เหตุร้ายทำลายตลาดหุ้น

0
279

โลกในมุมมองของ Value Investor  13 ธันวาคม 68

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เหตุการณ์ร้ายแรงที่นักลงทุนกลัวมากว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้ตลาดหุ้น “พัง”  บางครั้งถึงขั้น “วิกฤติ” ร้ายแรง  มีหลาย ๆ  เรื่อง  ทั้งหมดนั้นเคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์  และก็จะเกิดขึ้นอีก  เพราะเราอาจจะแก้ไขหรือป้องกันอะไรไม่ได้  เพราะบางเรื่องอาจจะเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์

เรื่องแรกที่ผมจะพูดถึงก็คือ  “สงคราม”  ระหว่างชาติหรือแม้แต่สงครามกลางเมืองของคนชาติเดียวกัน  โดยเฉพาะถ้าเป็น “สงครามใหญ่” ที่ก่อให้เกิดความเสียหายสูง  เช่น  สงครามยูเครนกับรัสเซียในขณะนี้  ส่วนสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กำลังเกิดขึ้นในช่วง 5-6 วันที่ผ่านมานั้น  ยังไม่เข้าข่าย  แต่ถ้าเกิดลุกลามและทำให้เกิดความเสียหายสูงมาก  ทั้งจากชีวิตและทรัพย์สินหรือทำให้เศรษฐกิจเสียหายหนัก  เช่น  สหรัฐประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรทั้งจากไทยและกัมพูชามากจนกระทบการส่งออกจำนวนมหาศาลของไทย  นั่นก็อาจจะทำให้เข้าข่ายที่จะทำให้ตลาดหุ้นพังได้

ประวัติศาสตร์ของสงครามที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นพังนั้น  มีมากมาย  เพราะโลกโดยเฉพาะในสมัยก่อนนั้น  เกิดสงครามใหญ่จำนวนมาก  เพิ่งจะมายุคหลัง ๆ  นี้ที่ความคิดของคนโดยเฉพาะในสังคมของประเทศที่เจริญแล้ว  ที่มองว่าสงครามเป็นสิ่งที่เลวร้ายและไม่มีประโยชน์ที่จะไปยึดดินแดนของฝ่ายตรงข้าม  การเป็นมิตรและเจรจาเพื่อทำการค้ากันนั้น  ได้ประโยชน์มากกว่ามากมาย  และเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย

เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นสงครามที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์และมีประเทศที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก  หลาย ๆ  ประเทศมีตลาดหุ้นที่ใหญ่โตและมั่นคงแล้ว  แต่หลายแห่งก็ต้องปิด หรือเปิด ๆ  ปิด ๆ  การซื้อ-ขายหุ้นแทบจะหยุดลงอย่างสิ้นเชิง  ราคาหุ้นตกลงมามากมาย  บางตัวก็อาจจะไม่ได้ตกมากนัก  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่ามันแทบไม่มีการซื้อ-ขาย เลย

ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศที่อยู่ในศูนย์กลางของการสู้รบ  คืออยู่ในภาคพื้นของทวีปยุโรป  เช่น ฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2  ดัชนีตลาดหุ้นตกจากก่อนสงครามถึงวันสิ้นสุดสงครามและเปิดตลาดขึ้นใหม่นั้น  ลดลงประมาณ 60-70% ในเวลา 6-7 ปี โดยที่ตัวเลขนั้นมีการปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว  เพราะหลังจากเกิดสงคราม  เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่รุนแรงมากและกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมหาศาล  และนี่คือฝรั่งเศสที่การรบเกิดขึ้นไม่มาก  เพราะยอมแพ้ตั้งแต่แรก

ประเทศที่ร้ายแรงกว่าก็คืออิตาลีที่เป็นฝ่ายแพ้สงครามและเกิดการรบพุ่งหนัก  ตลาดหุ้นตกลงไปประมาณ 85-90%  ส่วนเยอรมันนั้น  ในสงครามโลกครั้งที่ 2 คงไม่มีตลาดหุ้นที่ทำงานได้เพราะเป็นฝ่ายที่แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งในช่วงเวลานั้น  ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงมา 70-80% ในเวลาประมาณ 4-5 ปี

ญี่ปุ่นเองก็เป็นฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และบอบช้ำหนักที่สุด  เพราะถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ 2 ลูก  นั่นทำให้ตลาดหุ้นแทบจะล่มสลาย  ดัชนีตลาดหุ้นโตเกียวลดลงถึง 95%  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีนที่ตกอยู่ภายใต้สงครามที่ยาวนานคือสงครามกับญี่ปุ่นก่อนที่จะเข้าสู่สงครามโลกจนจบสงคราม  ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้นั้น  ต้องถือว่าตกลงไป 100% คือล่มสลายไปเลย

