25 ปีตลาดหุ้นเวียดนามมุ่งสู่ดวงจันทร์

0
400

โลกในมุมมองของ Value Investor   2 สิงหาคม 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วันที่ 28 กรกฎาคม 2025 เป็นวันครบรอบ 25 ปี ของการเปิดตลาดหุ้นเวียดนาม  ผมนั่งดูกราฟดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงตั้งแต่ต้นปีนี้แล้วก็รู้สึกทึ่งและก็พยายาม “อ่าน” ว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ผ่านมาตลอด 25 ปี นั้น  “บอกอะไร” กับเรา  และอนาคตนับจากนี้ไปอย่างน้อยอีกหลายปีจะเป็นอย่างไรต่อไป

ประเด็นแรกก็คือ  ถึงสิ้นปีที่แล้ว  ดัชนี VN ของเวียดนามอยู่ที่ 1,267 จุด  นั่นแปลว่าภายในเวลาประมาณ 24 ปี ครึ่ง ดัชนีหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นจาก 100 จุดขึ้นมาประมาณ 12.7 เท่า หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.9% ซึ่งถ้ารวมเงินปันผลก็น่าจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 13% ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในประวัติศาสตร์

จากต้นปี 2025 ถึง วันที่ 2 เมษายน 2568 ดัชนีเวียดนามขึ้นไปเป็นประมาณ 1,316  จุด ก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรง  และภายในวันที่ 9 เมษายนหรือเพียง 7 วัน  ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงมาเหลือเพียง 1,095 จุด หรือลดลงถึง 16.8% เนื่องจากคำประกาศเพิ่มภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เวียดนามจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46% ซึ่งจะมีผลทำให้การส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐที่เป็นตลาดหลักที่ใหญ่โตมากต้องสะดุดหยุดลงและจะกระทบต่อเศรษฐกิจของเวียดนามอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม  ภายในเวลาไม่กี่วัน  ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามก็เริ่มปรับตัวขึ้น  เพราะนักลงทุนคาดว่าเวียดนามจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้และจะทำให้อัตราที่ได้รับสามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นทั่วโลกที่ก็ถูกประกาศเพิ่มอัตราภาษีรุนแรงเช่นกัน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  รัฐบาลเวียดนามพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดต่ออเมริกา  คือไม่เก็บภาษีข้าเข้าสินค้าจากสหรัฐเลย

ผลสุดท้าย  เวียดนามก็สามารถตกลงกับอเมริกาได้เป็นประเทศแรก ๆ  และได้ดีลที่ดีที่ 20% ในสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและส่งออกไปที่อเมริกา  ผลก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามตอบรับมาอย่างต่อเนื่อง  ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปจนถึง 1,531 จุดในวันที่ 25 กรกฎาคม 68 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 40% ภายในเวลาเพียง 3-4 เดือน  และเป็น  All Time High ของตลาดหุ้นเวียดนาม

และนับจากต้นปีก็เพิ่มขึ้นถึง 20.8% ก่อนจะปรับตัวลงมาบ้างและปิดล่าสุดที่ 1,495 จุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568

คำถามสำคัญก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามร้อนแรงเกินไปหรือยัง  ถึงเวลาที่หุ้นจะต้องชะลอตัวลงหลังจากปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงเร็ว ๆ  นี้หรือยัง  พูดง่าย ๆ  เราควร Take Profit หรือขายหุ้นทำกำไรไหม?  หรือสำหรับคนที่ยังไม่มีหุ้นเวียดนามหรือมีน้อย  เราควรเข้าไปเก็บหุ้นเพิ่มหรือไม่?

