ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนทบต้นนั้น  ไอน์สไตน์(อีกแระ) บอกว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” เพราะเมื่อเงินทองหรือหุ้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้  ถ้าเราเอาผลตอบแทนที่ได้ไปทบกับเงินต้นในตอนต้นปี  ปีหน้าเงินต้นก็จะเพิ่มขึ้น  เช่น  ถ้าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี  เงินต้นของปีต่อไปก็กลายเป็น 110 บาทจากเดิม 100 บาท  และถ้าเราได้ผลตอบแทนปีที่สองอีก 10%  จากเงินต้น 110 บาท  ก็เท่ากับว่าเราได้ผลตอบแทน 11 บาท  เมื่อนำมันมาทบกับเงินต้น 110 บาทก็จะกลายเป็นเงินต้นใหม่ 121 บาทในปีที่ 3  และถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลายาวนาน  เงินต้นที่เริ่มจาก 100 บาทก็จะกลายเป็นเงินก้อนโตมหาศาล  

เช่น  ถ้าเราลงทุน 100 บาทและได้ “ผลตอบแทนแบบทบต้น”  คือเอาเงินกำไรกลับไปลงทุน  ไม่มีการถอนเงินออกเลย เฉลี่ยปีละ 10%  ภายใน 7.2 ปี เงินของเราก็โตขึ้นเท่าตัวเป็น 200 บาท ถ้าลงทุน 14.4 ปี  เงินก็จะเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 400 บาท  ลงทุนต่ออีก 7.2 ปีเป็น 21.6 ปีเงินก็จะกลายเป็น 800 บาท  และถ้าเราลงต่อไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลาประมาณ 50 ปี  เงิน 100 บาทก็จะกลายเป็นประมาณ 12,000 บาท หรือเงินเพิ่มขึ้นเป็น 120 เท่า หรือ 12,000% ใน 50 ปี คิดคร่าว ๆ  แบบผลตอบแทน “ไม่ทบต้น” ก็อาจจะบอกว่าเฉลี่ยปีละ 240%  แต่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร  เพราะการลงทุนระยะยาวนั้น  เราจะไม่พูดถึงการไม่ทบต้นเลย

บางคนอาจจะนึกว่านี่เป็นเรื่องที่ฝัน  ไป  “มีเงิน 1 ล้านบาท ลงทุนไป 50 ปี ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% จะกลายเป็น 120 ล้านบาท เกษียณอายุก็กลายเป็นเศรษฐี”  ในชีวิตจริงมันคงไม่เกิดขึ้น  ข้อแรกก็คือ  คงไม่มีใครลงทุนติดต่อกัน 50 ปี โดยไม่ถอนเงินออกมาใช้เลย  ได้ดอกเบี้ยหรือปันผลก็นำกลับไปลงทุนต่อ  ข้อสองก็คือ  แล้วจะมีการลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นถึงปีละ 10% เป็นเวลายาวนานถึง 50 ปี   คำตอบของผมก็คือ  ในอดีตเราอาจจะไม่มีคนแบบนั้นหรือหายากมาก  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะ 50 ปีที่แล้วคนไทยอายุสั้น  ถึง 60 ปีก็อาจจะตายหรือใกล้ตายแล้ว  ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  คนยังจนอยู่  น้อยคนที่จะมีเงินเก็บมากพอที่จะนำไปลงทุนและไม่ถอนมาใช้เลยเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี  แต่ในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตนั้น  การลงทุนต่อเนื่อง 50 ปีสำหรับคนที่เริ่มทำงานมีเงินเก็บแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปได้  ว่าที่จริงคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนชั้นกลางระดับสูงที่ไม่ได้หวังพึ่งลูกในยามแก่เฒ่านั้น  จำเป็นที่จะต้องลงทุนต่อเนื่องและเพิ่มไปเรื่อยเป็นเวลา 40-50 ปีถ้าหากอยากมีชีวิตที่มีความสุขในบั้นปลาย

