โลกในมุมมองของ Value Investor 21 กันยายน 67
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเปิดจองกองทุนรวมวายุภักษ์สำหรับประชาชนทั่วไปจบลงแล้ว คนที่ไม่ได้จอง แต่สนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีแต่มีความเสี่ยงต่ำ ประมาณว่าได้ปันผลปีละไม่ต่ำกว่า 3% จากเงินลงทุนเริ่มต้นที่ประมาณ 1 ล้านบาทต่อไปเรื่อย ๆ ทุกปีเป็นเวลา 10 ปี และในสิ้นปีที่ 10 เงินต้นก็ยังอยู่ครบคล้าย ๆ กับกองทุนวายุภักษ์
แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เป็น “โบนัส” พิเศษเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาท ถ้าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ตามปกติ และตลาดหุ้นไม่ได้เลวร้ายในระดับเดียวกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนเลย ผมคิดว่ามีวิธีที่เราจะทำได้โดยการออกแบบพอร์ตโฟลิโอที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความแข็งแกร่งและมีราคาถูกจำนวนประมาณ 10 ตัว ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
ข้อแรก ลงทุนในหุ้นที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรม ถ้าอยู่ในอันดับ 1 หรือไม่เกินอันดับ 3 ก็จะดี เหตุผลก็เพราะบริษัทที่เป็นผู้นำมักจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และในกรณีที่เศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมประสบกับปัญหาใหญ่ พวกเขาก็มักจะอยู่รอดได้ และมักจะฟื้นตัวกลับมาได้ดีเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไปแล้ว ถ้าเราลงทุนระยะยาว เราก็จะปลอดภัย
ข้อสอง ผู้บริหารจะต้องซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ข้อนี้อาจจะดูยาก เพราะบ่อยครั้งผู้บริหารบางคนนั้นดูจากภายนอกก็ดูไว้ใจได้ แต่สุดท้ายก็อาจจะ “ดีแตก” ทำเรื่องทุจริต หลอกลวงจนบริษัทพังก็มี ทางหนึ่งที่พอจะทำให้ไว้ใจได้บ้างก็คือการที่บริษัทและผู้บริหารทำงานมานานหลาย...
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 กันยายน 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นที่ “Value Investor” เล่นหรือลงทุนนั้น มีหลายแบบและก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและหุ้นในขณะนั้น เพราะ VI โดยเฉพาะของไทยนั้น มีหลายแบบมาก ถ้าจะว่าไป เวลานี้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีพอร์ตขนาดใหญ่แทบทุกคนก็เป็นหรือเรียกตัวเองว่าเป็น “VI” แทบทั้งนั้น และพวกเขาต่างก็ยกคำจำกัดความของคำว่า VI ว่าคือการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือต่ำกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” และขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้ว
และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือ ประเมิน “มูลค่าที่แท้จริง” ของหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อบริษัทหรือกิจการแตกต่างกันมาก บางคนคาดการณ์หรือเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะ “โตแบบก้าวกระโดด” เพราะบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มี “S-Curve” หรือเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วใหม่ที่จะทำให้กลายเป็น “Global Brand” หรือเป็น “ยี่ห้อระดับโลก” เป็นต้น ดังนั้น มูลค่าของบริษัทก็ควรจะต้องสูงมาก ราคาหุ้นที่สูงจนทำให้ค่า PE สูงในระดับ 30-40 เท่าก็ไม่แพง ซื้อไว้แล้วเดี๋ยวราคาจะวิ่งขึ้นไปเองเมื่อกำไรในไตรมาศหน้าเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนั่นก็คือแนวคิดหรือแนวทางของ “VI รุ่นใหม่” หลาย ๆ คนที่คิดว่า ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 กันยายน 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 7 สิงหาคม 2567 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกลงมาต่ำมากที่ 1,291 จุด และเป็นการตกลงมาจากต้นปีถึง 8.8% ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” ในขณะนั้น แต่หลังจากนั้น ดัชนีตลาดก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4 กันยายน ดัชนีอยู่ที่ 1,365 จุด วันที่ 5 กันยายน ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 39 จุด และวันที่ 6 กันยายน ปรับตัวขึ้นต่ออีก 23 จุด เป็น 1,428 จุด ทำให้ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวขึ้นเป็นบวกแล้วประมาณเกือบ 1% และเพียง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นมาถึง 11% กลายเป็นตลาดหุ้นที่แสดงผลงานได้ “ดีที่สุดในโลก” ในช่วง 1 เดือนผ่านมา เพราะตลาดหุ้นโลก “ปรับตัวลงกันทั่วหน้า”
