ลงทุนในเวียดนาม

ผมยังคงไป ลงทุนในเวียดนาม แน่นอน…..เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย…

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       7 กันยายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย ​คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตอบให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังก็คือ  เราจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหน และอย่างละประมาณเท่าไร?  นี่คือคำถามสำคัญ ข้อแรกที่จะบอกว่าเราจะมีความเสี่ยงแค่ไหน   ​โดยหลักการแล้ว  ถ้าเราลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรือน้อยอย่าง  เช่น  ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว  ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นบวกกับพันธบัตร  เป็นต้น  แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็อาจจะสูงกว่าด้วย  สำหรับผมซึ่งเติบโตมาด้วยหุ้นและคิดว่าสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่ปลอดภัยพอสมควร  ผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทบจะอย่างเดียว  ทรัพย์สินอื่นที่มีรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งทั้งหมด  นี่ไม่นับเงินสดที่บางครั้งก็มีมาก...

ทำความรู้จักหุ้นในดัชนี VN30 ที่ DR “E1VFVN3001”

0
ทำความรู้จักหุ้นในดัชนี VN30 ที่ DR “E1VFVN3001” ไปอ้างอิง ผ่านการลงทุนใน ETF E1VFVN30 โดยนักลงทุนสามารถซื้อได้ในตลาดหุ้นไทย ชื่อหุ้นคือ E1VFVN3001 เลย กันดีกว่าค่ะว่าประกอบไปด้วยหุ้นอะไรบ้าง…ที่น่าสนใจคือในดัชนี VN30 ประกอบไปด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมถึง 11 กลุ่ม! ทำให้เราสามารถกระจายการลงทุนได้มากจริงๆ ค่ะ 1. Consumer Staples VNM...

ผมก็ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่เหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว

0
สังคมคนแก่กับการลงทุน โลกในมุมมองของValue Investor  31 สิงหาคม62 ดร.นิเวศน์เหมวชิรวรากร ในฐานะของVI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่ผมจะต้องวิเคราะห์ก็คือภาพของประเทศ ผู้คน ภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในตลาดหุ้นที่ผมจะลงทุนว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต สิ่งที่ผมจะต้องดูเป็นพิเศษก็คือ เศรษฐกิจจะโตขึ้นมากน้อยแค่ไหน บริษัทจะมีรายได้และกำไรมากขึ้นเท่าไรและบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะดี และกลุ่มไหนจะแย่ในอีกซัก10 ปีข้างหน้าและต่อจากนั้น สำหรับประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยนั้น ช่วงที่ผมเริ่มลงทุน ในตลาดเต็มตัวเมื่อกว่า20 ปีโดยเฉพาะหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี2540 นั้น ผมไม่ได้กังวลกับ“ภาพใหญ่” ของประเทศไทยเลยทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทย “กำลังล่มสลาย” และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในยามที่เกือบทุกบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกำลังจะล้มละลาย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงมาอย่างหนักและการส่งออกสินค้าที่ถดถอยลงอย่างแรงผ่านไป มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างแรง การผลิตถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น บวกกับกำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือและค่าแรงต่ำซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลกและอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงไปมาก บวกกับความต้องการบริโภคของคนในประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นอานิสงค์จากรายได้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมากซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่ไม่เคยเป็นหนี้หรือมีหนี้น้อยสามารถกู้เงินใช้จ่ายได้สูงกว่าปกติมาก ผลก็คือ เศรษฐกิจกลับมาเติบโตค่อนข้างแรงและบริษัทโดยเฉพาะที่เน้นการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นมหาศาล บริษัทเหล่านี้กลายเป็นหุ้นจดทะเบียนที่นำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แต่5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างที่พูดถึงนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่มากในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคเบบี้บูมซึ่งรวมถึงผมเองนั้นเริ่มถึงเวลาเกษียณอายุคือ60 ปี ถ้าผมจำไม่ผิด เด็กที่เกิดในช่วงเวลานั้นน่าจะมีเกือบล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ย เพื่อนๆรุ่นเดียวกับผมนั้นมักจะมีพี่น้องประมาณ5-6 คน ผมซึ่งมีพี่น้องเพียง3 คนนั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้น การที่พวกเขาบางคนเกษียณอายุจึงทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เกิดและจะเกิดมาแทนที่นั้น กำลังลดลงอย่างแรง จากปีหนึ่งเกิดล้านคนก็ลดลงเหลือปีละ700,000 คนและคงจะลดลงไปเรื่อยๆ อีกนาน ครอบครัวของคนไทยรุ่นใหม่นั้นมักจะต้องการมีลูกน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ1.5 คนจำนวนมากบอกว่าไม่ต้องการมีลูกเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขคนไทยที่เป็นแรงงานหรือทำงานนั้นเพิ่มขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ และภายใน10 ปีก็จะลดลง ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมคนแก่แบบสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นมากว่า10-20 ปีแล้ว ใน“สังคมคนแก่” อย่างที่ญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศเป็นนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะถดถอยลงอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นน่าจะแทบไม่โตเลยเป็นเวลาน่าจะเกิน20 ปีแล้ว เหตุผลนั้นชัดเจนเพราะว่าคนน้อยลงก็น่าจะผลิตน้อยลง เช่นเดียวกับที่คนแก่ตัวลงก็มักจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มากนัก บางทีแค่ประคองให้มีประสิทธิภาพเท่าเดิมก็ทำได้ยากแล้ว ดังนั้น สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็วอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ห้าถึงหกปีที่ผ่านมาที่เราโตแค่3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยน่าจะเป็นสัญญาณว่าสังคมเราเริ่มแก่ตัวลง มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเมืองหรืออะไรในประเทศไทยเลยก็ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโตช้าลง—ในระยะยาว  ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจเองนั้นก็มักจะเติบโตช้าตามกันไป ตัวอย่างจากญี่ปุ่นก็เห็นได้ชัดว่าดัชนีตลาดหุ้นนิเกอินั้น Sideway มาเป็นสิบๆปีและอยู่ที่ประมาณ20,000 จุดในช่วงเร็วๆ นี้และไม่เคยขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่38,000 จุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ30 ปีมาแล้ว ดังนั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ผมคิดว่าเราคงจะหวังให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตสูงแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้านั้น