ข้อสอง  ในเรื่องของการลงทุนเองนั้น  เครื่องมือหรือตราสารที่จะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นมากและยาวขนาดนั้นในอดีตก็ไม่มี  แต่หลังจากการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2518 แล้ว  การลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นและตราสารอย่างอื่นเช่นกองทุนรวมหุ้น  กองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ก็ทำให้เราสามารถได้ผลตอบแทนแบบทบต้นในอัตราที่สูงในระยะยาวได้  ว่าที่จริง  ถ้าใครเลือกหุ้นเป็นและเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดและอยู่มาถึงวันนี้ก็สามารถลงทุนเป็นระยะเวลาถึงกว่า 44 ปีเข้าไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่ามีน้อยคนที่ทำแบบนั้น  เหตุผลคงเป็นเพราะความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดหุ้นและการลงทุนยังไม่พอ  เรายังไม่รู้หรือไม่มีประสบการณ์ว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนอย่างไรไม่ต้องพูดถึงว่าจะเลือกหุ้นตัวไหน  แต่ตอนนี้หลังจากตลาดหุ้นอยู่มาถึง 44 ปีแล้ว  เราได้เห็นผลตอบแทนของหุ้นในระยะยาวแล้ว  เรามีเครื่องมือหรือตราสารการเงินการเงินอย่างอื่น เช่น กองทุนรวมหุ้นที่จะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนที่สูงพอแล้ว  ดังนั้น  “ความฝันจึงสามารถเป็นความจริงได้

ลองมาดูตัวหุ้นว่า 44 ปีที่ผ่านมานั้น  เรามีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนแบบที่กล่าวหรือไม่  ต่อไปนี้คือหุ้น 5 ตัวที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันแรกจากหุ้นประมาณ 10 ตัว ที่ยังคงอยู่รอดและยังซื้อขายอยู่ในตลาด  โดยหุ้นตัวแรกก็คือหุ้น SCC หรือหุ้นปูนซิเมนต์ไทยที่เดี๋ยวนี้ทำกิจการมากมายรวมถึงปิโตรเคมีที่กลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท  ราคาของหุ้นวันเข้าตลาดหลักทรัพย์หลังจากการปรับค่าพาร์แล้วเท่ากับ 1.13 บาท  แต่ถ้าใครซื้อไว้แล้วถือมาจนถึงวันนี้คือวันที่ 21 มิถุนายน 2562 ที่ราคาหุ้นละ 472 บาทก็กำไรไปเท่ากับ 41,670% หรือกำไร 417 เท่าในเวลาประมาณ 44 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเท่ากับ 14.6% ต่อปีไม่รวมปันผล  แต่ถ้ารวมปันผลก็น่าจะประมาณ 17% ต่อปี กลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อกที่หาได้ยากมาก  และถ้าเราลงทุนถือหุ้น SCC 1 ล้านบาทตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาด ถือหุ้นไว้ตลอดเวลา 44 ปี เมื่อได้เงินปันผลก็เอาไปซื้อหุ้น SCC เพิ่ม  จนถึงวันนี้  เราก็จะมีเงินประมาณ 1,000 ล้านบาทโดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย

ตัวที่สองก็คือหุ้นเบอร์ลี่ยุคเกอร์บริษัทเก่าแก่ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้จากการเข้าซื้อกิจการห้างบิ้กซี  หุ้นBJC ในช่วงเข้าตลาดหลังจากปรับราคาพาร์และอื่น  เท่ากับ 0.17 บาท ในขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 50.5 บาท หรือปรับขึ้น 29,605% หรือ 296 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 13.8% ถ้ารวมปันผลก็เท่ากับผลตอบแทนประมาณ 16% นี่ก็น่าจะถือว่าเป็น  ซุปเปอร์สต็อกอีกตัวหนึ่งหากไม่ได้มีการเพิ่มทุนหรือกิจกรรมทางการเงินอื่น ที่อาจจะทำให้ผู้ถือหุ้นดั้งเดิมจริง ต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้น  

หุ้นตัวที่สามที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นและผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานรวมถึงภาวะวิกฤตการเงินหลายครั้งก็คือหุ้นธนชาติหรือ TCAP ที่ชื่อเดิมตอนเข้าตลาดน่าจะชื่อลีกวงมิ้งทรัสต์   ราคาหุ้นในช่วงเข้าตลาดหลังปรับค่าพาร์อยู่ที่ 1.12 บาท  แต่ราคาล่าสุดคือ 55.5 บาทคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 4,855% หรือ 49 เท่าในเวลา 44 ปี หรือเท่ากับผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 9.2% เมื่อรวมปันผลก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 12% ต่อปี  ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมอีกตัวหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อคำนึ่งถึงระยะเวลาที่ยาวนานมาก