เหตุผลที่ชัดเจนก็คือ ประเทศไทยกำลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนที่คนเดิมที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 31 สิงหาคม 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เริ่มตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทฤษฎีทางจิตวิทยาเกี่ยวกับเรื่อง “การอดทนต่อสิ่งล่อใจ เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต” หรือในภาษาอังกฤษคือ “Delayed gratification” ซึ่งนำเสนอโดย ศาสตราจารย์ Walter Mischel และผ่านการทดลองที่มีชื่อเสียงติดอันดับสูงสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการทดลองทางด้านจิตวิทยาที่เรียกว่า “The Marshmallow Test” เป็นทฤษฎีที่นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ควรที่จะรู้ไว้ เพราะทฤษฎีนี้ อาจจะมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จและความมั่งคั่งเท่า ๆ กับทฤษฎีการลงทุนและการเลือกหุ้นโดยตรง
การทดลองทำโดยใช้แมชแมลโลว์มา “ล่อ” เด็กอายุประมาณ 4 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด โดยเสนอว่าถ้ากินเลย จะได้กินเพียง 1 ชิ้น แต่ถ้ารอ “ซักครู่” เช่นประมาณ 15 นาที ก็จะได้กิน 2 ชิ้น นี่เป็นการทดลองเพื่อดู “ความอดทน” ในจิตใจของเด็กซึ่งทุกคนนั้นอยากกินแมชแมลโลว์เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว
ผลก็คือ เด็กส่วนใหญ่นั้น “ทนไม่ไหว” บางคนเพียง 2-3 นาทีก็กินแล้ว มีบางคนก็รอได้ถึง 5 หรือ 10 นาที ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 สิงหาคม 2567
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อปลายปี 2566 ผมได้จัดตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ชื่อ “บริษัทตีแตกจำกัด” เหตุผลก็เพื่อที่จะปรับโครงสร้างการถือหุ้นต่างประเทศจากการถือโดยบุคคลธรรมดามาเป็นการถือโดยนิติบุคคลที่ผมคิดว่าจะมีความเหมาะสมกว่าในกรณีการลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศ เวลาผ่านมาประมาณ 8 เดือนแล้ว ผมคิดว่าควรที่จะเล่าเรื่องของบริษัทตีแตกที่จะให้ข้อคิดและแนวทางการลงทุนของผมอีกมุมหนึ่งอย่างที่ผมทำตลอดมา
ตีแตกเป็นบริษัทลงทุนในหุ้นของบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเป็นหลัก จะเรียกว่าเป็นบริษัท “Holding Company” ก็น่าจะได้ เพราะแนวทางการลงทุนของบริษัทนั้นจะเป็นการ “ถือระยะยาว” และโดยส่วนตัวก็มีความคิดว่าบริษัทเป็น “เจ้าของ” บริษัทที่ถืออยู่ ถ้าจะพูดไป ก็คล้าย ๆ กับบริษัทเบิร์กไชร์ของวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ หลายบริษัทจนกลายเป็น “เจ้าของ” จริง ๆ แต่ในกรณีของตีแตกนั้น จะเป็นการถือหุ้นจำนวนน้อยมากที่ไม่มีอิทธิพลอะไรกับบริษัทเลย
การลงทุนของตีแตกจะเป็นการซื้อ-ขายหุ้นและตราสารการเงินที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลก แต่ในช่วงแรกก็จะเน้นเฉพาะในตลาดหุ้นเวียดนามเป็นหลัก บริษัทจะไม่ลงทุนในกิจการแบบเวนเจอร์แค็บปิตัลหรือในบริษัทเอกชนนอกตลาดหุ้นที่ยังไม่พร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างแน่นอนในระยะเวลาอันสั้น
พอร์ตการลงทุนของตีแตกจะเป็นการลงทุนแบบ “Focus” คือเน้นการลงทุนหุ้นหรือตราสารการเงินไม่มากตัว แต่ละตัวจะลงทุนมากอย่างมีนัยสำคัญ พอร์ตโดยรวมในช่วงแรกจะมีหุ้นหลัก ๆ ประมาณไม่เกิน 10 ตัว ที่จะมี Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นรวมกันอย่างน้อย 75% ของมูลค่าพอร์ตทั้งหมด โดยที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดจะมีมูลค่าไม่เกิน 50%...
