โลกในมุมมองของ Value Investor           28 กันยายน 62

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

หุ้น Consumer

​ในระยะหลัง ๆ  นี้  หุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เริ่มที่จะมีหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียี่ห้อเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น  หลาย ๆ ยี่ห้อเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาด  หุ้นบางตัวมี Market Cap. เกือบแสนล้านบาทหรือเคยมีขนาดเกือบแสนล้านบาทในช่วงสูงสุด  หลายตัวก็ยังเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีขนาดแค่หลักพันล้านบาทหรือหมื่นล้านต้น ๆ  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  นี่คือหุ้นที่นักลงทุนเริ่มสนใจเข้ามาลงทุน  เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะเป็นว่าหุ้นเหล่านี้มักจะมีผลกำไรที่ดีและมั่นคงพอสมควรเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น  การเติบโตหรือสตอรี่ที่จะเติบโตก็พอจะมีอยู่  ฐานะทางการเงินก็มักจะดีและมีหนี้ไม่มาก  หลายบริษัทไม่มีหนี้เลย  เหตุผลเพราะว่าบริษัทมักจะไม่ต้องลงทุนมากและขายสินค้าเป็นเงินสดหรือได้เงินเร็วในขณะที่จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ช้ากว่า และสุดท้ายที่ทำให้หุ้นเหล่านี้บางตัว  “ร้อนแรงมาก” ก็คือ  มันเป็นหุ้นที่“มีเจ้าของ” หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้ก่อตั้งที่ต้องการให้หุ้นขึ้น  สิ่งนี้เมื่อนำมาประกอบกับการที่หุ้นมี Free Float หรือหุ้นที่ถือโดยนักลงทุนน้อย  ก็ทำให้หุ้นสามารถถูก Corner หรือต้อนเข้ามุมง่าย  ผลก็คือ  หุ้นขึ้นได้สูงมากและลงได้รุนแรงทำให้คนรวยหรือจนได้อย่างรวดเร็ว

​หุ้นขายสินค้าอุปโภคบริโภคหรือหุ้น Consumer นั้น  มีศักยภาพที่จะเป็น “หุ้น VI” ได้ด้วยเหตุผลที่ว่ามันสามารถที่จะสร้าง Durable Competitive Advantage (DCA) หรือความได้เปรียบที่ยั่งยืนได้ผ่าน  “ยี่ห้อสินค้าที่โดดเด่น”  ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อมากกว่าหรือยอมจ่ายราคาที่แพงกว่าเพราะติดในยี่ห้อ  คุณภาพหรือภาพพจน์ของสินค้าในใจผู้บริโภคที่เหนือกว่านั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนยาก  ดังนั้น  บริษัทที่เป็นเจ้าของขายสินค้าเหล่านี้ก็มักจะสบายในการที่จะแข่งขัน  คุณไม่ต้องทำอะไรมาก  แค่รักษาภาพให้ดีผ่านการทำการตลาดมาตรฐาน  ควบคุมการผลิตและการบริการไม่ให้ถดถอยด้อยลง  คุณก็รักษายอดขายไว้ได้แล้ว—โดยเฉพาะใน  “โลกธุรกิจยุคก่อน” ที่ยังไม่มีเรื่องของการ “ปฏิวัติทางเทคโนโลยี” ที่ทำลายธุรกิจเดิมจำนวนมาก  ว่าที่จริงถ้าศึกษาเรื่องการลงทุนแบบ VI แนว วอเร็น บัฟเฟตต์มานานก็จะพบว่า  เขาลงทุนในหุ้น Consumer ชั้นนำจำนวนมาก อาทิเช่น โค๊กและใบมีดโกนยิลเลตที่เขาทำกำไรได้สูงมาก  และซอสมะเขือเทศไฮน์ที่เขาเพิ่งลงทุนไม่นานและดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ  เป็นต้น