อังกฤษนั้น  ผ่านทั้ง 2 สงครามโลก  แต่เนื่องจากเป็นเกาะและศัตรูไม่สามารถยกพลขึ้นบกได้   ความเสียหายจึงมาจากทางอากาศและเรื่องของเศรษฐกิจที่ทรุดลงเพราะโรงงานไม่สามารถผลิตได้   และการค้าก็ทำได้ยาก  ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนตกลงไป 35% ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ดัชนีตกลงไปประมาณ 20% ปรับเรื่องเงินเฟ้อไปแล้ว

ในสงครามยูเครน-รัสเซียซึ่งยังไม่จบนั้น  มีการประมาณการกันว่า  ตลาดหุ้นรัสเซีย  น่าจะตกลงไปประมาณ 20% ในช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มสงคราม  เหตุที่ใช้การประมาณก็เพราะว่ามีความซับซ้อนในเรื่องของค่าเงินที่รัสเซียถูกแซงชั่นจากอเมริกาและประเทศในยุโรป  และอื่น ๆ  และการที่ค่าเงินรูเบิลลดลงซึ่งทำให้การคำนวณคิดเป็นดอลลาร์ค่อนข้างจะไม่แน่นอน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  รัสเซียเองนั้นไม่ได้เป็นสนามรบ

ตลาดหุ้นยูเครนเองนั้น  น่าจะตกลงไปอย่างน้อย 50% หรือมากกว่านั้น  เพราะยูเครนถูกบุกและถูกยึดครองพื้นที่ประเทศไปมาก  เศรษฐกิจของประเทศแทบจะล้มละลายและที่อยู่ได้ทุกวันนี้ก็ต้องอาศัยประเทศในยุโรปและสหรัฐที่เข้าไปสนับสนุนเต็มกำลัง

และนั่นก็คือผลร้ายจากสงครามต่อตลาดหุ้น  เมื่อ  “เสียงปืนดังขึ้น  ดัชนีหุ้นก็ฟุบลง”

เหตุร้ายเรื่องที่ 2 ที่ทำลายตลาดหุ้นก็คือ  เมื่อสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของประเทศเกิดปัญหาและล่มสลายลง  นั่นก็คือสัญญาณว่าตลาดหุ้นจะพังพาบตามมา

โดยที่ความล่มสลายของสถาบันการเงินนั้น  มักจะมาจากการปล่อยกู้หรือลงทุนเกินตัวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงเท่าที่ควร  อาจจะเพราะว่าสภาวะทางเศรษฐกิจกำลังร้อนแรง  หรือไม่ก็เกิดขึ้นจากการบริหารงานที่ผิดพลาดหรือเกิดการฉ้อฉลขึ้น  เมื่อสถาบันแห่งหนึ่งล่มสลาย  ก็มักจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทำให้สถาบันที่เกี่ยวข้องเกิดปัญหาตามมา  และถ้าหยุดไม่อยู่  สถาบันการเงินเกือบทั้งระบบก็จะเกิดปัญหา  กลายเป็นปัญหาระดับชาติและลามไปถึงตลาดหุ้นอย่างแน่นอน

กรณีที่โด่งดังที่สุดกรณีหนึ่งก็คือการล่มสลายของ Lehman Brothers แบ้งค์เก่าแก่อายุ 158 ปีในช่วงก่อนวิกฤติซับไพร์ม   ที่ดึงให้แบ้งค์อื่น ๆ มีปัญหาตามมาและแบ้งค์อื่น ๆ  รวมถึงคนทั่วไปขาดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน  โดยที่จุดเริ่มก็คือการที่ลีห์แมนเข้าไปเล่นเก็งกำไรกับตราสารการเงินซับไพร์มโดยที่ตนเองใช้เงินกู้มหาศาล  เมื่อหนี้เสียเกิดขึ้นแบ้งค์ก็ล้มสร้างความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ประมาณ 600,000 ล้านเหรียญ ในช่วงปี 2008 ซึ่งกลายเป็นวิกฤติตลาดหุ้นที่รุนแรงตามมา