คำตอบของผมก็คือ  ช่วงเวลานี้ของเวียดนาม  ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสดใส  ประเด็นที่น่าห่วงหรือเรื่องที่ไม่ดีต่อการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นดูเหมือนจะลดลงไปมาก  แต่เรื่องดี ๆ  ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น  กำลังทยอยมาอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากภาษีทรัมป์ที่ดูเหมือนว่าเวียดนามจะได้เปรียบชาติอื่น

เศรษฐกิจเวียดนามล่าสุดดูเหมือนว่าจะยังดีต่อเนื่องและรัฐบาลยังตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่สูงในระดับ 8% ขึ้นไป  ซึ่งถือว่ามองโลกในแง่ที่ดีมาก  โดยปัจจัยสนับสนุนหลักก็คือ  การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่คาดว่ายังดีมาก  การลงทุนจากต่างประเทศล่าสุดที่อยู่ในระดับสูงสุดยอดเช่นเดียวกับการลงทุนของรัฐ  นอกจากนั้น  การท่องเที่ยวจากต่างชาติก็เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่ตอนนี้ไปเที่ยวที่เวียดนามมากกว่ามาไทยไปแล้ว

ข่าวสำคัญที่จะตามมาในอีกไม่กี่เดือนก็คือการที่ดัชนีฟุตซี่ FTSE น่าจะปรับให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market ที่จะทำให้มีเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  เหตุผลก็เพราะตลาดหุ้นเวียดนามมีการพัฒนาขึ้นมากในด้านของการซื้อ-ขายหุ้น สำหรับต่างชาติ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการใช้โปรแกรมเทรดหุ้นใหม่ KRX ที่ทันสมัยที่ทำให้สามารถรองรับการเทรดและ การเคลียร์บัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ  ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เพิ่มขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในอาเซียนแซงไทยและสิงคโปร์ไปแล้วที่วันละ 4-50,000 ล้านบาทต่อวัน  และบางวันก็สูงเกือบแสนล้านบาทแล้ว  และนั่นรองรับด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากกว่า 10 ล้านบัญชีและยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทุกเดือนเดือนละนับแสนราย  พูดง่าย ๆ  ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามกำลัง “ร้อนเป็นไฟ” 

ปริมาณการซื้อหุ้นด้วยมาร์จินสูงสุดเป็นประวัติการณ์และโบรกเกอร์ใหญ่ ๆ  หลายรายปล่อยกู้จนถึงเพดานไม่สามารถปล่อยเพิ่มได้แล้ว  ซึ่งทำให้ดู  “น่ากลัวมาก” ถ้าวันหนึ่งหุ้นตกลงมาจนนักลงทุนถูก Force Sell ซึ่งอาจทำให้ตลาดถล่มทะลาย  นอกจากนั้น  ข่าวเกี่ยวกับความคิดของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นของบุคคลธรรมดาซึ่งอาจจะสูงถึง 20% ก็เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากแม้ว่าวันนี้นักลงทุนยังไม่ได้ตระหนักว่ามันอาจจะทำลายการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้

และนั่นทำให้เราต้องมาคิดและประเมินถึง “ความเสี่ยง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลานี้ว่า  หุ้นแพงเกินไปไหม?

คำตอบของผมก็คือ  การฟื้นตัวหรือปรับตัวของหุ้นเวียดนามในรอบประมาณ 6-7 เดือนที่ผ่านมานั้น  ส่วนใหญ่เป็นการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่หรือยักษ์จำนวนไม่กี่ตัวเป็นหลัก  คร่าว ๆ  ก็คือแค่หุ้นกลุ่ม “VIN Group” ที่ประกอบด้วยตัวหลักคือVIC VHM และ VRE ที่ทำธุรกิจใหญ่โตมากในด้านของอสังหาริมทรัพย์ เช่น  บ้านจัดสรรและห้างสรรพสินค้า  รถยนต์  และอื่น ๆ

ราคาหุ้นของกลุ่ม วินกรุ๊ปที่เคยตกต่ำมากเพราะมีปัญหาทางการเงินเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างแรงเพราะสถานการณ์ทางการเงินของกลุ่มเริ่มดีขึ้นมากในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปกว่า 100% ในเวลาไม่กี่เดือนจนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ  ของตลาดหุ้น  การปรับตัวขึ้นของหุ้นเพียง 3-4 ตัวดังกล่าวมีส่วนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นไปกว่า 10% แล้ว  จากทั้งตลาดที่ปรับตัวขึ้นไป 18% นับจากต้นปี

ซึ่งนั่นก็อาจจะคล้าย ๆ  กับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าของอเมริกาที่ปรับตัวขึ้นไปมโหฬารโดยที่หุ้นอื่น ๆ  ทั้งตลาดโตขึ้นน้อยมาก  หรือคล้าย ๆ  กับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นยักษ์บางตัวราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและมีผลกับดัชนีตลาดอย่างมาก

