ทศวรรษที่(อาจ)หายไป
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ธันวาคม 62
ในฐานะที่เป็น VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวและปกติก็จะถือหุ้นแต่ละตัวเกินกว่า 5 ปี หลายตัวถือเกิน 10 ปี ผมจึงสนใจพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และตลาดหุ้นในระยะยาวว่าเป็นอย่างไร ข้อสรุปของผมที่ผ่านมาก็คือ ...
หุ้นเวียดนามถูกลง แต่ปริมาณการซื้อขายยังต่ำ
ดัชนีหุ้นเวียดนามที่ลดลงช่วงนี้ ทำให้ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีก่อน แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ถูกที่สุดของปี แต่ถ้ามองว่าเป็นโอกาสก็ยังดูจะง่ายเกินไป
สำหรับนักลงทุนที่อยากจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม มีอุปสรรคที่ต้องระวังคือ การที่สภาพคล่อง และข้อจำกัดการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติ ปริมาณผู้ถือหุ้นรายย่อยที่น้อย และการควบคุมของรัฐที่เข้มงวดทำให้เหลือหุ้นเพียงน้อยนิดสำหรับชาวต่างชาติที่จะซื้อขาย
แต่ถือเป็นข่าวดี ที่เวียดนามมีการใช้มาตรการหลายอย่างในการจัดการปัญหา มีการคลายข้อจำกัดของการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติสำหรับอุตสาหกรรมบางอย่าง และมีการเร่งกระบวนการลดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐในบริษัทต่างๆ และได้เริ่มต้นตลาดอนุพันธ์เมื่อปี 2017 และจะมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนมากขึ้นในปีนี้
ในตอนนี้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นของเวียดนามยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาพคล่องที่ต่ำของหุ้นในระดับ Top บางตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ถือหุ้นต่างชาติรายใหญ่ที่ถือหุ้นในระยะยาว...
เทพนิยายในตลาดหุ้น
โลกในมุมมองของ Value Investor 30 พฤศจิกายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นหวือหวาร้อนแรงมาก ๆ ในช่วงเวลาอันสั้นนั้น เกือบทั้งหมดต่างก็มักจะมี“Story” หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ฟังแล้วก็จะรู้สึกประทับใจ คนที่ “ไร้เดียงสา” หรือแม้แต่คนที่คิดว่ามีประสบการณ์มาเพียงพอก็อาจจะยัง“เคลิ้ม” จนต้อง “เสพ” หรือดื่มด่ำกับเรื่องราวดังกล่าวและคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นความฝันที่จะกลายมาเป็นความจริงและชีวิตของตนก็จะมีแต่ความสุข แต่สำหรับผมเองแล้ว ประสบการณ์ที่พานพบมาต่อเนื่องยาวนานบอกผมว่า เรื่องราวความเป็นจริงที่ตามมานั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นไปตามสตอรี่ที่สร้างหรือวาดภาพขึ้นมา มันเป็นแค่ “Fairy Tale” หรือ “เทพนิยาย” ในตลาดหุ้นที่มีการเขียนขึ้นมาอย่างดีสุดยอดที่ทำให้คนอ่านเกิด “จินตนาการ” หรือ“ฝันไป” กับเรื่องราว “สุดวิเศษ” เหล่านั้นชั่วขณะ อาจจะคล้าย ๆ กับผู้หญิงจำนวนมากที่อ่านเทพนิยายเรื่องซินเดอร์เรลล่าแล้วฝันว่าตนเองจะเป็นเหมือนซินเดอร์เรลล่าที่จะได้แต่งงานกับเจ้าชายทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย ลองมาดูกันว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้เรามี “เทพนิยาย” เรื่องอะไรบ้าง
