บริษัทจัดการกองทุน Asia Frontier Capital กล่าวว่า ดัชนี VN-Index ของเวียดนาม “ต่ำกว่ามูลค่า” เมื่อเทียบกับดัชนีของประเทศอื่น ๆP/E ณ วันที่ 31 สิงหาคม ของ ดัชนี VN-Index อยู่ที่ 14.7 เท่าขณะที่ดัชนี Shanghai Composite ของจีน อยู่ที่ 17.6 เท่าS&P500 ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 27.3 เท่าSET Index ของไทยอยู่ที่ 21.3 เท่าAFC กล่าวว่า ในขณะที่การประเมินมูลค่าตลาดหุ้นของสหรัฐฯ แพงเกินเศรษฐกิจที่แท้จริง และเศรษฐกิจยุโรปยังดูไม่ดี แต่เศรษฐกิจเวียดนามฟื้นในรูปตัว "V" แล้ว ถือว่าทำได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ มากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของเวียดนาม มีทั้งการส่งออกที่เติบโต ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่เผชิญกับตัวเลขทางการค้าที่ลดลงอย่างรวดเร็วการส่งออกของเวียดนามเพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือนและ 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนสิงหาคมสู่ระดับ 26.5 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้รัฐบาลยังพิจารณาการลงทุนภาครัฐเพื่อเป็นทางออกสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเช่นทางด่วน North-South, สนามบินนานาชาติ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 19 กันยายน 63
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้วในตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็น Value Investor ก่อกำเนิดขึ้น พวกเขาเป็นนักลงทุน “หน้าใหม่” ในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นนักลงทุน “รายย่อย” และเป็น “คนกินเงินเดือน” ที่มีรายได้ค่อนข้างดีเนื่องจากจบการศึกษาสูง หลายคนเรียนจบจากต่างประเทศและมีตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัทชั้นนำของประเทศหรือบริษัทข้ามชาติ และก็แน่นอนว่าบางคนก็มีฐานะทางบ้านที่ดีหรือดีมากและเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เหมือนกันหมดก็คือทุกคนมีความมุ่งมั่นในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นตามแนวทางการลงทุนของ “VI”อย่างที่เรียกกันในปัจจุบันนั่นก็คือ การมองว่าหุ้นก็คือธุรกิจและเราสามารถประเมินมูลค่าของมันได้ และจะซื้อก็ต่อเมื่อมูลค่านั้นสูงกว่าราคาหุ้นมากพออย่างที่เรียกว่ามี Margin of Safetyสูง และจะขายต่อเมื่อราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานหรือ “มูลค่าที่แท้จริง” นั้น
ผมคงไม่ต้องพูดว่า VI กลุ่มนั้นต่างก็ทำผลงานการลงทุนได้ดีเยี่ยม หลายคนเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ คนที่เคยกินเงินเดือนต่างก็ “เกษียณตัวเอง” ตั้งแต่อายุยังน้อยและกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวจนถึงวันนี้ แต่ VI “รุ่นใหม่” ที่เพิ่งจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่เกิน 6-7 ปีนั้น จำนวนมากก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนพยายามเสาะแสวงหาหุ้น “VI” ที่จะทำกำไรได้งดงามและเจริญรอยตาม VI รุ่นก่อนที่เป็น “ไอดอล” แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ประสบความสำเร็จนัก และอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ได้ ปัญหาที่ผมเห็นก็คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในภาวะปัจจุบันและอาจจะต่อเนื่องไปอีกนานนั้น ไม่เอื้ออำนวยที่จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนที่ดีเลิศอย่างที่เคยเป็นเมื่อเกือบ 10 หรือ 20 ปีก่อน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เราจะหาหุ้น “VI” หรือหุ้นที่จะเป็น “Super Stock” ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ยากมาก
วิธีหนึ่งที่จะลงทุนระยะยาวแล้วร่ำรวยเหมือน VI รุ่นก่อนนั้น ผมคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวยมาก เพราะแม้ว่าผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำผลงานได้ดีเป็นสิบ ๆ ปีจนเปลี่ยนชีวิตได้นั้น ผมก็คิดว่าส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ “โชคดี” ที่ผมลงทุนในประเทศไทยในยุคนั้นซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าเร็วมากและคนไทยเริ่มต้องเก็บเงินเพื่อรองรับการเกษียณของคนที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้มีบริษัทหรือกิจการที่แข็งแกร่งและโตเร็ว ขณะเดียวกันก็มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เข้ามาแย่งซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีเหล่านั้น ทำให้หุ้นเหล่านั้นมีมูลค่าสูงขึ้นมหาศาล
ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ผมใช้ซึ่งก็คือ การซื้อหุ้นของกิจการที่ “ดีสุดยอด” นั่นก็คือ บริษัทที่มีความแข็งแกร่งเพราะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนและโตเร็วด้วย ในราคาหุ้นที่ถูกหรือราคายุติธรรม แล้วถือไว้อย่างยาวนานนับ 10 ปี และได้รับผลตอบเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 10 เท่า ซึ่งผมเรียกว่าเป็น...
