ก็ต้องไม่อนุญาตให้ทำ

แต่ผมคิดว่าอย่างการจ่ายปันผลทุก 3 เดือนไม่น่าจะมีปัญหา  เช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการเร็วขึ้นอย่างสมัครใจก็ไม่น่าจะมีปัญหา  หรือแม้แต่การประกาศว่าจะมีนโยบายซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่องผมก็คิดว่าเป็นผลดีต่อหลาย ๆ  บริษัทที่ไม่สามารถเติบโตทางธุรกิจได้แล้วจึงตัดสินใจคืนเงินให้เจ้าของก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและแน่นอนว่าไม่ใช่การปั่นหุ้น  แม้ว่าหุ้นอาจจะขึ้นทันทีที่ประกาศ

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร  นี่คือสิ่งที่ผม  ในฐานะ  “ลูกค้า” ขาประจำที่ซื้อหุ้นในตลาดมานานอยากจะเห็น  อยากได้  “โปรโมชั่น” หุ้น  ที่จะให้ “คุณค่า” แบบชนิดที่ยอดเยี่ยมถูกใจใช่เลย  โดยเฉพาะกับลูกค้าหุ้นแนว  “VI” ที่ชอบถือหุ้นพื้นฐานดี ๆ และถือยาวนาน  ส่วนบริษัทที่ทำ “โปร” ที่ขายหุ้นแย่ ๆ  ซื้อแล้วมีแต่เสียหาย  หลอกนักลงทุนด้วย “โปร” ที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของหุ้นจริง ๆ  นั้น  เราก็ต้องจับตาและต่อต้าน  เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐและองค์กรของตลาดทุนที่จะต้องควบคุมและจัดการ   


VVI Membership 👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/