โลกในมุมมองของ Value Investor   7 มิถุนายน 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ  นี้ต้องบอกว่า “ยากลำบากที่สุดในชีวิต” ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุนมาหลังปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติซับไพร์ม  ไม่ใช่เพราะว่าหุ้นตกลงมามาก  เพราะช่วงที่หุ้นตกลงมาในอดีตนั้นแรงและเร็วกว่าการตกของหุ้นในช่วงนี้มาก  แต่เป็นเพราะว่าการตกของหุ้นในช่วงหลัง ๆ  นี้  มักจะเป็นการตกลงมาอย่างช้า ๆ  แต่ต่อเนื่องยาวนาน  และไม่ค่อยมีจังหวะที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงแบบที่มักจะเกิดขึ้นในอดีต  นอกจากนั้น  ปริมาณการซื้อขายก็ค่อย ๆ  ลดลงไปเรื่อย ๆ  ถ้ามองแบบนักเทคนิคก็อาจจะบอกว่า  คนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากคงจะขายหุ้นและทยอยออกจากตลาดไปเรื่อย ๆ   หลาย ๆ  คนก็อาจจะขายไม่ได้เพราะ  “ติดหุ้น” ที่ซื้อที่ต้นทุนสูงกว่าปัจจุบันมาก

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น  ผมคิดว่าแม้แต่  “เซียนหุ้น” ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะทำผลงานได้ดีหรือเอาชนะตลาดหุ้นที่ก็แย่มากอยู่แล้วได้  แม้แต่คนที่ใช้หลักการแบบ “VI” และเลือกหุ้นลงทุนโดยไม่สนใจสภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้น  ก็อาจจะพบว่าการคาดการณ์หรือประเมินคุณค่าของธุรกิจผิดพลาดเพราะ “ธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป”  หรือบางทีก็ประเมินไม่ผิด  แต่ราคาและผลตอบแทนของหุ้นก็ไม่ตอบสนองอย่างที่ควรเป็น  คำว่า “ในระยะยาวราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานเสมอ” นั้น อาจจะยังจริงอยู่  แต่ในระยะยาว จอห์น เมย์นาร์ด เคน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อก้องโลกบอกว่า  “ทุกคนต้องตายหมด” –ก่อนที่หุ้นจะสะท้อนพื้นฐาน! 

ลองมาดูย้อนหลังไปซัก 4-5 ปี ว่า “เซียนหุ้น” ชอบเล่นหุ้นตัวไหนกันบ้าง  เพราะอะไร  และเดี๋ยวนี้ราคาหุ้นวิ่งไปอยู่ที่ไหน

หุ้นกลุ่มแรกที่น่าจะมีส่วนทำให้เซียน VI หลาย ๆ  คนรวยกันไปเลยในยุคหลังปี 2008 ที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม  ดัชนีหุ้นตกลงไปเหลือแค่ 400 จุด  และนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่มีฐานะดี  หลายคนเป็นนักธุรกิจหรือมีครอบครัวที่เป็นเจ้าของธุรกิจ  ต่างก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเม็ดเงินจำนวนมากและมีส่วนในการขับเคลื่อนราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและตามความเข้าใจของพวกเขาก็คือ  จะกลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก”  และที่จริงในช่วงเวลาหนึ่ง  หุ้นเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกได้จริง  เพราะส่วนใหญ่แล้ว  Market Cap. ของมันสูงแตะ “แสนล้านบาท”

หุ้นตัวแรกก็คือ  หุ้นเครื่องดื่มเพิ่มพลังงานที่กำลังเติบโตเร็วและเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดไทย  และกำลังพยายามไปสู่ระดับโลก  โดยที่นักลงทุนเชื่อว่าบริษัทมีความสามารถสูงและสามารถตีตลาดเพื่อนบ้านได้แล้ว  ผลก็คือ  มูลค่าหุ้นวิ่งขึ้นเป็นจรวดเกินกว่า 1 แสนล้านบาททั้ง ๆ  ที่เป็น “ธุรกิจขนาดระดับกลาง ๆ” ในอุตสาหกรรมที่ “อิ่มตัว” 