โลกในมุมมองของ Value Investor 12 ก.ย. 63
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวว่าบัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นของญี่ปุ่นพร้อมกัน 5 ตัวคือ หุ้นอิโตชู มารูเบนนี มิตซูบิชิ มิตซุยและสุมิโตโม ทั้ง 5 บริษัทเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการค้าของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมานานเฉลี่ยแล้วน่าจะเป็นหลัก100 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาเป็นประเทศสมัยใหม่จนถึงปัจจุบันที่กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ทั้งหมดนี้ แม้ว่าจะเป็นบริษัท “ยุคเก่า” แต่ก็ยังเป็นบริษัท “ยักษ์ใหญ่” ที่มียอดขายมากกว่าปีละ 1 ล้านล้านบาท และครอบคลุมการค้าขายระหว่างประเทศของญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดและก็ยังน่าจะเป็นอย่างนั้นต่อไปตราบที่ญี่ปุ่นยังเป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ของโลกอยู่โดยที่เทคโนโลยี่ดิจิตอลไม่สามารถที่จะทำลายมันได้
ลักษณะการซื้อของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากที่เคยทำมาตลอดในชีวิตการลงทุนของเขานั่นก็คือ เป็นการ “กวาดซื้อ” หุ้นหลาย ๆ ตัวที่มีคุณสมบัติเกือบจะเหมือนกันหมดนั่นก็คือมันเป็นหุ้นที่ “ถูกมาก” และเป็น “ตัวแทน” ของบริษัทหรือเศรษฐกิจญี่ปุ่น คือเป็นบริษัท “การค้า” หลัก ๆ ของญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่แนวทางเดิมของบัฟเฟตต์ที่เน้นเลือกลงทุนหุ้น “เฉพาะตัว” ที่มีคุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์พิเศษและส่วนใหญ่แล้วเป็นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ตามคำพูดที่โด่งดังของเขาที่ว่า “It’s far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price” ซึ่งแปลว่า “มันดีกว่ามากที่จะซื้อบริษัทที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมเทียบกับการซื้อบริษัทที่แค่ดีพอใช้ในราคาที่ถูกสุด ๆ”
ความคิดของบัฟเฟตต์ในเรื่องของการซื้อหุ้นนั้น ผมคิดว่าเขามีหลักการใหญ่ ๆ ชัดเจนที่เป็นระบบโดยที่น่าจะสามารถแยกแยะดังต่อไปนี้คือ หนึ่ง หุ้นของบริษัทที่ดีสุดยอดหรือที่เรียกว่า “Great Company” ซึ่งก็คือบริษัทที่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนและเติบโตระยะยาวนั้น เป็นกิจการที่น่าลงทุนที่สุด แต่เงื่อนไขที่เขาจะเข้าลงทุนก็คือ หุ้นจะต้องมีราคาถูกหรือไม่แพงหรืออาจจะเรียกว่า “ราคายุติธรรม” ถ้าหุ้นมีราคาแพงเกินไปเขาก็ไม่ซื้อ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 29 สิงหาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผลประกอบการไตรมาศ 2 ที่ออกมานั้นได้สะท้อนผลกระทบของโควิด19 อย่างชัดเจนว่า ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบแรงแค่ไหน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางที่ถูกกระทบแรงที่สุดเพราะคนแทบจะเลิกเที่ยวและการเดินทางก็ทำเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ หุ้นในกลุ่มโรงแรมและสันทนาการจำนวน 13 ตัวนั้น มีกำไรแค่ 2 ตัวและกำไรเพียงไม่เกิน 4 ล้านบาท ที่เป็นโรงแรมนั้นขาดทุนกันหมดและขาดทุนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่วนหุ้นขนส่งนั้น จากที่กำไรมาตลอดก็กลายเป็นกลุ่มที่ขาดทุนมากที่สุดในตลาดกว่าหมื่นล้านบาทในไตรมาศเดียว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นกลุ่มหนึ่งที่อาจจะทำให้หลายคนคาดผิดคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่อาจจะได้ประโยชน์ในตอนที่เริ่มเกิดโควิด19นั่นก็คือ หุ้นโรงพยาบาล เพราะคนคิดว่าเมื่อเกิดโรคระบาดใหญ่ ธุรกิจที่ทำหน้าที่หลักในการรักษาโรคน่าจะมีลูกค้ามากขึ้นและทำกำไรมากขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นกลับตรงกันข้าม หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลกลับกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่ถูกกระทบแรงรอง ๆ จากกลุ่มโรงแรม ผลประกอบการนั้นลดลงถึงเกือบ 80% เทียบกับไตรมาศ 2 ของปีก่อน และนั่นทำให้ผมนึกถึงคำพูดเก่าของนักลงทุนในยุคหนึ่งที่เกิดวิกฤติว่า “อย่าเข้าโรงแรมหรือโรงพยาบาล”