เทพนิยายเรื่องแรกและน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างจินตนาการได้สุดยอดมีคนติดตามกันมากและเคลิบเคลิ้มไปทั้งตลาดก็คือการที่หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคที่มียี่ห้อโดดเด่นหรือมีแนวทางการขายแบบใหม่และพุ่งเป้าสู่ “ตลาดโลก” หรือนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเติบโตแบบก้าวกระโดดและอาจจะกลายเป็น “ผู้เล่นระดับโลก” ดังนั้น ราคาหุ้นก็สามารถวิ่งขึ้นไปได้เป็นหลาย ๆ เท่าหรือเป็นสิบเท่าได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี Market Cap. ระดับแสนล้านบาทก็ไม่ถือว่าแพง
ความเป็นจริงก็คือ หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วไม่เกิน 2-3 ปี กำไรก็เริ่มสะดุด แผนการหรือโครงการที่จะขยายธุรกิจประสบอุปสรรคไม่เป็นไปตามคาด กำไรถดถอยลงเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่พูดไว้ถูกดัดแปลงหรือปรับใหม่ บางกรณี “สตอรี่ใหม่” ก็ตามมา แต่ความน่าเชื่อถือก็หมดไป ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักเหลือเท่ากับราคาก่อนที่จะขึ้นไปหรือต่ำกว่า หลายคน “ตื่นจากความฝัน”
เทพนิยายต่อมาเป็นเรื่อง “ความฝันแห่งภาคตะวันออก” หรือเขตเศรษฐกิจ EEC ของรัฐบาล ว่ามันจะทำให้เกิดการลงทุนและการใช้พื้นที่โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกหลายจังหวัดในระยะเวลาอันสั้นไม่กี่ปี ความเป็นจริงดูเหมือนว่าจะมาช้ากว่าที่คิดมากหรือบางทีมันอาจจะไม่มาเลยก็ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง Supply หรือคู่แข่งทั้งเก่าและใหม่ที่อาจจะเริ่มสร้างกำลังการผลิตหรือนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EEC บางตัวก็มีการปรับขึ้นไปบ้างในตอนแรก ๆ ของการรณรงค์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าหุ้นในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากEEC แทบจะไม่ไปไหน จำนวนมากตกลงมาด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดไป เทพนิยายเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่นิยมมากเท่าที่คิดตั้งแต่แรก ๆ ด้วยซ้ำ
เรื่องของการสร้างสาธารณูปโภคของรัฐนั้นน่าจะเป็น Fairy Tale มานานพอสมควร “เราจะมีโครงการใหม่ ๆ เป็นแสน ๆ ล้านบาท” รถไฟ สนามบิน ท่าเรือ รถไฟฟ้าในเมืองและระหว่างเมือง เป็นต้น ดังนั้นธุรกิจเช่นรับเหมาก่อสร้างและโครงการที่เกี่ยวข้องจะได้ประโยชน์มหาศาล อย่างไรเสียรับเหมารายใหญ่ ๆ ก็จะต้องได้งานมากมายจนทำไม่ไหวและจะได้กำไรดีเพราะงานมากไม่ต้องแข่งขันด้านราคามาก ในช่วงแรกก็ดูเหมือนว่าหุ้นบางบริษัทก็ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปโดยที่โครงการเกิดช้ากว่าที่คิด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทรับเหมาจากต่างชาติเข้ามาแข่ง งานในมือที่คิดว่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นกลับน้อยลง ราคาหุ้นตกต่ำลง และคนที่เคยเล่านิทานเรื่องนี้ก็หายหน้าจากไป