เวลาผ่านไปหลายปี  การเติบโตของรายได้และกำไรเติบโตน้อย  การเปิดตลาดต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จ  ประเทศที่ก้าวหน้ากว่าไทยซึ่งรวมถึงจีนในวันนี้คงไม่ชอบสินค้าผู้บริโภคของไทย  ในตลาดไทยเอง  คนหนุ่มสาวที่มีน้อยลงยิ่งไม่เอื้อให้กับการบริโภคสินค้านี้  Market Cap. ของหุ้นลดลงเรื่อย ๆ  เหลือไม่ถึงครึ่งของช่วงสูงสุด  และตั้งแต่ต้นปีหุ้นตกลงมาเกือบ 30%

หุ้นตัวที่สอง  อยู่ในอุตสาหกรรมการเงินที่ซื้อหนี้เสียมาเก็บหนี้ต่อ  ต้นทุนในการซื้อหนี้ต่ำมาก  บางทีแค่ 5% ของมูลหนี้  ดังนั้น  ถ้าเก็บได้ดีแค่ 10% ต่อปี  ก็กำไร 100% แล้ว  มูลหนี้ที่ซื้อมามีเป็นแสนล้านบาท  กำไรปีหนึ่งก็เป็นพันล้านบาทแล้วและแนวโน้มก็เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างรวดเร็ว  บริษัทเก็บหนี้ “เก่งมาก” พอร์ตหนี้เป็นแสนล้านบาท  ต้นทุนนิดเดียว  ไม่มีอะไรมาขวางไม่ให้โตไปเรื่อย ๆ  ยิ่งเศรษฐกิจแย่หนี้เสียมากบริษัทก็ยิ่งซื้อหนี้เสียได้มาก  นี่คือสิ่งที่นักลงทุนเชื่อและซื้อหุ้นจน  Market Cap. สูงเป็นแสนล้านบาท

รายได้รวมหลายปีต่อมาเติบโตช้า ๆ  กำไรรวมก็เติบโตช้า ๆ  เศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้คนไม่มาจ่ายหนี้ที่เสียไปแล้วตั้งนาน  สุดท้ายคนก็อาจจะคิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลก็ช่วยล้างเครดิตที่เสียไปนานแล้วให้กลับมาดีได้  ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน  เหนือสิ่งอื่นใด  ตอนนี้กู้เงินยากอยู่แล้ว

ราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ  ทั้งที่กำไรก็ไม่ได้หายไปเพียงแต่ไม่ค่อยโต  และอนาคตก็ดูไม่สดใส  Market Cap. ตกลงมาเกือบ 90% จากจุดสูงสุด  เฉพาะจากต้นปีนี้หุ้นตกลงมาแล้วเกือบ 50% จากซุปเปอร์สต็อก  กลายเป็นบริษัทระดับกลางค่อนไปทางเล็ก   หุ้นมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า คล้าย ๆ  กับสถาบันการเงินระดับท็อปเกรดอื่น ๆ จากที่เคยมีค่า PE เกือบ 100 เท่า

ยังมีหุ้นแนว  “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีอาการหรือลักษณะแบบเดียวกับหุ้น 2 ตัวดังกล่าวอีกหลายตัวที่  “เซียน”  เข้าไปเล่นเพราะเห็นว่าเป็นหุ้นโตเร็ว  และผู้บริหารมีความสามารถสูงมาก  สามารถที่จะเพิ่มรายได้และกำไรต่อเนื่องยาวนานในธุรกิจที่อุตสาหกรรม  “อิ่มตัว”  โดยสตอรี่ก็คือ  บริษัทมีผู้บริหารที่เก่งมาก  สามารถแข่งขันเอาชนะคู่แข่งและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลซึ่งทำให้ Market Cap. ในช่วงพีกสูงถึงแสนล้านบาท ทั้ง ๆ  ที่เป็นบริษัท “ระดับกลาง ๆ” 