สิ่งที่ทำให้หุ้นโรงพยาบาลถูกกระทบหนักและทำให้หลายแห่งขาดทุน และหุ้นที่เคยกำไรมากมายนั้น กำไรหดหายไปมากอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนมีอย่างน้อยสองเรื่องคือ หนึ่ง มีคนติดเชื้อโควิด19ในประเทศไทยน้อยมาก และที่ติดเชื้อก็มักไปรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ แต่ในทางตรงกันข้าม การระบาดของโควิดนั้นทำให้คนไม่อยากไปโรงพยาบาลถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เพราะคนเชื่อว่าโรงพยาบาลเป็นแหล่งที่อาจจะมีเชื้อมากกว่าที่อื่น ผลก็คือ คนเข้าไปใช้บริการน้อยลงมาก ข้อสอง สำหรับโรงพยาบาลที่มีลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติมากซึ่งมักเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีรายได้และทำกำไรได้มากนั้น โควิด19ทำให้เราต้องปิดประเทศซึ่งส่งผลให้ลูกค้าในส่วนนี้ที่อาจจะทำรายได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือบางแห่งเกินครึ่งหายหมด ผลก็คือ หุ้นโรงพยาบาลระดับท็อปและเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” นั้น กำไรแทบจะไม่มีในไตรมาศ 2
ผลกระทบจากโควิด19 ต่อจากนี้ผมคิดว่ายังไม่ได้หมดไป จริงอยู่ คนในประเทศไทยเองนั้นก็เริ่มไปโรงพยาบาลกันแล้วเนื่องจากการที่ไม่มีการระบาดในประเทศมานาน แต่ดูเหมือนว่าโรงพยาบาลก็อาจจะกำลังประสบกับปัญหาที่ว่าเศรษฐกิจของไทยเองก็กำลังตกต่ำลงอย่างแรง คนชั้นกลางโดยเฉพาะที่ทำงานทางด้านบริการเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวตกงานกันเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายย่อยที่เคยเป็นลูกค้าของโรงพยาบาลเอกชนต่างก็กำลังลำบากเพราะค้าขายได้น้อยลงมาก ดังนั้น สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ พวกเขาก็จะไปโรงพยาบาลน้อยลงและถ้าจำเป็นก็อาจจะไปใช้บริการของโรงพยาบาลรัฐแทน นี่จะทำให้ธุรกิจของโรงพยาบาลที่เน้นผู้ป่วยที่เป็นคนไทยยังไม่สดใสต่อไป
สำหรับโรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าต่างประเทศนั้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 สิงหาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อสองสามวันก่อนผมได้เริ่มขับรถส่วนตัวไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มนักลงทุน VI ในช่วงเย็นอีกครั้งหลังจากหยุดกิจกรรมที่เคยทำทุกไตรมาศมานานนับสิบปีหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเมื่อ 5-6 เดือนก่อน ผมเองไม่ได้ขับรถช่วงเย็นที่เป็นช่วงเร่งด่วนแบบนี้มานานแต่ก็จำได้ว่าในอดีตนั้น เส้นทางที่ผมใช้คือทางด่วนที่ลงถนนพระราม 4 แถวคลองเตยแล้ววิ่งตรงไปทางกล้วยน้ำไทยนั้น เป็นช่วงที่รถติดหนักมาก แต่การขับรถครั้งนี้ปรากฏว่ารถกลับไม่ติดเลยแม้ว่าจำนวนรถอาจจะยังมากอยู่ ในความรู้สึกของผมก็คือ หลังจากโควิด19ในประเทศไทยสงบลงและเราเปิดธุรกิจในประเทศเกือบทั้งหมดแล้ว กิจกรรมของคนที่ต้องเดินทางประจำวันน้อยลงจนเห็นได้ชัดจากการจราจร จริงอยู่ บางคนอาจจะบ่นว่ารถกลับมา “ติดเหมือนเดิมแล้ว” แต่นั่นคงเป็นบางจุดหรือถนนบางสายและก็อาจจะเป็นบางช่วงเวลา ตัวอย่างเช่นในวันหยุดยาวที่คนเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดในบางเส้นทาง หรือในถนนบางสายเช่นแถวศรีนครินทร์ที่มีการสร้างรถไฟฟ้า เป็นต้น แต่เส้นทางที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นเส้นทางในศูนย์กลางของกรุงเทพ ผมคิดว่ารถน้อยลงชัดเจน ตัวอย่างที่ผมเห็นทุกวันก็คือถนนรางน้ำหน้าบ้านผมที่เคยเป็นแหล่งพักของนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ตอนนี้ “โล่งตลอด” นี่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังถดถอยลง “อย่างแรง”
จำนวนคนเดินห้างก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังซบเซา หลายคนอาจจะเถียงว่าห้างใหญ่หลาย ๆ แห่งโดยเฉพาะที่อยู่ที่ “ขอบของกรุงเทพ” ที่ตนเองเดินประจำนั้น คนก็กลับมา “เหมือนเดิม” แล้ว หาที่จอดรถไม่ได้และ “คนแน่นยังกับแจกฟรี” แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ห้างเหงามานานและก็อาจจะเป็นเฉพาะในวันหยุด วันธรรมดาที่เขาไม่ได้ไปนั้นคนอาจจะว่างมาก ผมเองเดินและจ่ายตลาดห้างหรูแถวสยามที่เป็นแหล่งสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างประเทศแทบทุกสัปดาห์ ผมยืนยันว่าห้างยังเหงามีคนเดินน้อยกว่าเดิมมาก ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ผมจ่ายสินค้าประจำวันนั้น ในอดีตจะมีคิวจ่ายเงินยาว เดี๋ยวนี้บางวันแทบไม่มีคิวเลย นี่ก็เป็นสัญญาณว่าคนไทยน่าจะใช้จ่ายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในสินค้าที่ไม่จำเป็นและ/หรือสินค้าที่ใช้จ่ายโดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