​หุ้น Consumer “ระดับโลก” นั้น  เมื่อเร็ว ๆ  นี้ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย  หุ้นอย่างโค๊กหรือยิลเล็ตผมคิดว่ามันก็ยังเป็นบริษัทที่ยังอยู่ได้เช่นเดียวกับหุ้นของแม็คโดนัลด์หรือไนกี้   จริงอยู่  มันอาจจะไม่ถูก Disrupt หรือทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่  แต่การเติบโตของมันก็น่าจะน้อยถึงอิ่มตัวแล้ว  ราคาหุ้นที่จะขึ้นไปหวือหวานั้นคงจะยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้  ในขณะเดียวกันหุ้นของบริษัทที่ถูก Disrupt หรือกำลังถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีหรือแนวทางการทำธุรกิจแบบใหม่ อย่างเช่นหุ้นที่ขายแผ่นซีดีหรือหนังสือพิมพ์ก็อาจจะล้มละลายในที่สุด  ในทางตรงกันข้าม  หุ้น Consumer รุ่นใหม่ที่เป็น  “ผู้ชนะ” เช่นหุ้นแอ็บเปิลหรืออาลีบาบาที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ก็จะรุ่งเรืองเป็นซุปเปอร์สต็อกที่ “VI รุ่นใหม่” เสาะแสวงหาต่อไป

​หุ้น Consumer ของไทยนั้น  ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ  4-5 ปีที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิด “กระแสซุปเปอร์สต็อก” รุ่นใหม่ที่เราเห็นการเข้ามาลงทุนของ “VI” ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและกองทุนที่เข้ามา “ร่วมขบวน” ในการสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าปกติผ่านการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก-กลางที่มีคุณภาพดีและเติบโตสูง  และหุ้นที่พวกเขาเลือกกลุ่มหนึ่งก็คือ  หุ้น Consumer ที่มียี่ห้อเด่นหรือมีแนวทางใหม่ในการเติบโตของยอดขายสินค้าที่ “ชัดเจน”  และด้วยขนาดของเม็ดเงินมหาศาลของคนที่เข้ามาร่วมลงทุน  มันก็ขับดันให้ราคาหุ้นขึ้นไป  “หลุดโลก”  ทำให้นักลงทุนอื่น ๆ  ที่ไม่ได้เข้าไปลงทุนตั้งแต่แรกต้องเข้าไปร่วมขบวนด้วย  และนั่นทำให้หุ้น Consumer ของไทยหลาย ๆ  ตัวกลายเป็น “Super Stock”  ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วก็อาจจะไม่ใช่เลย  จริงอยู่  หลาย ๆ บริษัทนั้นมีคุณสมบัติคล้าย ๆ หุ้นโค๊กหรือหุ้นแม็คโดนัลด์  แต่มันเป็นหุ้นโค๊กที่อิ่มตัวแล้ว  ดังนั้น  ราคาของหุ้นก็ไม่ควรจะสูง  ค่า PE ประเภทเกิน 40-50 เท่าแบบซุปเปอร์สต็อกนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้

​ในความเห็นของผม  หุ้น Consumer แม้แต่ที่เป็น  “ชั้นนำ”  ของไทยในยามนี้ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดก็โตช้าหรืออิ่มตัวแล้ว  เหตุผลก็คือ  คนไทยแก่ตัวลงและเกิดน้อยลงมาก  จำนวนการเพิ่มของคนที่จะบริโภคน่าจะทรงหรือเริ่มลดลง  การบริโภคต่อหัวสำหรับสินค้าแต่ละยี่ห้อผมก็คิดว่าเพิ่มขึ้นน้อยหรืออิ่มตัวแล้วเพราะว่าเป็นสินค้าดั้งเดิมและเป็นยี่ห้อที่อยู่มานาน  บางทีแค่รักษาให้เท่าเดิมก็ยากแล้วเนื่องจากการเข้ามาแย่งชิงเม็ดเงินจากสินค้าใหม่อื่น ๆ  ดังนั้น  สำหรับตลาดดั้งเดิมของสินค้าซึ่งก็คือประเทศไทยนั้น  ผมคิดว่าหุ้น Consumer ที่อิงอยู่กับสินค้าเดิมนั้น  แม้ว่าจะยังเป็นกิจการที่ดีทำกำไรได้ดีและมั่นคง  มันก็คงไม่ค่อยโต  ดังนั้น  ค่า PE ของหุ้นก็ไม่น่าจะเกิน 20 เท่าที่มองว่าสมเหตุผลเพราะให้ผลตอบแทนปีละ 5% และให้ปันผลตอบแทนปีละ 3-5% ราคาที่มากกว่านั้นจะต้องมาจากตลาดอื่นหรือสินค้าอย่างอื่นหรือยี่ห้ออื่น