ผมก็คิดว่าจะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เหตุผลก็คือ โรงงานโดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงนั้น จำเป็นต้องใช้คนมากและจะต้องมีค่าแรงต่ำเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราขาด ดังนั้น คนที่คิดว่าเราจะมีการขยายตัวของการลงทุนเพื่อการผลิตมากขึ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การผลิตสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตมากนั้นผมคิดว่าจะต้องคิดใหม่ จริงอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น การลงทุนก็อาจจะมากขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันคงไปไม่ไหว ไทยไม่น่าจะสามารถเติบโตทางด้านการผลิตได้เร็วและมากอีกต่อไป  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าจะเป็นทางออกสำหรับสังคมที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาคส่วน จำนวนคนที่เกิดน้อยลงมากในช่วงก่อนหน้านี้จนถึงขณะนี้ก็ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแล้วเช่นเรื่องของการศึกษา ซึ่งเราได้เห็นการปิดตัวของโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ที่ยังไม่ปิดก็อยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะถึงจุดใกล้วิกฤติโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน  โชคดีที่การท่องเที่ยวของไทยนั้นเติบโตดีอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของคนจีนและอินเดียที่อยู่ใกล้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่เติบโตเพื่อที่จะรองรับสังคมของคนที่แก่ตัวมากขึ้น นี่ก็คงคล้ายๆกับญี่ปุ่นที่ขณะนี้ต้องอาศัยการท่องเที่ยวมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนจากที่ในอดีตนั้นค่อนข้าง“ปิด”  ไม่ยอมให้ใครเข้าไป “วุ่นวาย” ในประเทศ อสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกต่อไปในยามที่จำนวนคนเพิ่มน้อยหรือลดลง ความต้องการที่ลดลงบวกกับ“สต็อก” ของบ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากบ้านนั้นสร้างเสร็จแล้วก็สามารถอยู่ได้เป็นหลายๆ สิบปี ดังนั้น ถ้าเราเห็นอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงช่วงนี้ก็อย่าไปหวังว่ามันจะ“ฟื้นขึ้นแรง” ในปีต่อๆ ไป มันอาจจะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ตลอดไปแล้วก็ได้ และนี่ก็อาจจะรวมไปถึงห้างร้านและช็อปปิ้งมอลทั้งหลายที่ต้องอาศัยคนเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งถ้าคนที่มีเงินและพร้อมจับจ่ายสินค้ามีน้อยลงเพราะคนแก่ตัวลงและคนเกิดใหม่มีน้อยลง การเติบโตของร้านค้าเหล่านั้นก็จะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงตลอดไป แน่นอนว่าคนที่เข้าห้างบางส่วนก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น แต่ที่จะสามารถทดแทนคนในประเทศเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  อาจจะยกเว้นก็คือร้านค้าที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริงๆที่อาจจะยังอยู่ไปได้เรื่อยๆ ตราบที่การท่องเที่ยวของเรายังดีอยู่  เรื่องของInnovation หรือการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือความคิดใหม่ๆ ต่างๆ ที่เราเชื่อกันว่าจะเป็นสิ่งที่นำเราให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปในทางเศรษฐกิจเองนั้น ผมก็คิดว่าทำได้ไม่ง่ายเนื่องจากจำนวนคนรุ่นหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นและทำธุรกิจStartup มีน้อยลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของสังคมที่ยังถูกครอบงำโดยความคิดของคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนมากและยังเป็นผู้นำทางสังคมและการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้สังคมไทยยังเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมสูง คนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดนอกกรอบในขณะที่ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมจะได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นน้อย และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็น“ยูนิคอร์น” เลย ทั้งๆที่ระดับการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นอยู่เหนือกว่าอีกหลายๆ ประเทศหลักในอาเซียน และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มานานมากหลังจากยุค“วอล์คแมน” ของโซนี่ทั้งๆที่เป็นประเทศยิ่งใหญ่อันดับ2 และ3 ของโลกมานาน ทั้งหมดนั้นก็คือปัญหาของความแก่ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร ในด้านของส่วนตัวเองนั้น สิ่งที่ทำก็คือการพยายามรักษาสุขภาพและหาวิธี“ลดอายุ”  ในส่วนของการลงทุนเองนั้น ผมก็กระจายการลงทุนบางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว   ..... ————————————- สนใจ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว    อ่านต่อ นักลงทุนสนใจหุ้นกลุ่มไหนในประเทศเวียดนาม เศรษฐกิจเวียดนามดีฝ่าปัจจัยบาทแข็งไหวไหม ทริปสัมมนา TOUR LEARN EARN MORE IN HO CHI MINH
เวียดนามรวย