เรื่องของเมกาเทรนด์นั้นก็น่าจะเป็น “เทพนิยาย” เหมือนกัน เช่น คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยเฉพาะโรงพยาบาลจะได้ประโยชน์ ดังนั้น หุ้นของโรงพยาบาลทุกรูปแบบรวมถึงที่เกี่ยวกับฟันก็วิ่งขึ้นไปหรือมีคนสนใจเข้าไปลงทุนกันมาก ค่า PE ดูเหมือนจะสูงลิ่วระดับ 30-40 เท่าขึ้นไปกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการเติบโตของยอดขายและกำไรของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ดูโดดเด่น โรงพยาบาลที่เคยเป็นสุดยอดและแข่งขันได้ในระดับสากลมีลูกค้าต่างชาติจำนวนมากกลับไม่เติบโตหรือโตน้อย คำแก้ตัวนั้นมีหลายอย่างรวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลท้องถิ่นเองก็ไม่ได้ดูดีอะไรนักในแง่ของผลประกอบการ อย่างมากที่เห็นก็คือ โรงพยาบาลก็โตพอ ๆ กับเศรษฐกิจหรือดีกว่าก็เพียงเล็กน้อย หุ้นโรงพยาบาลที่เคยร้อนแรงตอนนี้ก็นิ่งหรือบางตัวก็ลงมาแรงพอสมควร
โรงแรมที่เคยเป็นหุ้นกลุ่มยอดนิยมเหมือนกันเนื่องจากมันก็อยู่ใน “เมกาเทรนด์” หลังจากที่คนจีนเริ่มออกมาเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองไทยเมื่อซัก 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเองก็ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นขึ้นกลายเป็นประเทศหรือเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกในระดับสูง “เทพนิยาย” เรื่องการท่องเที่ยวและโรงแรมถูกแต่งขึ้นและนักลงทุนต่างก็เคลิบเคลิ้มว่ามันคือธุรกิจที่สุดยอดและจะเติบโตไปอีกมาก หุ้นโรงแรมวิ่งขึ้นไปแรงและสูงมาก บางตัวกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นมหาศาล แต่ดูเหมือนว่าการเติบโตที่รวดเร็วนั้นก็ชะลอลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ น่าจะมีโรงแรมใหม่ ๆ เปิดขึ้นมากไม่ต้องพูดถึง “ที่พัก” จากแอร์บีเอ็นบีและอพาร์ตเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อนที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หุ้นกลุ่มผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศในยามที่เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงในช่วงนี้ต่างก็ได้รับการแนะนำว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและดังนั้นก็เป็นหุ้นกลุ่มที่ควรซื้อลงทุน แต่นี่ก็น่าจะเป็นเทพนิยายอีกเช่นกัน เพราะตัวเลขยอดขายของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มค้าปลีกแทบจะไม่เติบโตเลย เหตุผลก็ชัดเจน ตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้นั้นเทียบไม่ได้กับตัวเลขรวมของการใช้จ่ายปกติที่เป็นอยู่
Fairy Tale ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดหุ้นไทย ในตลาดหุ้นอเมริกาเองนั้นก็มี และที่เล่ากันเป็นประจำทุกครั้งที่ตลาดร้อนแรงและบริษัทจดทะเบียนขยายตัวโดยการเข้าควบรวมกิจการบริษัทอื่น ๆ เป็นจำนวนมากเพราะคาดหวังว่าจะทำให้บริษัทเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นรวดเร็ว แต่ “เทพนิยาย” เรื่องนี้ก็มักไม่เป็นจริง เพราะหลังจากนั้น ธุรกิจที่ซื้อมาก็มักจะ “เน่า” ผู้บริหารที่เข้ามาใหม่ก็ต้องขายกิจการทิ้ง ซึ่งทำให้วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดเปรียบเปรยว่ามันเหมือนเทพนิยายเรื่อง “เจ้าชายกบ” ที่เป็นเรื่องของเจ้าหญิงที่จูบเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาบให้เป็นกบแล้วเจ้าชายก็ฟื้นกลับขึ้นมา บัฟเฟตตบอกว่าเจ้าหญิงก็คล้ายกับผู้บริหารที่คิดว่าตนเองสามารถมองหากบหรือกิจการเน่าที่ถูกสาบแล้วฟื้นมันขึ้นมาได้ แต่ในชีวิตจริง มันไม่มี จูบกบกี่ตัวมันก็ยังเป็นกบอยู่นั่นเองไม่เป็นเจ้าชายอย่างที่หวัง
ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น หุ้นกลุ่มที่ถูกอ้างว่าเป็น “หุ้นโตเร็ว” ที่มักเป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำไรโตเร็วในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็มักเป็น “เทพนิยาย” ที่เป็นเรื่องของจินตนาการ เพราะมันมักจะโตเร็วเฉพาะในช่วงเวลานั้นและเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์เอื้ออำนวย ไม่ใช่เรื่องของการโตจากพื้นฐานของบริษัทและเมกาเทรนด์ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การเติบโตเร็วก็หยุดลง กลายเป็นเติบโตธรรมดาหรือโตช้า บางบริษัทลดลงด้วยซ้ำ ดังนั้น ราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเพราะคนฟังนิยายเชื่อและแห่กันมาซื้อก็จะตกลงมาอย่างแรงเหมือนกับนางฟ้าตกสวรรค์เพราะคนต่างก็แห่ขายหุ้นทิ้ง
ในฐานะที่เป็น Value Investor การฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของบริษัทจดทะเบียนหรือเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในตลาดหุ้น เราจะต้องระมัดระวังว่ามันเป็นเรื่องที่มีความเป็นจริงสูงหรือเป็น “เทพนิยาย” ที่มีเนื้อเรื่องน่าประทับใจแต่เป็นเรื่องของจินตนาการที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย เพราะถ้าเราวิเคราะห์ผิด โอกาสที่จะเสียหายก็จะสูง พบกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค 62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก: http://bit.ly/32fIaOn
หุ้นทำกำไรและแรงขายที่ยังอยู่ในระดับสูง
ด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ไม่สดใส รวมกับความขัดแย้งด้านการค้าที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง กระตุ้นให้มีการนำเงินไปลงทุนในช่องทางที่ปลอดภัยอื่นๆเช่น พันธบัตรและทองคำ ทำให้สินทรัพย์เหล่านี้มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามข้อมูลจาก Saigon Securities Incorporation (SSI) ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี2018 จนถึงเดือนตุลาคมของปีนี้ มีการถอนเงินลงทุนจากกองทุนรวมทั่วโลกแล้วประมาณ 277 พันล้านดอลลาร์ฯ เป็นการถอนเงินทุนที่ใหญ่และยาวนานที่สุดในปีที่ผ่านมา ในขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุนรวมตราสารหนี้ (bond)...
บริษัทชั้นนำติดอันดับ Top 10 บริษัททำกำไรในเวียดนามปี2019
Petrolimex, Vinamilk, Samsung, Viettel, Vingroup, Vietjet เป็นกลุ่มบริษัทและองค์กรสำคัญที่ได้รางวัลเกียรติยศ Vietnam Profit 500
Vietnam Report เปิดเผยรายงานการจัดอันดับ Vietnam Profit 500 ประจำปี 2019 ซึ่งเป็นการรวบรวมและจัดอันดับบริษัทต่างๆที่มีผลคะแนนสูงจากหลายตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นการสร้างผลกำไรเช่น ROA, ROE, ROR, ผลกำไรก่อนหักภาษีและรายได้โดยประกอบไปด้วยอันดับTop ของบริษัทที่ทำกำไรยอดเยี่ยม...