ในปี 2540 ที่เป็นวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ก็คือวิกฤติที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ของไทยเกิดปัญหาหนี้เสียและขาดสภาพคล่อง  ไม่สามารถใช้คืนเงินกู้ยืมระยะสั้นเป็นเงินดอลลาร์จากต่างประเทศ  ซึ่งในช่วงเวลานั้น  การปล่อยกู้ทำกันอย่างเกินตัวไปมากเพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยกำลังร้อนแรงมาก  ลูกหนี้จำนวนมากได้รับเงินกู้ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรได้  ผลก็คือ  แบ้งค์เจ๊งและตลาดหุ้นก็พังพินาศ

เหตุร้ายแรงเรื่องที่ 3 ก็คือเรื่องของเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและคงตัวในระดับที่สูงมาก  ซึ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินลดลง  คนกู้เงินยาก  เม็ดเงินที่ใช้ในการทำธุรกิจติดขัด  ทำให้บริษัทล้มละลายจำนวนมาก  เช่นเดียวกัน  เม็ดเงินก็จะถูกดึงออกจากตลาดหุ้น  ทำให้หุ้นตกลงมารุนแรง   ในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อสูงมากอย่างในช่วงปีทศวรรษ 1970 ในอเมริกาที่เกิด “Stagflation” คือเงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจกลับหดตัวรุนแรงได้ก่อให้เกิดวิกฤติรุนแรงในตลาดหุ้นของสหรัฐ

เรื่องสุดท้ายที่มีโอกาสทำให้ตลาดหุ้นตกรุนแรงมาก  แต่เป็นการตกอย่างช้า ๆ  ใช้เวลานานมาก—เป็นสิบ ๆ ปี และในระหว่างนั้น  ตลาดหุ้นก็มีช่วงเวลาปรับตัวขึ้นเป็นระยะ  ๆ  อาจจะเป็นปี ๆ  แต่ก็จะเป็นการปรับตัวขึ้นไม่สูงไปกว่าช่วงสูงสุดเดิม  และนี่ก็คือประเด็นของประเทศที่กำลังกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ  และจำนวนคนทำงานกำลังลดลงและประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นน้อยลงหรือไม่เพิ่มเลย  ซึ่งนั่นก็จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำลงมากหรือแทบจะไม่โตเลย  ส่งผลให้ตลาดหุ้นนิ่งและค่อย ๆ  ปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ  

และนั่นก็คือกรณีของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงตั้งแต่ปลายปี 1989 ถึงปลายปี 2012 เป็นเวลาถึง 23 ปี ที่ดัชนีตกลงมาจากประมาณ 39,000 จุด เหลือเพียงประมาณ 9,000 จุด หรือตกลงไปถึง 77% ก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาและปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงประมาณ 50,836 ในช่วงนี้  ด้วยเหตุผลที่ว่าญี่ปุ่น  โดยการนำของรัฐบาลตั้งแต่สมัยนายชินโซ อาเบะ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงแนวทางของประเทศอย่างรุนแรง  ซึ่งทำให้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นแม้ว่าโครงสร้างของประชากรก็ยังเป็นแบบเดิม

สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ประเทศไทยเองก็กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุและจำนวนคนทำงานเริ่มลดลงแล้ว  และการเติบเศรษฐกิจทางเศรษฐกิจก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ  จนล่าสุดโตแค่ประมาณ 2% และต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในย่านนี้  และนั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเลยจากเมื่อ 10 ปีก่อน  กลายเป็น  “Loss Decade” ไปแล้ว  และนับจากนี้ไปก็ดูเหมือนว่ายังไม่มีสัญญาณอะไรว่าจะดีขึ้น

เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  รัฐบาลเองก็ไม่ได้มีความคิดหรือแนวทางในการแก้ปัญหานี้  ว่าที่จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  รัฐบาลไทยก็แทบไม่ได้ทำอะไรที่จะต้านเทรนด์หรือแนวโน้มเรื่องคนไทยแก่ตัวลงเรื่อย ๆ   ระบบต่าง ๆ  ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงาน  ทั้งทางด้านของ โครงสร้างพื้นฐาน  ซึ่งรวมถึงนโยบายของรัฐและระบบกฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญถึงกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจและสังคม ดูเหมือนว่าจะไม่เอื้ออำนวยให้กับการทำธุรกิจที่จะสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ดังนั้น  การเริ่มทศวรรษใหม่หลังจาก “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้นจึงยังไม่เห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไปทางไหนได้  ทุกวันนี้นักวิเคราะห์แทบทุกคนต่างก็เพียงแต่ตั้ง “ความหวัง” ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ  จะดีขึ้น  และตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นใน “ปีหน้า” ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาหลาย ๆ  ปีแล้ว  แต่สำหรับผมแล้ว  ถ้าประเทศเราไม่ทำอะไร ก็อย่าไปหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง


🇻🇳 VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com