เวียดนามรวย เที่ยวไทยมากสุด

0
Agoda ผู้ให้บริการจองที่พักออนไลน์ชั้นนำได้ใช้ข้อมูลการจองห้องพักสำหรับการเดินทางระหว่างวันที่ 31 ส.ค. ถึงวันที่ 3 ก.ย. เพื่อประเมิน ปลายทางต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 10 อันดับแรกของนักเดินทางชาวเวียดนามในช่วงวันหยุดวันชาติ (ตรงกับวันที่ 2 ก.ย.) พบว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือสิงคโปร์ และบาหลี ในปี 2561 มีชาวเวียดนามราว 1 ล้านคน เดินทางเยือนไทย...
ดีลแห่งทศวรรษ

M&A ในเวียดนาม

0
10 ดีลแห่งทศวรรษ ของเวียดนาม M&A ในเวียดนามนักลงทุนไทยมาแรงสงสุด ปิดจ๊อบติด 5 ดีล จาก 10 ดีลแห่งทศวรรษ ในตำนาน M&A แห่งทศวรรษของเวียดนาม ได้แก่ ดีล 1. ThaiBev -M&A- Sabecoดีล 2. Central Group -M&A- Big Cดีล 3.Singha -M&A-...
ราคาหุ้น

ปัจจัยขับเคลื่อน ราคาหุ้น

0
โลกในมุมมองของValue Investor      24 สิงหาคม62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมอยู่กับตลาดหุ้นและการลงทุนมานาน ศึกษาและพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนโดยการอ่านหนังสือสารพัดและสังเกตเหตุการณ์และพฤติกรรมของผู้คนในสังคมรวมถึงตลาดหุ้นเพื่อที่จะหาวิธีการลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้นก็ยังคอยติดตาม ราคาหุ้น จำนวนมากที่ซื้อขายกันในแต่ละวันถ้าว่างและสะดวกที่จะทำ ซึ่งทำให้คิดว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็กถึงกลางนั้นมักจะมีการเคลื่อนไหวในแต่ละวันตามปัจจัยหรือเหตุการณ์หรือข่าวบางอย่างที่เกิดขึ้น ดังนั้น ถ้าใครรู้ข้อมูลเหล่านั้นก่อนหรือประเมินได้ว่ามันจะกระทบกับราคาหุ้นได้มากน้อยแค่ไหน เขาก็อาจจะสามารถเทรดหรือซื้อขายหุ้นทำกำไรได้ อย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆ แต่นี่ก็ขอบอกเสียก่อนว่าไม่ใช่วิธีการหรือหลักการลงทุนของผมเองซึ่งเน้นการลงทุนระยะยาวแบบVI ซึ่งเน้นปัจจัยบางอย่างที่เป็นเรื่องระยะยาวซึ่งส่วนมากก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูด ปัจจัยที่น่าจะมีผลขับเคลื่อนราคาหุ้นโดยเฉพาะในระยะสั้นนั้นคร่าวๆ ผมแบ่งเป็น3-4 กลุ่มคือ หนึ่งเรื่องของปัจจัยทางด้านภาพใหญ่ของเศรษฐกิจการเงิน การเมือง สังคมและอื่นๆ ของประเทศและของโลก สองคือผู้เล่นหรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สามเป็นเรื่องของตัวบริษัทและกิจการ และสุดท้ายเป็นเรื่องของตัวหุ้นเอง ภาพใหญ่ที่มักจะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้แทบจะทุกครั้งที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางโดยเฉพาะสหรัฐและของไทยเอง ยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผิดจากที่ผู้คนคาด ผลกระทบก็มักจะแรงพอสมควร นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า สถานการณ์รุนแรงทางด้านการเมืองโดยเฉพาะของไทย และที่สำคัญวิกฤติทางการเงินของประเทศ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มักจะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ บางครั้งอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์หรือการที่จะ “รู้ก่อน” ก็ทำได้ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้ารู้และเป็นเรื่องสำคัญ เช่น รู้ว่ากำลังจะมีการเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นหรือมีมาตรการบางอย่างเช่น ควบคุมเงินลงทุนจากต่างประเทศ แบบนี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ขายหุ้นทิ้ง เพราะราคาหุ้นทั้งตลาดอาจจะตกลงมาแบบ“แพนิก” ได้ กลุ่มที่สองก็คือผู้เล่นในตลาด นี่ก็มักจะเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ไม่น้อยโดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กหรือFree Float ต่ำ เช่น ถ้ามีผู้เล่นรายใหญ่เช่นกองทุนกำลังเข้าซื้อหุ้นขนาดเล็กหรือกลาง-เล็กบางตัว นี่ก็มักทำให้หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นไป บางครั้งรุนแรงได้ เช่นเดียวกับที่ “นักลงทุนรายใหญ่”  เข้าไปเก็บหุ้นขนาดเล็กจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีรายงานออกมาว่าถือหุ้นเกิน5 หรือ10%  หรือปรากฏชื่อว่าถือหุ้นเกิน0.5% เวลาปิดสมุดทะเบียน แบบนี้บ่อยครั้งก็อาจจะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้ ในอีกด้านหนึ่ง เวลานักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้นจากที่ไม่เคยวิเคราะห์หรือเคยแนะนำให้ถือหรือขาย แบบนี้ก็อาจจะมีผลต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลานักวิเคราะห์บอกให้ขายหุ้นจากที่เคยให้ซื้อ แบบนี้ก็มักจะทำให้หุ้นลง