​หุ้น Consumer หลายบริษัทพยายามที่จะขยายตลาดสินค้าไปยังต่างประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจีน  ประเด็นนี้ผมเองไม่ค่อยให้มูลค่าหุ้น  เหตุผลเพราะผมไม่ค่อยเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จแม้ว่าคนจีนบางส่วนอาจจะรู้จักสินค้าของบริษัทจากการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยและซื้อสินค้านั้นกลับบ้านเป็นของที่ระลึก  ผมคิดว่าคนจีนหรือชาวต่างประเทศนั้น  ส่วนใหญ่แล้วจะไม่นิยมสินค้าจากไทย  เหตุผลก็เพราะว่ารสนิยมของคนจีนหรือต่างประเทศนั้นมักจะแตกต่างจากคนไทย  เขาไม่คุ้นกับรสชาติหรือการใช้สินค้าไทย  ตัวอย่างเช่น  ในเรื่องของรสชาติที่คนจีนอาจจะไม่ชอบรสหวานหรือรสเผ็ดเท่าไทย เป็นต้น 

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากหรืออาจจะมากกว่าก็คือในเรื่องของภาพพจน์หรือความรู้สึกต่อสินค้าไทย  ประเทศจีนในวันนี้  หรือต่างชาติเช่นยุโรปหรืออเมริกานั้น  ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะคิดว่าไทยนั้น  “ด้อยกว่า”  และธรรมชาติของคนก็คือ  เขาอยากใช้หรือบริโภคสินค้าจากสังคมหรือประเทศที่  “เหนือกว่า”  ตัวอย่างเช่น  เรารู้สึกว่าสินค้าญี่ปุ่นนั้นดี  สินค้าอเมริกันดี  สินค้าเกาหลี เท่ห์  เราไม่ชอบสินค้าของลาวหรือประเทศรอบบ้าน  ครั้งหนึ่งผมจำได้ว่ามีร้านกาแฟจากลาวมาเปิดและมีการโฆษณาใหญ่โต  แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ  ดังนั้น สินค้า Consumer ของไทยที่ไปต่างประเทศที่อาจจะมีโอกาสสำเร็จได้ผมคิดว่าน่าจะเป็นประเทศรอบบ้านเช่น เมียนมาร์ ลาวและกัมพูชา ซึ่งรู้สึกว่าของไทยนั้นเหนือกว่าของเขา  ส่วนคนที่บอกว่าคนจีนชอบสินค้าไทยนั้นผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องในอดีตที่คนจีนจนหรือด้อยกว่าไทย  แต่วันนี้คนจีนน่าจะชอบสินค้าญี่ปุ่น  เกาหลี หรืออเมริกันมากกว่า  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมเองก็ยังไม่เคยเห็นว่ามีสินค้า Consumer ไหนของไทยที่ไปดังทั่วโลกหรือในประเทศใหญ่ ๆ ได้จริง ๆ

หุ้นผู้ผลิตสินค้า Consumer ของไทยนั้น  ผมคิดว่าโอกาสโตได้เร็วขึ้นน่าจะอยู่ที่การหันไปทำกิจการอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในแนวตั้งเพื่อลดต้นทุนเช่น  การตั้งโรงงานผลิตเองหรือการจัดการด้าน Logistic เป็นต้น  อีกทางหนึ่งก็คือการเพิ่มยี่ห้อสินค้าใหม่เพื่อจับ Segment หรือลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ  อย่างไรก็ตาม  การทำกิจการเกี่ยวเนื่องก็มักจะไม่ทำเงินมากนักเทียบกับกิจการเดิม  ส่วนการเพิ่มสินค้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  เหตุผลก็เพราะว่าในทุกส่วนนั้นก็มี  “เจ้าถิ่น” ที่ครองตลาดอยู่แล้ว

ข้อสรุปของผมก็คือ  หุ้น Consumer ของไทยที่เป็นผู้นำในธุรกิจนั้น  ดีพอใช้   เป็นแนว “บีบวก” แต่น่าจะโตช้า  คนที่ชอบความมั่นคงและชอบกินปันผลนั้นน่าจะลงทุนถือยาวได้ถ้าได้ปันผลปีละ 4% บวกลบซึ่งตีออกมาว่าค่า PE ปกติของหุ้นควรจะไม่เกิน 20 เท่า บวกลบ  การลงทุนด้วยความคาดหวังว่าบริษัทจะเติบโตเร็วมากจากการขยายงานโดยเฉพาะการส่งออกไปต่างประเทศและเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงและมีค่า PE สูงมากนั้นเป็นความเสี่ยงที่รุนแรง  และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่หุ้น  “นางฟ้า” รวมถึงหุ้น Consumer ตกลงมามากมายควรจะเป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