ที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยที่ผมเห็นก็คือ สินค้าหรูหราและมีราคาสูงมากอย่างเช่น ร้านที่ขายสินค้าเครื่องแต่งกาย“ซุปเปอร์แบรนด์” หลายร้านนั้นมีคน “เข้าคิว” รอเข้าไปชมและซื้อสินค้าอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนโควิด19 แล้ว ราคาสินค้าของร้านเหล่านี้ไม่ได้มีการ “ลดราคากระหน่ำ” เพื่อเรียกลูกค้า ว่าที่จริงบางร้าน “ขึ้นราคา” สินค้าที่เคยขายด้วยซ้ำ นี่ทำให้ผมสรุปว่า คนที่มีฐานะมั่งคั่งสูงในสังคมไทยนั้น ไม่ได้ถูกกระทบมากจนต้องลดการใช้จ่ายลงเลย พวกเขาใช้จ่ายเหมือนเดิม และตอนนี้เนื่องจากว่าไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ เขาจึงใช้จ่ายในประเทศไทยแทน และนี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่นในจีนที่ตอนนี้มีข่าวออกมาแล้วว่าสินค้าซุปเปอร์แบรนด์ขายดีขึ้นมากกว่าเดิมก่อนโควิด19 ด้วยซ้ำ
นอกจากเรื่องของสินค้าเครื่องแต่งกายหรูแล้ว บ้านหรูในช่วงหลังโควิดก็ดูเหมือนว่าจะขายดีขึ้นโดยเปรียบเทียบกับบ้านที่ขายคนส่วนใหญ่ทั่วไป ว่าที่จริงแม้แต่ในช่วงที่ยังปิดเมืองกันอยู่ก็มีสัญญาณแล้วว่าคนมาดูและซื้อบ้านหรูมากขึ้น นั่นแสดงว่าคน “ซุปเปอร์ริช” หรือคนรวยจัดนั้นไม่ได้ถูกระทบมากจากวิกฤติและยังซื้อสินค้าหรูและมีราคาแพงเหมือนเดิม นี่ก็พอจะเห็นได้จากการที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายบ้านหรูทำผลงานในไตรมาศ 2ได้ดีกว่าบริษัทที่เน้นบ้านราคาต่ำหรือระดับกลางที่ถูกกระทบอย่างแรง
บ้านมวลชนนั้นอาจจะขายได้น้อยลง แต่ธุรกิจพวกวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างหลายแห่งอาจจะคุยว่ายอดขายไม่ตกในช่วงปิดโควิด นี่อาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ต้องระวังว่าสินค้าเหล่านี้มี Lag Time หรือเป็นสินค้าที่เมื่อเศรษฐกิจวิกฤติทันทีนั้น ความต้องการของสินค้ายังมีอยู่เหมือนเดิมเนื่องจากบ้านที่เริ่มสร้างแล้วก็จะต้องสร้างต่อไปจนจบถ้าเจ้าของยังมีกำลังอยู่ ผมเองก็กำลังสร้างเหมือนกันและพบว่างานก่อสร้างนั้นไม่เคยหยุดเลยในช่วงโควิด19 ดูเหมือนว่ามันจะเร็วขึ้นด้วยซ้ำเพราะคนงานไม่ขาดเหมือนในช่วงปกติ สิ่งที่ต้องระวังก็คือ หลังจากนี้เมื่องานเริ่มเสร็จ และงานใหม่ก็ไม่เข้ามาเนื่องจากความต้องการบ้านหรืออาคารต่าง ๆ น้อยลง ธุรกิจก่อสร้างก็อาจจะเห็นยอดขายหดตัวอย่างแรงได้
การตกต่ำลงของเศรษฐกิจนั้น ผมคิดว่าสาเหตุหลักก็มาจากการที่ธุรกิจท่องเที่ยว การเดินทางและกิจกรรมที่คนต้องเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกันต้องหยุดลงเกือบจะสิ้นเชิง นั่นทำให้คนจำนวนมากนับล้าน ๆ คนต้องตกงานทันที พวกเขาต้องลดการบริโภคลง ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงไตรมาศ 2 และเราต่างก็คิดว่าหลังจากนั้นเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ไตรมาศ 2 น่าจะต่ำสุดและช่วงต่อจากนี้ความเจ็บปวดก็น่าจะน้อยลง อย่างไรก็ตาม ผมก็ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ข่าวว่าลูกสาวเพื่อนที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตทของสายการบินระดับท็อป ๆ ของโลกแห่งหนึ่งถูกปลดแบบ “ฟ้าผ่า” หลังจากที่หยุดไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้วและกำลังหวังว่าจะกลับไปทำงานเนื่องจากสายการบินเริ่มจะกลับมาบินใหม่ในบางเส้นทาง เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า ในช่วงไตรมาศ 2 นั้น บริษัทหรือธุรกิจบางแห่งก็ยังพยายามรักษาคนงานไว้ แต่พอถึงวันนี้เขาก็รับกับค่าใช้จ่ายไม่ไหวและต้องปลดคนออกไป ช่วงเวลาเดียวกันรัฐบาลก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายแก่คนจำนวนมากเดือนละ 5,000 บาทจนสิ้นเดือนสิงหาคม ในอีกด้านหนึ่งแบ้งค์ชาติก็ยอมให้ลูกหนี้จำนวนมากพักการชำระเงินจนถึงเดือนกันยายน ทั้งหมดนี้ถ้าไม่ได้รับการต่ออายุอะไรจะเกิดขึ้น? ผมเองคิดว่าเศรษฐกิจคงไม่เลวร้ายลงกว่าไตรมาศ 2 แต่จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วผมก็ยังสงสัย