เจ้าของหุ้นก็มักจะมีบทบาทที่สามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ไม่น้อย บางทีแค่ออกมาให้ข่าวดีๆ ว่าผลประกอบการจะโดดเด่นหรือมีแผนขยายตัวอย่างแรงออกไปสู่ต่างประเทศ หรือออกมาบอกว่าบริษัทกำลัง “ฟื้นตัว” จากภาวะตกต่ำรุนแรง แบบนี้ก็สามารถขับเคลื่อนหุ้นไปได้แรงทั้งที่ทุกอย่างที่พูดนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นและจะเกิดได้มากน้อยแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ปัจจัยกลุ่มที่สามก็คือตัวบริษัทหรือกิจการซึ่งจำนวนมากเป็นเรื่องของ “พื้นฐาน” แต่บางทีก็เป็นแค่“สถานการณ์” แต่ถ้าบริษัทประกาศผลประกอบการที่มีกำไรดีขึ้นหรือดีขึ้นมาก ส่วนใหญ่แล้วราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น บางทีอย่างแรง แต่ถ้าประกาศกำไรลดลง แบบนี้หุ้นก็มักจะตกลงมา โดยที่คนไม่สนใจว่ากำไรที่เพิ่มหรือลดนั้นมาจากอะไร เป็นเรื่องของสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยหรือเกิดจากความสามารถในการทำกำไรเพราะทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันมากในด้านของพื้นฐาน และก็เช่นเดียวกัน คนก็ไม่สนใจว่าหุ้นมันแพงหรือถูกเกินไปหรือไม่ ข่าวของบริษัทบางอย่างเช่น เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่กำลังจะเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลซึ่งคนมักจะเชื่อกันว่าจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์ ได้งานหรือสามารถค้าขายได้มากขึ้น แบบนี้ก็สามารถทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้เหมือนกัน บางทีก็เป็นเรื่องว่าบริษัทในกลุ่มเช่น รับเหมาก่อสร้างงานสาธารณูปโภคจะได้ประโยชน์จากการที่จะมีงานมากขึ้นเมื่อได้รัฐบาลใหม่ แบบนี้ก็มักจะกระตุ้นให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ เช่นเดียวกับหุ้นค้าปลีกสินค้าจำเป็นที่ราคาหุ้นดีขึ้นเนื่องจากจะมีการ“อัดฉีด” ให้คน“รากหญ้า” มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เป็นต้น ข่าวของบริษัทยังมีอีกมาก เช่น การได้งานใหม่ที่เป็นโครงการ การได้รับการต่อสัญญาสัมปทานที่จะทำให้บริษัทจะได้ประโยชน์ไปอีกหลายสิบปี การทำM&A หรือซื้อโครงการเช่น โรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งหมดนั้นก็มักจะทำให้หุ้นขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าที่ซื้อมานั้นคุ้มค่าหรือได้กำไรมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายก็คือตัวหุ้นเอง นี่ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยาที่มีอิทธิพลสูงต่อราคาหุ้น ถ้าราคาหุ้นตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไปแรงเป็นระยะ โดยเฉพาะมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่สูง แนวโน้มระยะสั้นๆ ก็คือ ราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไปได้อีก นี่จริงๆ แล้วก็ออกแนวการเล่นหุ้นแบบ “เทคนิค” ที่บางคนบอกว่าไม่ต้องคิดถึงเหตุผล บางทีเหตุผลอาจจะมาทีหลัง บางครั้งหุ้นทั้งตลาดโดยเฉลี่ยหรือดัชนีหุ้นเองนั้นก็มักจะตกลงมาแรงตามดัชนีหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา ดังนั้น คนเล่นหุ้นระยะสั้นก็มักจะต้อง“ดูดาว” ตอนกลางคืนเพื่อที่จะรู้ว่าวันรุ่งขึ้นหุ้นจะขึ้นหรือตก  หุ้นบางตัวนั้น เวลาขึ้นลงมักจะมีบ่อยครั้งที่ขึ้นลงแรงมากทั้งๆที่ไม่ได้มีข่าวอะไรพิเศษ บางทีปริมาณการซื้อขายก็ไม่มาก แบบนี้ ถ้ามีข่าวอะไรเข้ามา ราคาหุ้น ก็อาจจะกระชากแรงกว่าปกติ ผมเองคิดว่าอาการแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องหุ้นที่อาจจะถูกCorner หรือ“ต้อนเข้ามุม”  หุ้นอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยที่สามารถควบคุมราคาให้ไปในทิศทางที่ต้องการได้ หรือพวกเขาต่างก็มีมุมมองไปในทางเดียวกัน ผลก็คือ เวลามีการซื้อเข้ามาเพิ่มโดยใครก็ตาม ราคาก็วิ่งแรงกว่าปกติมาก หรือเวลาที่พวกเขาขาย ราคาก็ดิ่งได้ง่ายๆ  ทั้งหมดนั้นก็เป็นข้อสังเกตของผมที่เห็นและติดตามหุ้นมานาน แน่นอนว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงอาจจะ10 ปีที่ผ่านมา ในอดีตก่อนหน้านั้นหรือในอนาคตข้างหน้า มันก็อาจจะเปลี่ยนไป ทั้งหมดนั้นผมคิดว่าขึ้นอยู่กับลักษณะของตลาดหุ้นและนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาด การเล่นหุ้นหรือแม้แต่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเองนั้น ผมคิดว่าการเข้าใจว่าอะไรหรือปัจจัยใดเป็นตัวขับเคลื่อนหุ้นน่าจะมีประโยชน์แม้ว่าเราในฐานะของVI อาจจะไม่ได้นำมาใช้เองก็ตาม อ่านบทความ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร คลิก https://www.vietnamvi.com/category/ดร-นิเวศน์/