และก็เช่นเดียวกัน  ถึงวันนี้  หุ้นแสนล้านที่เคยเป็นขวัญใจเซียนหุ้น  ก็ตกลงมา  อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% จากจุดสูงสุด  โดยที่ช่วงหนักที่สุดช่วงหนึ่งก็คือปีนี้ที่หุ้นตกลงมาไม่ต่ำกว่า 25% ในเวลาแค่ 5-6 เดือน  ทั้ง ๆ  ที่หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติจากช่วงที่เป็นหุ้นแสนล้านบาท

หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กไม่เกิน 10,000 ล้านบาทที่ช่วงหนึ่งในช่วงที่ “เซียนหุ้น” เข้าไปลงทุนมีสถานะเป็นหุ้นระดับกลาง  คือ Market Cap. ระดับเช่น  20,000 ล้านบาทขึ้นไป  นี่มักจะเป็นกลุ่มหุ้นที่อิงกับผู้บริโภค  เช่น  หุ้นขนมขบเคี้ยว  หุ้นขนมหวานและเครื่องดื่ม  หุ้นเกี่ยวกับความสวยงามทั้งหลายตั้งแต่เครื่องสำอาง ถึงคลินิกเสริมความงามและโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามและสปา  นอกจากนั้นก็ยังมีร้านอาหารและซ๊อส เป็นต้น  

สำหรับนักลงทุนที่เป็นเซียนแล้ว  หุ้นกลุ่มนี้มีความสามารถในการแข่งขัน  เพราะมียี่ห้อที่อาจจะเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับต้น ๆ  ในกลุ่มธุรกิจของตนเอง  สินค้าผู้บริโภคนั้น  คนมักจะติดหรือคุ้นชินกับผลิตภัณฑ์ที่เคยกินเคยใช้อยู่  ดังนั้น  อย่างน้อยลูกค้าก็ไม่หนีไปไหนง่าย ๆ  

จริงอยู่  สินค้าจำนวนมากมีตลาดอยู่ในประเทศ  ดังนั้น  อุตสาหกรรมโดยรวมก็มักจะไม่ค่อยโตแล้ว  แต่สินค้าหลายบริษัทก็มีตลาดใหญ่ในต่างประเทศด้วย  และสตอรี่ก็คือ  บริษัทจะโตขึ้นอีกมากในต่างประเทศ  โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจีน  หุ้นบางตัวก็ขายไปทั่วโลกรวมถึงยุโรปโดยเน้นไปทางด้านรสชาติแบบไทยเช่น  ซอสเผ็ด  หรือน้ำหวานผสมเนื้อผลไม้เช่น  มะพร้าว  เป็นต้น

หุ้นที่เคยโดดเด่นตัวหนึ่งขายขนมขบเคี้ยวเป็นผู้นำตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศบางส่วนโดยเฉพาะที่เป็นคนจีน  ดังนั้น  สตอรี่ก็คือ  บริษัทจะสามารถขยายธุรกิจและเป็น “Global Brand” คือเป็นสินค้าที่จะขายไปทั่วโลก  กำไรหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับภารกิจของบริษัท  ราคาหุ้นวิ่งขึ้นและทำให้กลายเป็นบริษัทระดับกลาง  อย่างไรก็ตาม  ค่า PE ของหุ้นสูงลิ่วกว่า 100 เท่า  ความคาดหวังของนักลงทุนก็คือ  บริษัทจะ “ยึดครองตลาดจีน” ที่มีคนกว่าพันล้านคนที่ “ชอบ” สินค้าของบริษัท