ว่าที่จริง  หุ้นในพอร์ตเวียดนามของผมเองที่เป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” จำนวนประมาณ 6-7 ตัวที่เคยสร้างผลงานยอดเยี่ยมในปี 2567  พอถึงปีนี้ที่ดัชนีหุ้นขึ้นไปมากแต่พอร์ตผมก็ยังขาดทุนอยู่  และต้องเฝ้าดูหุ้นกลุ่มอื่นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากทั้ง ๆ  ที่ผลประกอบการก็ยังไม่ดี  มีแต่ “สตอรี่” ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน  ราคาหุ้นขึ้นเอา ๆ  ทั้งที่ราคาหุ้นคิดเป็น PE ก็สูงมากอยู่แล้ว

แต่อย่างไรผมเองก็คงไม่เปลี่ยนตัวหุ้นที่ลงทุน  ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวแบบผมนั้น  ก็ต้องมีเวลาที่จะแย่กว่าตลาดหรือหุ้นกลุ่มอื่น  เพียงแต่ว่าโดยเฉลี่ยทั้งปีที่ดีและปีที่แย่  ผมจะได้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดแค่นั้นก็พอ  และผมก็หวังแค่ว่าเวลาที่เหลือของปีนี้  พอร์ตเวียดนามของผมจะตีตื้นขึ้นมาเสมอตัวก็พอใจแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  สำหรับคนที่ลงทุนกองทุนอิงดัชนีเวียดนาม  ก็ไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดการเลือกหุ้นที่ผิดพลาดและทำให้ผลตอบแทนการลงทุนแย่  สิ่งที่จะต้องคำนึงก็คือ  ดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรปีนี้และปีต่อ ๆ  ไป  และนั่นทำให้ผมต้องปรึกษากับประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเวียดนามว่า  ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร

ตลอด 25 ปี นั้น  ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 18 ปี  และปรับตัวลดลงเพียง 7 ปี  คิดไปแล้วเท่ากับโอกาสปรับขึ้นเป็น 2.57 เท่าของการปรับลง  ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น  ปีที่หุ้นปรับตัวขึ้นน่าจะไม่เกิน 1.5 เท่าของการปรับตัวลง ซึ่งก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่ามาก

นอกจากนั้น  ถ้าไม่นับช่วงที่เวียดนามเปิดตลาดใหม่ ๆ  ในช่วง 5 ปีแรกที่ตลาดยังไม่พร้อม  ก็จะพบว่า  ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา  ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 15 ปี  และปรับตัวลงแค่ 5 ปี  หรือปีหุ้นขึ้นนั้นประมาณ 75%  และปีที่ตลาดตกแค่ 25%  ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีมากน่าจะเท่า ๆ  กับตลาดสหรัฐในช่วงเวลาหลาย ๆ  สิบปีที่ผ่านมา

ว่าที่จริง  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคือตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีที่แล้ว  ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามติดลบแค่ 2 ปีคือปี 2561 ที่ -9.3% และปี 2565 ที่ –

32.8% อานิสงค์จากปัญหาหุ้นกู้เป็นหนี้เสียของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการจับการโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนครั้งใหญ่ที่โกงเงินแบ้งค์ครั้งมโหฬารคิดเป็นเงินถึงกว่า 400,000 ล้านบาท แล้ว  ที่เหลืออีก 8 ปี  ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามก็เป็นบวกทุกปีเฉลี่ยแล้วปีละ 18.9%

ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้และปีต่อไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี  น่าจะเป็นปีที่สดใสและดัชนีตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสวิ่ง “ติดจรวดสู่ดวงจันทร์” ได้  เพราะประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจาก Frontier เป็น Emerging Market ในกรณีของ MSCI ที่เวียดนามคาดว่าจะได้เข้าดัชนีในอีกไม่เกิน 2-3 ปีข้างหน้า  หุ้นมักจะวิ่งขึ้นแรงกว่าปกติมาก  และหุ้นเวียดนามก็น่าจะเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน


👉 VVI Membership + Class 1-3 Promotion : https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/