วิกฤติกำลังจะมา?

0
โลกในมุมมองของValue Investor   ดร. นิเวศน์เหมวชิรวรากร สัปดาห์ก่อนตลาดหุ้นโลกและไทยค่อนข้างผันผวน บางวันดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาถึง3%   เช่นเดียวกันตลาดหุ้นไทยบางวันก็ตกลงมาเกือบ2% ทั้งๆ ที่ในช่วงหลายปีหลังดัชนีตลาดหลักทรัพย์บ้านเราค่อนข้างมั่นคงไม่ค่อยผันผวนมากนัก ที่สำคัญ หุ้นแบ้งค์ใหญ่ซึ่งโดยปกติไม่ค่อยปรับตัวมากต่างก็ตกลงมาถึงประมาณ3% ในวันเดียว การตกลงมาอย่างหนักของหุ้นนั้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการปรับตัวของตลาดเงินและพันธบัตรที่มีการปรับลดลงโดยธนาคารกลางของประเทศต่างๆรวมถึงไทยซึ่งก็ส่งผลไปถึงตลาดการเงินด้วย เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ทำให้อัตราผลตอบแทนหรือที่เรียกว่าYield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นอายุ2 ปีลดลงมาเหลือ1.63%  ต่อปี แต่ที่ลดลงหนักยิ่งกว่าก็คือผลตอบแทนพันธบัตรอายุ10 ปีได้ตกลงมาเหลือเพียง1.62% ต่อปีซึ่งเป็นปรากฏการณ์ผิดปกติที่เรียกว่าInverted Yield Curve (IYC) ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก อาจจะ10 ปีหนอะไรทำนองนั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเกือบทุกครั้งที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นประมาณ12 เดือน เศรษฐกิจก็เกิด “วิกฤติ”  ในช่วง50 ปีที่ผ่านมา มีเพียงครั้งเดียวที่เวลาเกิดสถานการณ์ที่เรียกว่าInverted Yield Curve นี้แล้วเศรษฐกิจไม่วิกฤติ ส่วนอีก6 ครั้งนั้น เศรษฐกิจเกิดปัญหาหลังจากนั้นภายใน7-24 เดือน ดังนั้น การเกิดIYC ครั้งนี้จึงทำให้นักเศรษฐศาสตร์กังวลกันมาก และตลาดหุ้นจึงตกลงมาแรงคำถามก็คือ วิกฤติกำลังจะมาใช่ไหม?  และเราในฐานะของนักลงทุนจะทำอย่างไร? ก่อนอื่นคงต้องดูว่าIYC หรือการที่ผลตอบแทนพันธบัตรหรือการลงทุนระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรหรือการลงทุนระยะยาวนั้นมีความหมายอย่างไร? โดยปกติถ้าเราลงทุนระยะยาว เราต้องการที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น เช่น ถ้าฝากเงินออมทรัพย์หรือฝากแค่3 เดือน ผลตอบแทนก็อาจจะได้แค่1-2% ต่อปี แต่ถ้าเราฝากประจำหรือลงทุนในพันธบัตรอายุ3 ปีที่ไม่มีความเสี่ยงเหมือนกันนั้น เราก็มักจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่นอาจจะ3%  ถ้ายาวกว่านั้นเช่น10 ปี เราก็มักจะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเช่น5% ต่อปี นี่เป็นเรื่องปกติ แต่สถานการณ์IYC ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในอเมริกานั้นกลับกลายเป็นว่าถ้าเราลงทุนแค่2 ปีกลับได้ผลตอบแทนสูงกว่าลงทุน10 ปี ซึ่งเป็นเหมือนกับสัญญาณว่าในอนาคตอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนระยะสั้นจะลดลงและจะลดลงอยู่ในระดับต่ำไปอีกนานเป็น10 ปี นักลงทุนจึงยอมที่จะ“ล็อก” อัตราผลตอบแทนไว้ก่อน ว่าที่จริงผลตอบแทนพันธบัตรอายุ30 ปีของอเมริกาในช่วงนี้อยู่ที่เพียง2.015% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์และเป็นการส่งสัญญาณโดยตลาดเงินว่าผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยในอีก30 ปีข้างหน้านั้นจะต่ำมากอย่างน่าตกใจคือเฉลี่ยปีละประมาณ2% เหตุที่ผลตอบแทนในอนาคตจะต่ำมากนั้นเป็นสัญญาณว่าคนที่จะกู้เงินเพื่อลงทุนซึ่งต้องอาศัยเงินระยะยาวนั้นมีน้อยและคนที่จะปล่อยกู้หรือลงทุนมีมาก