หุ้นตัวที่สี่คือแบงค์กรุงเทพหรือ BBL ซึ่งในอดีตเคยเป็นแบ้งค์ที่ใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุด  ราคาช่วงเข้าตลาดหลังการปรับพาร์คือ 15.75 บาท  แต่ราคาปิดล่าสุดเท่ากับ 200 บาทหรือเป็นการเพิ่มขึ้นเท่ากับ 1,170% หรือประมาณ 11.7 เท่าในเวลา 44 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 5.9% ต่อปี  แต่หากรวมปันผลที่ค่อนข้างดีก็น่าจะได้ประมาณ 8.5% เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ใช้ได้เมื่อคำนึงถึงว่านี่คือหุ้นที่เป็นบลูชิพมาเกือบตลอดเวลาที่ซื้อขายในตลาดหุ้น

หุ้นตัวสุดท้ายก็คือหุ้นดุสิตธานีหรือ DTC ซึ่งในวันที่ตลาดหุ้นเปิดนั้นเป็นโรงแรมที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งแทบจะกลายเป็นแลนด์มาร์กของกรุงเทพ  ราคาหุ้นในวันแรกเมื่อปรับพาร์แล้วเท่ากับ 0.94 บาท ในขณะที่ปัจจุบันเท่ากับ 9.9 บาทหรือโตขึ้น 953% หรือ 10 เท่าในเวลา 44 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 5.5% หากคิดรวมปันผลก็น่าจะประมาณ 7.5% ต่อปี

ในส่วนของราคาหรือผลตอบแทนของหุ้นโดยเฉลี่ยทั้งหมดหรือก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เองนั้น  ในเวลา 44 ปี  ราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาจาก 100 จุดเป็น  1,717 จุด หรือขึ้นมา 1,617 % หรือ 16.17 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ  6.6% ต่อปี  เมื่อรวมปันผลก็น่าจะประมาณ 9% ต่อปี  ดังนั้น  ถ้าใครลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยการกระจายการถือครองหุ้นทุกตัวตามน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวซึ่งในอดีตตอนเปิดตลาดทำไม่ได้ง่ายและต่อมาง่ายขึ้นเนื่องจากการเกิดขึ้นของกองทุนรวมอิงดัชนี  เขาก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมและในระยะยาวมากถึง 44 ปี  เงินลงทุน 1 ล้านบาทในวันเปิดตลาดหลักทรัพย์จนถึงวันนี้ก็จะกลายเป็นประมาณ 45 ล้านบาท โดยที่แทบจะไม่ต้องทำอะไร  เพียงแต่ปรับจำนวนการถือหุ้นในแต่ละปีให้สอดคล้องกับดัชนีตลาดหุ้นเท่านั้น    

ข้อมูลผลตอบแทนทั้งที่เป็นรายตัวและข้อมูลผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งหมดที่กล่าวถึงนั้นชี้ให้เห็นว่าการลงทุนระยะยาว  แทบจะตลอดชีวิตในระดับ 40-50 ปีขึ้นไปโดยที่ไม่ถอนเงินออกมาใช้เลยนั้น  จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากจนสามารถเปลี่ยนชีวิตทางการเงินของเราได้  มันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในเวลา 44 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าอาจจะมีน้อยคนมากที่ทำมันจริง ๆ   ในอนาคตต่อจากนี้  การลงมือปฏิบัติอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก  แต่ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอีก 50 ปีต่อไปนั้นก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะเกิดขึ้นอีก  เพราะในอนาคตนั้น  ตลาดหุ้นโดยเฉพาะของไทยนั้นอาจจะไม่เหมือนเดิม  บางที  การศึกษาว่าตลาดของประเทศไหนน่าจะมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนที่เกิดขึ้นในไทยเมื่อ 44 ปีที่แล้วอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ความฝันในการลงทุนของเรามีความเป็นจริงได้มากกว่า

แอดมินเองเลือกที่จะศึกษาตลาดของประเทศเวียดนาม ซึ่งก็หวังว่าจะมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนที่เกิดขึ้นในไทยค่ะ สำหรับใครที่ต้องการศึกษาตลาดหุ้นเวียดนามด้วยกัน
ทริปสัมมนา Tour-Learn-Earn more in Ho Chi Minh City ในวันที่ 28-30 กรกฏาคม 2562
สามารถอ่านรายละเอียดและกรอกใบสมัครได้ที่:
https://forms.gle/BV3Ww6vJh7Kh3bDc9