การล่มสลายของธุรกิจครอบครัว
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 พฤศจิกายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จากประสบการณ์ของผมเองที่ได้เห็น “ความล่มสลาย” ของธุรกิจต่าง ๆ ต่อเนื่องยาวนานไม่น้อยกว่า 50 ปี ซึ่งได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเจ้าของ “ล่มสลาย” ลงตามธุรกิจนั้น ความล่มสลายที่ว่านั้น คนอาจจะมีความรู้สึกหรือคิดว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจขนาดใหญ่หรือคนระดับเจ้าสัวหรือเศรษฐีใหญ่ที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่จริง ๆ แล้วมันรวมถึงการล่มสลายของธุรกิจขนาดเล็กที่เป็น SME หรือธุรกิจขนาดกลางที่เป็น “กงสี” ของครอบครัวที่มักจะมีพี่น้องหลายคนเป็นเจ้าของร่วมกันด้วย
ในบทความนี้ผมจะพูดถึงความคิดของผมที่มีต่อธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่เป็น “ธุรกิจครอบครัว” ที่ก่อตั้งและดำเนินการมานานอย่างน้อยน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่อาจจะทำมาเกิน 20 ปี และบริหารโดยผู้ก่อตั้งหรือสมาชิกที่เป็นลูกหลานของผู้ก่อตั้งธุรกิจ เขาเหล่านั้น รู้จักและคุ้นเคยกับธุรกิจเป็นอย่างดี “แทบจะหลับตาทำ” ได้ ความคิดที่จะปรับเปลี่ยนหาวิธีทำงานแบบใหม่นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญรีบด่วน ว่าที่จริงก็ไม่รู้จะปรับอย่างไรเพราะว่าก็ทำมานานมีกำไรอยู่ได้และธุรกิจก็โตมาเรื่อย ๆ ฐานะของผู้บริหารและที่บ้านเองก็ “ร่ำรวย” พอสมควรสามารถใช้ชีวิตหรูหราและมีความสุขไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาส่วนใหญ่อาจจะกำลังตกอยู่ในภาวะที่ “อันตราย” โดยไม่รู้ตัว อันตรายที่ว่านั้นก็คือ การที่ธุรกิจของตนอาจจะ “ล่มสลายลง” หรือค่อย ๆ ตกต่ำลงอย่างช้า ๆ จนต้องปิดตัวลง ความมั่งคั่งที่มีอยู่นั้น พอถึงเวลาอีก 10-20 ปีข้างหน้าอาจจะสูญหายไป ตัวเขาหรือลูกหลานอาจจะไม่ใช่คนรวยอีกต่อไป และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ปรับตัวเพื่อหนีให้พ้นจากสภาวะนั้นในช่วงเวลาที่ยังทำได้
เหตุผลก็คือ ธุรกิจที่อยู่มานานแล้วนั้น ถ้าเศรษฐกิจยังเติบโตดี ความต้องการสินค้าและบริการยังเพิ่มขึ้นและไม่มีผลิตภัณฑ์แบบใหม่มาทดแทน พวกเขาก็จะยังสามารถขายสินค้าเพิ่มขึ้นและมีกำไรเพิ่มขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จก็จะสามารถเติบโตและร่ำรวยขึ้น และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ และธุรกิจภาคส่วนที่เป็น “ดารา” และก่อให้เกิด “เศรษฐี”จำนวนมากในเมืองไทยก็คือ “โรงงานผลิตสินค้า” โดยเฉพาะที่เป็นผู้ส่งออกที่ประเทศไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ นอกจากโรงงานแล้ว ภาคเศรษฐกิจที่เป็นผู้ค้าขายในประเทศเองก็เติบโตขึ้นตามความมั่งคั่งของคนในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่ทำธุรกิจค้าขายรายใหญ่ระดับจังหวัดหรือภาคก็กลายเป็นกลุ่มคนร่ำรวยของสังคมด้วย
แต่ธุรกิจทุกอย่างนั้นก็มีวงจรชีวิตของมัน กล่าวคือมีช่วงเวลาของการเติบโตอย่างช้า ๆ เติบโตเร็ว อิ่มตัว และสุดท้ายก็ตกต่ำลงและอาจจะตายในที่สุด ธุรกิจครอบครัวเองก็ไม่เว้น ในอดีตนั้น วงจรแต่ละช่วงอาจจะยาว ธุรกิจโตไปได้เป็นสิบหรือหลายสิบปี อานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจไทยที่เติบโตสูงต่อเนื่องยาวนานและไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์แบบใหม่มาทดแทนของเดิม อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังพบเห็นตลอดมาว่าธุรกิจครอบครัวที่เคยเข้มแข็งและเจ้าของมั่งคั่งมานานต่างก็ล่มสลายลงเนือง ๆ สมาชิกในครอบครัวกลายเป็นแค่ “คนชั้นกลาง” เหมือนกับตัวผมเองที่เป็นคนกินเงินเดือนมาตลอดชีวิต เหตุผลหลักก็คือ ธุรกิจที่เขาทำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก คู่แข่งใหม่แข็งแกร่งกว่าเขาเพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่และบ่อยครั้งก็มาจากต่างประเทศ