ซึ่งก็เป็นสัญญาณต่อไปว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอย ธุรกิจจะไม่ค่อยลงทุน บริษัทไม่โต กำไรไม่โตหรืออาจจะตกลง ธุรกิจบางส่วนจะล้มละลายและอาจจะก่อปัญหาให้กับสถาบันการเงิน และในที่สุดก็อาจจะกลายเป็น “วิกฤติ”  ว่าที่จริงเราก็เริ่มเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ รวมถึงไทยกำลังเติบโตน้อยลง มีการปรับเป้าหมายการเติบโตลดลงกันทั่วโลก การส่งออกติดลบ การลงทุนภาคเอกชนน้อยลง ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากประเด็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีนและโลก และไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกและไทยกำลังชะลอลงและการแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างก็ใช้“เครื่องมือ” และทรัพยากรต่างๆ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเช่น การลดดอกเบี้ยและการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบโดยรัฐกันเกือบหมดแล้วตั้งแต่ปี2008 ในช่วงวิกฤติรอบก่อน ดังนั้น การป้องกันปัญหาในรอบนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ว่าที่จริงคนที่มีชื่อเสียงทางด้านเศรษฐศาสตร์บางคนทำนายมานานพอสมควรแล้วว่าอเมริกาจะเกิดวิกฤติในปี2020 คือปีหน้าตั้งแต่เศรษฐกิจอเมริกันยังไม่มีปัญหา ยังไม่มีเรื่องสงครามการค้าและปรากฎการณ์IYC  เหตุผลผมจำไม่ได้ชัดแต่น่าจะมาจากการที่เศรษฐกิจอเมริกาไม่สมดุลเช่นการขาดดุลการค้าและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำต่อเนื่องกันยาวนานเป็นต้น แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมาจากการที่เศรษฐกิจดีต่อเนื่องมายาวนานจนเกินไปคือเกิน10 ปีซึ่งตามประวัติศาสตร์ไม่ค่อยเกิดขึ้นและมักจะจบลงด้วยการถดถอยหรือวิกฤติ ในตอนนั้นก็แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้ให้น้ำหนักมากเพราะว่าเรื่องการทำนายทายทักเรื่อง“โลกาวินาศ” นั้น มีอยู่ตลอดเวลา คนที่ได้ชื่อว่าเป็น“Doomsayer” หรือคนที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถทำนายเรื่องร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แม่นยำนั้นมีอยู่มากมายและพวกเขาก็“ทำนายอยู่เรื่อยๆ” จนคนไม่ค่อยสนใจแล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลายๆ เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็น่าจะทำให้คนหลายเริ่มสนใจและอาจจะเชื่อมากขึ้นว่า “วิกฤติกำลังจะมา” และนั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างแรงในสัปดาห์ก่อน ในฐานะของVI เราคงไม่สรุปว่าวิกฤติจะมาแน่ ความเชื่อที่ว่า “วิกฤติมักจะมาโดยที่เรามักจะไม่คาดคิดหรือไม่รู้ตัว ถ้าทุกคนคาดว่าจะเกิดมันก็คงไม่เกิดเพราะเราจะแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงก่อน”  นั้น ดูเหมือนว่าจะฝังอยู่ในความคิดของนักคิดจำนวนไม่น้อย คนมักจะพูดกันว่าในอดีตที่เกิดวิกฤติแต่ละครั้ง ก็ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นโดยไม่มี“เซียน” คนไหนบอกก่อน สำหรับประเด็นนี้ผมเองก็มีข้อถกเถียงอยู่เหมือนกัน เพราะผมเองก็เคยผ่านมาหลายวิกฤติ ผมยอมรับว่าวิกฤติซับไพร์มในปี2008 นั้น เกิดขึ้นโดยผมแทบไม่รู้ตัวเลย เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมันอยู่ไกลตัวมาก