โลกในมุมมองของ Value Investor 17 สิงหาคม 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การประกาศผลการดำเนินงานทุกไตรมาสของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นช่วงเวลาสำคัญของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น Value Investor เพราะในสายตาของ VI จำนวนมากนั้น “กำไรเป็นพ่อของทุกสถาบัน” นั่นก็คือ กำไรเป็นตัวที่เหนือกว่าปัจจัยอื่นทั้งหมดที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้น ถ้าบริษัททำกำไรดี ราคาหุ้นก็มักจะขึ้น ไม่ว่าปัจจัยอื่นรวมถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจจะเลวร้ายหรือตลาดหุ้นโดยรวมจะตกลงมา ยิ่งกำไรดีมาก ราคาหุ้นก็มักจะขึ้นไปมาก
ในอดีตที่ยาวนานนับ 10 ปีที่ผ่านมานั้น หุ้นไทยมักจะขึ้นลงหวือหวาและตอบสนองต่อกำไรสูงมากมาตลอด บ่อยครั้ง กำไรที่โต 20-30% ต่อเนื่องหลายไตรมาสนั้น มักทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาบางครั้งไม่ถึงปี เหตุผลเพราะนักลงทุนของไทยส่วนใหญ่เป็น “นักเก็งกำไร” ซึ่งชอบเล่นหุ้น “Growth” หรือ “หุ้นเติบโต” แม้ว่าจะเรียกตนเองว่าเป็น “VI” ที่ควรเน้นหุ้นที่มีราคาถูก ดังนั้น เมื่อหุ้นตัวไหนประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะรีบเข้าไปซื้อ ดันให้ราคาเพิ่มขึ้น และมักจะขึ้นไปมากกว่ากำไรที่เพิ่มขึ้น
แต่ในช่วงไตรมาสนี้ และอาจจะรวมถึงในช่วง 2-3 ไตรมาสก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าการประกาศผลกำไรจะมีผลกระทบต่อราคาน้อยลงไปมาก หรือในบางกรณีก็เกิดผลในทางตรงกันข้าม นั่นก็คือ “กำไรก็ดี แต่หุ้นกลับตก” สร้างความผิดหวังอย่างแรงให้กับคนที่ “ลุ้น” ว่ากำไรจะดีและก็เป็นไปตามคาด กำไรบวกแรงมาก “หลายสิบเปอร์เซ็นต์”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 2 สิงหาคม 2567
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
บทความวันนี้ของผมจะอ้างอิงบทความที่ผมเคยเขียน 3 บทความเกี่ยวกับการลงทุนและการเลือกหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามคือ
บทความแรกชื่อ Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม2565 หรือประมาณ 2 ปี 7 เดือน มาแล้ว ในบทความนั้น ผมเขียนว่า หุ้นที่อาจจะกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” และได้แสดงศักยภาพออกมาบ้างแล้ว น่าจะรวมถึง “หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น MWG …หุ้น VRE ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของการเป็นช็อปปิ้งมอลของเวียดนาม …หุ้น ACV ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานของเวียดนาม …. หุ้น FPT ซึ่งเป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งในด้านของการเป็นบริษัทรับงานเอาต์ซอร์ซงานเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทไฮเทคทั่วโลก..”
บทความที่สองที่เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566 เรื่อง “ลงทุนในหุ้นท็อป 10 แห่งอนาคต” ซึ่งผมพูดถึงกลยุทธการลงทุนระยะยาวแบบ “กึ่ง Passive” ในตลาดหุ้นเวียดนามและผมเลือกหุ้น 10 ตัวจากหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 20 ตัว...