กลับมาเรื่องของการลงทุนบ้าง ในที่ประชุมสังสรรค์เพื่อน VI นั้น ทุกครั้งเราก็จะมีการ “เลือกหุ้น” ที่จะทำผลงานได้ดีใน 3 เดือนข้างหน้า โดยที่ทุกคนจะต้องเลือกหุ้นที่ตนเองชอบ ส่วนใหญ่ก็คนละ 2-3 ตัว พอพบกันอีกในไตรมาศหน้าก็จะมาดูว่าใครได้ผลตอบแทนเท่าไร นี่ก็เป็นกิจกรรมเล่น ๆ ที่ไม่ได้ซีเรียสหรือแข่งขันอะไรกันแต่ทุกคนก็มักจะเลือกในสิ่งที่ตนเองลงทุนจริง ๆ อยู่แล้ว ผลการเลือกในครั้งนี้มีการเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากครั้งหลัง ๆ นั่นก็คือ ในช่วงน่าจะ 2-3 ปีมาแล้ว VI กลุ่มนี้มักจะเลือกหุ้นเวียตนามมากกว่าหุ้นไทย หุ้นไทยที่ถูกเลือกนั้นน้อยลงมาก ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาได้หันไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามมากขึ้น บางคนโดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาตินั้นไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกแล้ว แต่ในครั้งนี้ปรากฏว่าจำนวนหุ้นที่ถูกเลือกกลับกลายเป็นหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าโควิดน่าจะทำให้หุ้นไทยบางกลุ่มหรือบางตัวมีความน่าสนใจมากขึ้นจน VI บางคนที่เคยทิ้งตลาดไปนั้นหันกลับมาลงทุนมากขึ้น
ความสนใจในหุ้นของคนไทยเองนั้น ผมคิดว่าเกิดขึ้นกับคนทั่วไปด้วยเห็นได้จากจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วงโควิด19 นี่ก็เป็นอะไรที่แปลกเหมือนกัน เหตุผลนั้นผมคิดว่า ประการแรก เป็นเพราะคนที่มีฐานะดีและมีเงินสดอยู่มากนั้นไม่ได้ถูกกระทบจากโควิด พวกเขาคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นที่ตกลงมานั้นเป็นโอกาสงดงามที่จะทำกำไรอย่างง่าย ๆ เมื่อเทียบกับการฝากเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก ประการต่อมาก็คือ พวกเขาคิดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะถูกกระทบนั้น น่าจะเกิดขึ้นครั้งเดียว หลังวิกฤติแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาภายใน 1-2 ปีหรืออย่างมากก็อาจจะ 3 ปี เรื่องที่บริษัทจะ “ล่มสลาย” หรือล้มละลายไปนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สภาพคล่องในระบบการเงินของไทยยังมีเหลือล้น ตราสารหนี้ที่ออกมาก็ยังมีคนต้องการอีกมาก เมื่อโควิดผ่านไปและลูกค้ากลับมา รายได้และกำไรของบริษัทก็จะกลับมา “เหมือนเดิม” และสุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกานั้น ดัชนีหุ้นกลับมาที่เดิมและสูงกว่าแล้ว และผลประกอบการของบริษัทโดยเฉพาะในกลุ่มไฮเท็คนั้นก็เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น เขาเชื่อว่าในที่สุดบริษัทและหุ้นไทยก็จะต้องตามกันไป
ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ ภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อจากนี้น่าจะยังลำบากอยู่มาก โอกาสฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่หุ้นที่ตกลงไปแรงมากกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเม็ดเงินของคนไทยและนักลงทุนไทยซึ่งยังมีเงินมากและไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อความจริงเริ่มจะปรากฏออกมาเรื่อย ๆ ก็อาจจะมีความเสี่ยงว่า นักลงทุนจะเริ่มตระหนักและถอนเงินออก และวันนั้นก็อาจจะเป็นวันที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาให้เหมาะสมกับพื้นฐานที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทย
โลกในมุมมองของ Value Investor 15 สิงหาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเรื่องการประกาศใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ที่รัสเซียซึ่งเป็นประเทศแรกที่เริ่มฉีดป้องกันให้กับประชาชน และแม้ว่าประเทศที่มีความก้าวหน้าส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับว่าเป็นวัคซีนที่ใช้ได้และปลอดภัยจริงเนื่องจากเป็นวัคซีนที่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนที่เคร่งครัดพอ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าโลกกำลังใกล้ที่จะเอาชนะโควิดได้แล้วโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวงการตลาดหุ้น นั่นคงมีส่วนทำให้หุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับโควิดโดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยววิ่งขึ้นไปอย่างแรง หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือหุ้นของสนามบิน AOT วิ่งขึ้นไป 9% ในขณะที่หุ้นโรงแรมใหญ่ที่สุดคือ MINT บวกเพิ่มขึ้น 10% ในวันเดียว ส่วนหุ้นของสายการบินหรือแม้แต่หุ้นค้าปลีกที่อิงอยู่กับการท่องเที่ยวต่างก็ปรับตัวขึ้นกันอย่างน้อย 5-6% โดยรวมแล้ว ภายในช่วง 2-3 วันหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้นประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์ หุ้นก็ปรับตัวกลับลงมาอย่างมีนัยสำคัญ คำถามคือ หุ้นที่เกี่ยวกับโควิด19โดยเฉพาะการท่องเที่ยวนั้น จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนโควิดหรือไม่และเมื่อไร?