แต่วิกฤติของไทยในปี2540 ซึ่งผมเองอยู่ใน“ศูนย์กลาง” ของปัญหานั้น ผมรู้ดีมากว่ามันจะต้องเกิดก่อนที่มันจะเกิดจริงไม่น้อยกว่า1 ปี เพียงแต่ว่าเราทำอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้ และ “พูดไม่ได้” ในตอนนี้ที่เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของปัญหาและไม่มีข้อมูลที่ดีพอ เราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในที่สุดจะเกิดวิกฤติหรือไม่ แต่ด้วยปรากฎการณ์และสัญญาณที่เราเห็นอยู่หลายเรื่อง โอกาสที่จะเกิดปัญหากับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็น่าจะมีอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนนั้น เราคงไม่ได้ให้น้ำหนักว่าวิกฤติจะต้องเกิดแน่นอน เพราะถ้าคิดอย่างนั้น เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้งหมดซึ่งไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเลย  สิ่งที่ควรจะทำก็คือ เตรียมปรับพอร์ตการลงทุนในลักษณะDefensive หรือแนวอนุรักษ์นิยมที่อาจจะไม่ได้ถือหุ้น100% และหุ้นที่ถืออยู่นั้นจะไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากเกินไป ราคาหุ้นก็ไม่ควรแพง เพราะถ้าเกิดวิกฤติจริง ราคาอาจจะตกลงมาได้มาก ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ วิกฤติอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นยาวนาน ดังนั้น ควรเลือกหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้ดีพอสมควรแม้ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ การได้รับปันผลในยามที่หุ้นตกลงมาหรือภาวะตลาดซบเซานั้นผมคิดว่าจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น  อีกประการหนึ่งก็คือ หุ้นที่ยังสามารถจ่ายปันผลได้ดีนั้นก็คือกิจการที่แข็งแกร่งและไม่ล้มหายตายจากไปง่ายๆ และพร้อมกลับมาเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อวิกฤติผ่านไป คำถามสุดท้ายก็คือ ถ้าเราค่อนข้างมั่นใจว่าปัญหาคงจะมีแน่แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะไม่วิกฤติ ทำไมเราไม่ถือเงินสด?  คำตอบของผมก็คือ เงินสดนั้นก็คือการลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนน้อยมากน่าจะแค่ไม่เกิน1-2% ต่อปีและจะน้อยต่อไปอีกน่าจะเป็น10 ปีขึ้นไป ดังนั้น ถ้าเราสามารถเลือกหุ้นที่ให้ปันผลได้ซัก3-4% ต่อปีขึ้นไปในระยะยาวแม้ในยามที่เศรษฐกิจยากลำบาก การถือเป็นหุ้นก็น่าจะดีกว่า และในกรณีแบบนี้ เราคงต้องลืมเรื่องของราคาหุ้นไปก่อน   

ทริปสัมมนา TOUR LEARN EARN MORE IN HO CHI MINH CITY

0
#หุ้นเวียดนาม#VVI GROUP

หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์

0
 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor 10 สิงหาคม 62 คนที่ลงทุนในหุ้นปิโตรเคมี  น้ำมัน  และถ่านหิน  รวมถึงหุ้นที่ขายสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์บางอย่างนั้น  ในช่วงนี้คง “เจ็บตัว” กันไม่น้อย  เพราะราคาหุ้นตกลงมาหนัก  หุ้นที่ตกลงมามาก ๆ  หลายตัวนั้น  เป็นหุ้นขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก  เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี  มีผลการดำเนินงานที่ดีมาหลาย ๆ  ปี  บางแห่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นหน่วยงานรัฐที่มีบรรษัทภิบาลดี...