: ผลตอบแทน 10 ปีที่ผ่านมา
Magnificent Seven หรือ หุ้น 7 นางฟ้าที่พานักลงทุนขึ้นสวรรค์ ถูกใช้ครั้งแรกปี 2023 แทน หุ้น FAANG โดย 7 นางฟ้าผลัดกันทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา- Google (GOOGL): +513%- Meta (META): +555%- Apple (AAPL): +838%- Microsoft (MSFT): +920%- Amazon (AMZN)+984%- Tesla (TSLA): +1,574%- Nvidia (NVDA): +27,577%
ในตลาดหุ้นเวียดนาม (HOSE) ปัจจุบันมีหุ้นเทคโนโลยีอยู่เพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ FPT และ CMGแม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีระดับสูงแบบ 7 นางฟ้า แต่ผลตอบแทนของหุ้นทั้งสองตัวนี้ก็ไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใด
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา- FPT Corporation (FPT):...
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 กรกฎาคม 2567
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พฤติกรรมของนักลงทุนและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นสิ่งที่นักวิชาการจำนวนมากได้ทำการศึกษามายาวนาน และได้สร้างเป็น “ทฤษฎี” ขึ้นมากมาย หลายทฤษฎีก็ “เปลี่ยนโลกของการลงทุน” ไปอย่าง “สิ้นเชิง” ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่น ทฤษฎี “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” หรือ “Efficient Market Hypothesis” ที่บอกว่าตลาดหุ้นนั้นเก่งมาก มีความสามารถในการกำหนดราคาหุ้นทุกตัวให้เหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงของมัน ดังนั้น การที่มีนักลงทุน รวมถึง “เซียนหุ้น” มาคุยว่าสามารถเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานและขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้วนั้น เป็นเรื่องที่ไม่จริง “ในระยะยาว”
แต่ในระยะสั้นก็อาจจะทำได้เพราะ “ฟลุ๊ก” แล้วก็เก็บมาคุยโม้จนคนคิดว่าเป็น “เซียน” แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบว่า เขาไม่ได้กำไรมากกว่าผลตอบแทนปกติของตลาดซึ่งระยะยาวให้ผลตอบแทนทบต้นที่ประมาณ 10% ต่อปี เพราะปีต่อ ๆ มาเขาอาจจะขาดทุนหรือกำไรน้อยกว่าที่เคยทำได้ แต่ถีงตอนนั้นเขาก็จะไม่ออกมาพูดแล้ว คนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าเขาเป็น “เซียนเยสเตอร์เดย์” ไปแล้ว ยังติดภาพว่าเป็นเซียนอยู่
แต่นักวิชาการซึ่งเป็นคนที่ “ค้นหาความจริง” ก็จะต้องตามดูว่ามีคนที่เป็น “เซียน” จริง ๆ หรือเปล่าในระยะยาวโดยการตั้ง “ทฤษฎี” แล้วก็ “พิสูจน์”...
หุ้นหมายเลข 1 เวียดนาม
โลกในมุมมองของ Value Investor 8 กรกฎาคม 67
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าจะถามว่าหุ้นอะไร “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ช่วงเร็ว ๆ นี้ คำตอบก็คือ หุ้น “NVIDIA” เหตุผลก็เพราะอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และ AI มีการพัฒนาขึ้นมาถึงจุดที่จะ “ปฏิวัติโลก” ในไม่ช้า เพราะ AI จะมีความสามารถสูงมากและจะสูงกว่าคน ดังนั้น สินค้า บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในอนาคตก็จะถูกประดิษฐ์หรือทำโดย AI ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะทำโดยคนจำนวนมาก
และคนที่เป็น “ผู้ชนะ” ในเทคโนโลยีนี้ก็คือ Nvidia บริษัทที่บริษัทอื่น ๆ ที่ทำเกี่ยวกับ AI ต้องใช้สินค้าและบริการ ทำให้รายได้และกำไรของ Nvidia “โตระเบิด” ไตรมาศล่าสุดกำไรโตขึ้นถึง 7 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ Nvidia ดีดตัวขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่มี Market...