การที่จะตอบคำถามนี้เราจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ว่าการท่องเที่ยวของไทยจะกลับมาเมื่อไร ใช้เวลากี่ปีจำนวนนักท่องเที่ยวถึงจะกลับมาเท่าเดิม นอกจากนั้นก็จะต้องดูว่าบริษัทหรือหุ้นที่อยู่ในตลาดจะทำกำไรและแข็งแรงเหมือนเดิมหรือไม่ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ภาพของหุ้นท่องเที่ยวในสายตาของนักลงทุนนั้นจะกลับมาสดใสเป็นซุปเปอร์สต็อกและมีค่ามากเหมือนเดิมก่อนเกิดโควิด19 หรือไม่
ข้อแรกก็คือ ผมเองคิดว่าสถานะของประเทศไทยในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว “ยอดนิยม” นั้น น่าจะยังคงอยู่ การจัดการเรื่องการติดเชื้อที่ดีมากช่วยให้นักท่องเที่ยวสบายใจถ้าจะมาท่องเที่ยวเมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นในโลก การที่ประเทศไทยอยู่ใกล้จีนที่มีคนจำนวนมากและสภาวะทางเศรษฐกิจยังน่าจะดูดีหลังจากโควิด19 ทำให้เราน่าจะรักษาฐานการท่องเที่ยวจากจีนได้ อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่เลวร้ายมาก รวมถึงการที่โรคโควิดยังจะอยู่กับเราอีกนานพอสมควรก่อนที่มันจะลดลงจนแทบจะหมดไปนั้น จะทำให้การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะกลับมาเท่าเดิม ผมเองคิดว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาถึง 3-4 ปี ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่หนักมากเนื่องจากธุรกิจมีต้นทุนคงที่ที่เป็นค่าเสื่อมและการดูแลอุปกรณ์และสถานที่รวมถึงการต้องมีกำลังคนที่มีต้นทุนสูงในระดับหนึ่งไม่ว่าจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน ผลก็คือ กำไรของกิจการอาจจะย่ำแย่ไปอีกหลายปี
ประเด็นสำคัญข้อสองก็คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในวงการการท่องเที่ยวนั้น ต่างก็สร้างกำลังการผลิตกันอย่างมากมายในช่วงที่ผ่านมาก่อนเกิดโควิด19 และกำลังการผลิตเหล่านั้นไม่สามารถลดลงมาได้ สนามบินถูกสร้างเพิ่มขึ้นและกำลังเสร็จในขณะที่คนใช้ลดลงมาก จำนวนเครื่องบินที่มีอยู่มากเกินความจำเป็นและต้องจอดอยู่และมีต้นทุนในการดูแลรักษาที่สูงมาก โรงแรมถูกสร้างหรือซื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมากก็อยู่ในต่างประเทศที่สถานการณ์เลวร้ายเท่ากันโดยที่ต้นทุนค่าเสื่อมราคาและการดูแลสถานที่สูงและลดไม่ได้มาก ห้างค้าปลีกกำลังสร้างเพิ่มขึ้นอีกมาก หลายแห่งก็เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกมากแต่เมื่อเสร็จจริงก็อาจจะพบว่านักท่องเที่ยวกลับมีน้อยลงกว่าเดิม ทั้งหมดนั้น ธุรกิจต่างก็กู้เงินเพิ่มขึ้นมหาศาลอานิสงค์ส่วนหนึ่งมาจากการที่เงินกู้หาได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำมาก นี่ก็เป็นภาระที่หนักมากสำหรับบริษัทเหล่านั้น เพราะแม้ว่ารายได้จะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่กำไรก็จะยังไม่มาอีกนานพอสมควร ไม่ต้องพูดถึงกระแสเงินสดที่จะมีน้อยเพราะต้องคืนหนี้ก้อนใหญ่ อัตราการจ่ายปันผลคงจะต้องต่ำต่อไปอีกนาน
มองไกลออกไปหลังจากที่การท่องเที่ยวกลับมาเท่าเดิมก่อนเกิดโควิด19 แล้ว ก็ยังจะมีคำถามตามมาว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเดินทางจะเติบโตเร็วต่อไปอีกหรือไม่ เพราะนี่จะเป็นตัวกำหนดว่าหุ้นท่องเที่ยวในระยะยาวจะเป็น “หุ้นโตเร็ว” อย่างที่นักลงทุนคิดและเข้าใจกันมาตลอดหรือไม่ ประเด็นนี้มีความสำคัญต่อการประเมินราคาหุ้นมาก เพราะหุ้นท่องเที่ยวขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทยนั้น มีค่า PE ที่สูงมานานแล้วจนถึงโควิด19 และต่อมาจนถึงวันนี้ที่ค่า PE ยิ่งสูงขึ้นไปมากเพราะกำไรของบริษัทกำลังลดลงอย่างมาก ว่าที่จริงหุ้นในกลุ่มนี้มีค่า PE ในระดับ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 8 สิงหาคม 63
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