ในช่วงหลัง ๆ ประมาณซัก 10 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าวงจรของธุรกิจต่าง ๆ จะสั้นลงมากอานิสงค์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะในด้านของดิจิตอลซึ่งทำให้ธุรกิจ “ดั้งเดิม” ทั้งหลายต้องปรับตัวเพื่อรับกับการแข่งขันใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนปรับตัวไม่ทัน นั่นประกอบกับการที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ รวมถึงการที่คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและอัตราการเกิดน้อยลงมากทำให้ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากตกอยู่ในอันตรายจากการที่จะถูก Disrupt ได้ และนี่ก็คือความเสี่ยงหรืออันตรายที่ผมพูดถึงและผมเชื่อว่าธุรกิจครอบครัวจำนวนมากก็อาจจะยังไม่ตระหนักและรีบปรับตัวให้เร็วก่อนที่จะสายเกินไป
ในฐานะที่เป็น “มนุษย์หุ้น” ปัญหาอะไรต่าง ๆ ผมก็มักจะพยายามแก้ไขโดยหุ้น การวิเคราะห์ปัญหาของผมก็คือ คนที่ทำธุรกิจครอบครัวนั้นก็คือคนที่ถือหุ้นของบริษัทหรือกิจการนั้น 100% และถ้ามีเพียงหนึ่งธุรกิจก็คือเขา “ถือหุ้นเพียงตัวเดียว” ในพอร์ต ไม่มีการกระจายความเสี่ยงเลย คนที่ถือหุ้นเพียงตัวเดียวนั้น บ่อยครั้งก็อาจจะรวยไปเลยถ้าหุ้นตัวนั้นดีสุดยอดและวิ่งขึ้นไปสูงมาก แต่ถ้าเกิดปัญหาหรือซื้อหุ้นผิดตัว หรือพื้นฐานหุ้นแย่ลงมาก การขาดทุนและหายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้ และนี่ก็อาจจะคล้าย ๆ กับหุ้นที่ถูก Disrupt ไปแล้วหลาย ๆ ตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ลองคิดดูว่าถ้าเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่สามารถขายได้เลยแล้วถูก Disrupt มูลค่าหุ้นจะเหลือเท่าไร? บางคนอาจจะคิดว่าทรัพย์สินโดยเฉพาะที่เป็นที่ดิน อาคาร โรงงานและเครื่องจักรนั้นมีมูลค่าเป็นร้อย ๆ ล้านบาทซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวยที่ครอบครัวมีอยู่นั้นไม่เหมือนหุ้นที่หมดค่าได้ง่าย ๆ แต่นั่นเป็นแค่ “ภาพลวงตา” เพราะในยามที่ธุรกิจไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว ทรัพย์สินที่มีอยู่ยกเว้นที่ดินก็อาจจะกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่ไม่มีค่าอะไรเลย
ทางแก้ของผมก็คือ คนที่ทำแต่ธุรกิจครอบครัวนั้นจะต้องเริ่มกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่ไปตั้งธุรกิจใหม่อีกแห่งหนึ่งแม้ว่านั่นก็อาจจะช่วยได้บ้าง แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ นำเอาเงินหรือความมั่งคั่งที่เก็บสะสมมายาวนานไปลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจหลากหลาย ธุรกิจหนึ่งก็อาจจะเป็นธุรกิจที่เราทำอยู่และเรารู้จักดีมากเพราะเป็นคู่แข่งกันในท้องตลาด เลือกเอาบริษัทที่เราคิดว่าแข็งแกร่งและเป็นผู้ชนะและอาจจะเป็นตัวที่กำลังทำลายธุรกิจครอบครัวของเราด้วย โดยที่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนั้นเราก็จะต้องดูว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือยุติธรรมไหม กำไรและปันผลของมันดูดีกว่าการลงทุนในธุรกิจของครอบครัวที่ทำอยู่ไหม
เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นแท้ที่จริงก็คือการทำธุรกิจโดยการเป็นเจ้าของธุรกิจบางส่วนแล้ว เราก็ควรจะต้องคิดต่อไปว่าการมีแค่ 2 ธุรกิจก็อาจจะไม่พอในยามที่วงจรธุรกิจเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน เราอาจจะคิดว่าน่าจะมีซัก 3 หรือ 4 หรือ 5 ธุรกิจ แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรมีธุรกิจจำนวนมากเกินไปจนเราไม่สามารถรู้หรือติดตามได้ว่าธุรกิจกำลังอยู่ในวงจรไหนของการเติบโตซึ่งจะทำให้เราลงทุนในธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าและทำให้เราเสียหายได้ การซื้อหุ้นหลายตัวมากเกินไปนั้น ในที่สุดเราก็มักจะขายไปและซื้อหุ้นตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นว่าเรากำลัง “เล่นหุ้น” ซึ่งก็คือเราไม่ได้คิดถึงพื้นฐานของการเป็นธุรกิจเลย เราเอาแต่เก็งว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นแข่งกับคนอื่นซึ่งจะไม่ใช่การแก้ปัญหาว่าธุรกิจครอบครัวกำลังอยู่ในอันตรายและมันอาจจะกระทบกับความมั่งคั่งของตนเองและครอบครัวได้
ในกรณีที่เรา “วิเคราะห์หุ้นไม่เป็น” ทางแก้ปัญหาก็คือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นกองทุนอิงดัชนีหลัก ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ นี่คือการที่เราเลือกลงทุนในหุ้นหรือกิจการ “ชั้นนำ” ที่สุดของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนและรักษาความมั่งคั่งของตนและครอบครัวไว้ก็จะมีสูงกว่าการทำธุรกิจครอบครัวเพียงอย่างเดียวซึ่งก็เหมือนกับการมีหุ้นเพียงตัวเดียวและอาจจะเป็นหุ้นที่กำลังถูก Disrupt ด้วย
แน่นอนว่าการปรับตัวโดยการเปลี่ยนธุรกิจหรือเลิกธุรกิจที่เป็นโรงงานใหญ่โตที่ครอบครัวทำมานานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทรัพย์สินอาจจะ 70-80% ของครอบครัวอาจจะอยู่ในธุรกิจที่ไม่สามารถขายออกไปได้แม้ว่าจะอยากทำ เจ้าของธุรกิจจำนวนมากนั้นมักจะเป็น “นักสู้” ที่เมื่อธุรกิจมีปัญหาก็จะต้องกอบกู้ซึ่งบ่อยครั้งก็จะต้อง “เพิ่มเงิน” ลงไป ในเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้น บางทีเราก็เรียกว่า “ซื้อถัว” คือหุ้นมันตกลงมาต่ำกว่าทุนแล้วเราคิดว่าในที่สุดหุ้นจะปรับตัวกลับขึ้นมาเราก็เลยซื้อหุ้นเพิ่ม ผมเองคงบอกไม่ได้ว่าควรทำหรือไม่ เจ้าของธุรกิจจะต้องวิเคราะห์เองว่าคุ้มไหม บางทีเขาควรจะปรับเปลี่ยน Mindset หรือความคิดจากการเป็นนักสู้มาเป็น “นักเลือก” บ้างว่า เราไม่ควรจะต้องสู้ทุกครั้งโดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าหนทางประสบความสำเร็จนั้นน้อยลงมากในภาวการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ในกรณีแบบนี้ บางทีการ “Stop Loss” หรือขายทิ้งหรือหยุดการเพิ่มเงิน แล้วนำเงินนั้นไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นและในธุรกิจอื่นอาจจะดีกว่า
———-พบกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค 62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก: http://bit.ly/32fIaOn
เวียดนามกับการลงทุน
เวียดนามและเศรษฐกิจแบบเปิดซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงมานานหลายปี ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติเข้าสู่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ให้ความสังเกตว่า ผู้ลงทุนในอาเซียนกำลังมุ่งตรงมาสู่เวียดนามโดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจาก เกาหลีใต้, ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจกับ FMCG ,อสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม, สำนักงานสำหรับเช่า และพลังงาน ตามรายงานจาก VnDirect HCM City กลุ่มการลงทุน Temasek ของสิงคโปร์...