ในช่วงหลายปีต่อมา  กำไรของบริษัทยังเพิ่มขึ้นเร็วพอสมควร  แต่ราคาหุ้นก็เริ่มทยอยลดลง   สตอรี่เรื่องจีนถอยลงไปมาก  ตลาดจีนมีปัญหา “ทางเทคนิค” หลายอย่าง  ความฝันเรื่องจีนค่อย ๆ  หมดไป  อาจจะพร้อม ๆ กับการที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มไม่ค่อยสนใจซื้อสินค้าของบริษัทเวลามาเที่ยวไทยแล้ว  ยิ่งเมื่อขึ้นปี 2568  ยอดขายและกำไรของบริษัทตกฮวบ  ราคาหุ้นดิ่งเหลือไม่ถึงครึ่งของช่วงพีก  และต่ำกว่าตอนสิ้นปีที่แล้วถึงกว่า 30% และทำให้ค่า PE ของหุ้นเหลือเพียงในระดับ 10 เท่าบวกลบ

และทั้งหมดนั้นก็คล้าย ๆ  กับหุ้นของกินที่โดดเด่นทั้งหลายที่เหล่าเซียนเข้าไปเล่นด้วยสตอรี่ของการเติบโตโดยเฉพาะจากตลาดต่างประเทศ  ซึ่งก็ช่วยขับดันราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากในช่วงแรก  อย่างไรก็ตาม  ความเป็นจริงหลังจากนั้นก็คือ  ตลาดของสินค้าผู้บริโภคของไทยนั้น  มักจะไม่มีความยั่งยืนที่จะเติบโตไปได้มาก  และบ่อยครั้งก็จะถดถอยลงเนื่องจากความนิยมลดลง  สินค้าไทยนั้น  ที่สำเร็จส่วนใหญ่อาจจะเป็นแค่ “แฟชั่น” ในต่างประเทศ

หุ้นตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงทำเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมความงามซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่น่าจะกำลังเติบโตในประเทศในช่วงเร็ว ๆ  นี้และบริษัทเป็น “ผู้นำ” และก็กำลังพยายามขยายธุรกิจทั้งโดยตนเองและควบรวมกิจการบริษัทอื่น  Market Cap. ของหุ้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบริษัทระดับกลางที่มีมูลค่าระดับ 15,000-20,000 ล้านบาทในเวลาอันรวดเร็ว

ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นโดดเด่นตามคาดจนถึงสิ้นปีที่แล้ว  แต่งบไตรมาศ 1 ของปีนี้กลับลดลงแรงมาก  คุณภาพของธุรกิจและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมนี้คงเริ่มส่งผลให้เห็นว่านี่คือธุรกิจที่ไม่มีใครมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน  สงครามราคาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะในกลุ่ม “ตลาดมวลชน”  ผลก็คือ  ราคาหุ้นร่วงมารุนแรงถึง 70% ในเวลาแค่ 5-6 เดือน  และถ้านับจากพีก  หุ้นตกลงมาแล้วเกือบ 80% ค่า PE ของหุ้นเหลือต่ำกว่า 10 เท่าจากที่เคยสูงถึงประมาณ 50 เท่า

บทสรุปของผมก็คือ  หุ้นที่เซียนเข้าไปลงทุนนั้น  พวกเขาเข้าไปด้วยการวิเคราะห์ในแบบของ VI โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพของตัวกิจการ  แต่ด้วยการมองโลกในแง่ดีเกินไป  อาจจะเพราะอยู่ในช่วงที่ตลาดของผลิตภัณฑ์และตลาดหุ้นที่ดี  ทำให้พวกเขาให้คุณค่ากับหุ้นมากเกินไป  และอาจจะมองหรือประเมินกิจการสั้นเกินไป  ซึ่งนั่นทำให้เกิดความผิดพลาดในแง่ที่ว่า  ประเมินหุ้นธรรมดาหรือหุ้นที่ดีพอใช้เป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อก  

และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมหุ้นที่เซียนซื้อหรือถืออยู่นั้น  ราคาลงมาต่อเนื่อง  ลงหนักมากทั้ง ๆ ที่การดำเนินธุรกิจก็ยังปกติเหมือนเดิม  แต่ราคาหุ้นตกลงมา 50-80% จากจุดสูงสุด  และค่า PE เหลือต่ำกว่า 10 เท่า แล้วก็ยังไม่มีคนซื้อ


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/