เลือกหุ้นพลาด… ในเรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะชอบพูด-ชอบฟัง แต่เรื่องของความสำเร็จ ความผิดพลาด ความล้มเหลว มักจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากพูด-ไม่อยากฟัง
เลือกหุ้นพลาด
การลงทุนหุ้นเวียดนามนั้น แม้แต่เซียนวีไอไทยยังพลาดได้!
ในเรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะชอบพูด-ชอบฟัง แต่เรื่องของความสำเร็จ ความผิดพลาด ความล้มเหลว มักจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากพูด-ไม่อยากฟัง
แต่!
การเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น โดยเฉพาะผ่าน Case study จริงในตลาดหุ้นเวียดนามนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราเข้าใจตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น รวมทั้งมีความรู้ป้องกันไม่ให้เราพลาดตาม จากเงินของเราจริงๆ
มาร่วมฟัง Case study ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนามจากปากนักลงทุนวีไอชั้นนำว่า หุ้นอะไร?...
ประธานบริษัท Vingroup ติด Top 50 ผู้ทรงอิทธิพลด้าน Theme Park
Pham Nhat Vuong ประธานบริษัท Vingroup มหาเศรษฐีและผู้บริหารกิจการของเวียดนามคนแรกที่ติดอันดับTop 50 ผู้ทรงอิทธิพลด้าน Theme Park
Pham Nhat Vuong ประธานบริษัท Vingroup เป็นมหาเศรษฐีและผู้บริหารบริษัทชาวเวียดนามคนแรกที่ติดอันดับTop 50 ผู้ทรงอิทธิพลด้าน Theme...
หุ้นร้าว. ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่คนแก่ตัวลงและโตช้าลงมาก ดังนั้น หุ้นที่แพงจัดมาก ๆ นั้น น่าจะมีโอกาสเป็นหุ้นร้าวได้
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 พฤศจิกายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นร้าว
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการประกาศงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่นักลงทุนต้อง “ลุ้น” กันว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่นั้นจะประกาศผลงานที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมากน้อยแค่ไหน เพราะผลงานที่ดีขึ้นโดยเฉพาะที่ดีเกินกว่าที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม ผลงานที่น่าผิดหวังจะทำให้หุ้นตกลง ในกรณีของหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่ไม่มีนักวิเคราะห์ติดตาม กำไรที่ดีขึ้นก็มักจะเป็นสัญญาณให้นักเก็งกำไรหรือ “นักปั่นหุ้น” เข้าไปไล่ราคาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหุ้นที่ตนเองถือ สำหรับ VI การติดตามผลประกอบการรายไตรมาศเป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะช่วยให้เราวิเคราะห์หุ้นที่ตนเองถือต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นเวลาที่จะติดตามดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่น่าลงทุนหรือไม่
ไตรมาศ 3 ปี 2562 นี้ดูเหมือนว่าการประกาศงบการเงินจะมีผลกระทบกับหุ้นโดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กหลาย ๆ ตัวที่เคยเป็นหุ้นเด่นและนักเล่นหุ้นนิยมเล่นกันมาก หลังจากประกาศ หุ้นเหล่านั้นก็ตกลงมาน่าจะประมาณ...