“วัฏจักร์” ของตลาดหุ้นอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในประวัติศาสตร์ก็คือ เมื่อตลาดหรือดัชนีตกต่ำลงมาถึงจุดหนึ่ง มันก็จะปรับตัวขึ้น ตอนเริ่มต้นก็จะไปอย่างช้า ๆ และนำด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดีและมีกำไรที่กำลังจะฟื้นตัวดีขึ้น ต่อมาเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นถึงจุดหนึ่ง หุ้นขนาดกลางก็จะเริ่มปรับตัวขึ้นและจะปรับตัวขึ้นแรงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่มักจะ “อุ้ยอ้าย” และโตช้ากว่า และหลังจากที่หุ้นขนาดกลางปรับตัวขึ้นไปมากและกระจายตัวออกไปก็จะมาถึงคิวหุ้นตัวเล็กที่เริ่มเห็นว่ากิจการจะมีกำไรดีขึ้นเนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจที่น่าจะดูดีขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว ในขณะนี้ นักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยก็จะเริ่มเข้ามาเก็งกำไรซื้อขายหุ้นกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากได้รับข่าวสารที่ว่าตลาดหุ้นทำเงินให้นักลงทุนจำนวนมาก การลงทุนสามารถ “สร้างเศรษฐี” ให้กับนักเล่นหุ้นเป็นกอบเป็นกำ
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นหรือดัชนีหุ้นเมื่อวิ่งขึ้นถึงจุดหนึ่ง หุ้นทั้งหมด เฉพาะอย่างยิ่งหุ้นตัวเล็กก็จะแพงจนเริ่มมีคนขายหุ้นทำให้หุ้นเริ่มหยุดวิ่ง ข่าวดี ๆ ที่จะขับเคลื่อนหุ้นเริ่มหมด ณ. เวลานี้ก็ถึงคิว หุ้น “IPO” หรือหุ้นที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นครั้งแรกโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้ถูกนำมาขายโดย “Underwriter” และที่ปรึกษาทางการเงินที่จะประเมินราคาหุ้นโดยอิงจากผลประกอบการของบริษัทที่มักจะมีตัวเลขที่น่าเชื่อถือเพียงไม่กี่ปีหรือบางทีแค่ปีหรือสองปี โดยที่ปีสุดท้ายก่อนเข้าตลาดก็จะเป็นปีที่มักจะดีกว่าปกติ บ่อยครั้งก็จะเป็นปีที่ผลประกอบการ “ก้าวกระโดด” วาณิชธนากรก็จะใช้ตัวเลขนี้และประมาณการต่อไปข้างหน้าที่มักจะเติบโตสูงกว่าอดีตมาก หลังจากนั้นพวกเขาก็จะ “ตีมูลค่า” โดยใช้ตัวเลขเช่น ค่า PE ที่มักจะอิงจากค่า PE ของอุตสาหกรรม คูณด้วยตัวเลขกำไรของบริษัท จากนั้นก็จะมีการ “Discount” หรือปรับลดราคาลงมาซัก 10-15% เพื่อที่จะแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าจะได้ซื้อหุ้นถูกลงซึ่งจะทำให้“มีกำไร” เมื่อหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
จากสถิติที่มีการศึกษาโดยเฉพาะหุ้นในตลาดของอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าหุ้น IPO นั้นจะถูกตั้งราคาที่ “แพงเกินไป” เพราะหลังจากที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดนานพอสมควรเช่น 1 ปีหลังจากซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นมักจะต่ำกว่าราคาจองเป็นส่วนใหญ่ จนผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในแวดวงของตลาดหุ้น ชอบพูดประชดหุ้น IPO ว่าไม่ใช่มาจากคำย่อว่า “Initial Public Offering” แต่เป็น “It’s Probably Overpriced” หรือแปลว่า “ราคาหุ้นคงจะแพงเกินไป” เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่า IPO นั้นมักจะเกิดขึ้นมากตอนหุ้นในตลาดโดยรวมร้อนแรงและราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็มักจะแพงเกินไปอยู่แล้ว ดังนั้นหุ้น IPO ก็มักจะต้องแพงตามและแพงกว่า เนื่องจากทุกคนต้องการมันและที่ปรึกษาและเจ้าของหุ้นต่างก็มักจะมองโลกในแง่ดีและเชื่อในผลประกอบการที่มักจะสดใสกว่าความเป็นจริง
ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น IPO ยังเป็นหุ้นที่นักเล่นหุ้นส่วนบุคคลชอบมากเนื่องจากมันสามารถเป็นเครื่องมือของการ“เก็งกำไร” ที่ทรงประสิทธิภาพเพราะว่าราคาหุ้นจะมีความผันผวนสูงกว่าหุ้นที่อยู่ในตลาดมานานแล้วมาก ราคาที่เข้าซื้อขายหุ้นในวันแรกนั้นอาจจะแตกต่างจากราคาจองเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องปกติ ในประวัติศาสตร์เองนั้น หุ้นบางตัวขึ้นไปถึง 200% หรือชนเพดานก็มีอยู่บ่อย ๆ ในทางตรงกันข้าม เวลาที่เกิดการขาดทุนนั้น กลับมีการขาดทุนไม่มาก แค่ 10-20% ก็ถือว่ามากแล้ว เหตุผลก็เพราะว่า “ไม่มีใครมีต้นทุนต่ำกว่าราคาจอง” ยกเว้นแต่ผู้ถือหุ้นเดิมหรือเจ้าของที่หุ้นมักจะถูก “ล็อก”เอาไว้ไม่ให้ขายในช่วงเวลาหนึ่งหลังหุ้นเข้าตลาด ดังนั้น การจองซื้อหุ้น IPO รวมถึงการเล่นหุ้นในช่วงวันแรก ๆ ที่เข้าตลาดหุ้นจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบมาก หลายคนอาจจะไม่สนใจเรื่องของพื้นฐานและ “ราคาหุ้นที่เหมาะสม” เกือบทุกคนเข้ามาเล่น “เก็งกำไร” ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้น IPO ในช่วงแรก ๆ ของการเข้าตลาดหุ้นสูงแบบมโหฬาร และราคาหุ้นบ่อยครั้งก็ขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ
แต่ไม่ใช่หุ้น IPO ทุกตัวจะประสบความสำเร็จ การคาดการณ์ว่าหุ้นตัวไหนจะ “วิ่งระเบิด” นั้นผมคิดว่าน่าจะต้องมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรมากกว่าพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการและความถูกแพงของราคาหุ้น ซึ่งผมจะลองเสนอเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
ข้อแรกก็คือ หุ้น IPO ที่จะประสบความสำเร็จมักจะอยู่ในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต” เฉพาะอย่างยิ่งเป็นอุตสาหกรรม“ไฮเท็ค” หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับ “ดิจิตอล” หรืออุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์” อื่น ๆ ที่คนเชื่อว่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็วและต่อไปได้อีกนาน และโดยที่นักเล่นหุ้นทั่วไปนั้นมักจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของเทคโนโลยีมากนัก ดังนั้น หุ้น IPO ที่จะเข้าตลาดก็จะต้องมีชื่อที่คนฟังแล้วจะเกิดความมั่นใจว่านี่คือบริษัทที่ “ใช่เลย” เพราะมีคำที่เกี่ยวกับ“เทคโลยีใหม่ระดับโลก” หรือมาจากแหล่งที่เป็น “ศูนย์กลางของเทคโนโลยีระดับโลก” และที่สำคัญก็คือ บริษัทมีการซื้อขายสินค้ากับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และในกรณีที่เป็นสินค้าหรือบริการในประเทศก็จะต้องมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตหรืออะไรก็ตามที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมาก เช่น คำว่าคลาวด์หรือแพลทฟอร์ม เป็นต้น
ข้อสอง เป็นบริษัทที่กำลังได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันอย่างมาก เช่น เป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้ในการป้องกันโควิด19 หรือเป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคเลยและยอดขายก็ไม่ได้ตกลงมา บางทีอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ กำไรของบริษัทกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจน “น่าทึ่ง” ซึ่งทำให้เกิดภาพว่าบริษัทมีความโดดเด่นมากในยามที่บริษัทอื่น ๆ ส่วนใหญ่กำลังย่ำแย่จนแทบเอาตัวไม่รอด เรื่องราวของบริษัทที่อยู่ในภาพพจน์ของนักลงทุนก็คือเป็นหุ้นเล็กที่ “เติบโตเร็ว” ซึ่งหาได้ยากในตลาดหุ้นไทยในภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจเติบโตช้าลงอย่างมาก
ข้อสามซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะทำให้หุ้น IPO สำเร็จในช่วงเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นในช่วงแรกก็คือ ขนาดหรือจำนวนของหุ้นที่ขายให้กับประชาชนหรือนักลงทุนทั่วไปจะต้องไม่สูงมาก ซึ่งก็หมายความว่า Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดจะมีไม่มาก เช่น แค่ไม่กี่ร้อยล้านบาทหรืออย่างมากก็ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เพราะถ้าเป็นหุ้นที่มีFree Float สูง การที่จะมีเม็ดเงินมาไล่ซื้อดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปก็ทำได้ยาก หุ้นที่มีหุ้นกระจายในตลาดน้อยและเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติโดดเด่นสำหรับการเก็งกำไร เช่น อยู่ในอุตสาหกรรมไฮเท็คและเติบโตเร็ว นั้น จะมีโอกาสที่จะถูก “Corner” หรือถูกซื้อโดยนักเก็งกำไรหรือนักปั่นหุ้นจน “เกือบหมด” ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้น “วิ่งระเบิด” โดยที่พื้นฐานของกิจการอาจจะไม่รองรับ ตัวอย่างก็เช่น หุ้นตัวเล็กหลายตัวที่วิ่งขึ้น 200% ในการซื้อขายวันแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นต้น
ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์ของ “ภาวะกระทิง” ของหุ้น IPO โดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็กซึ่งผมคิดว่ามาจากการที่หุ้นถูกCorner นั้น อาจจะดำเนินต่อไปได้อีกระยะหนึ่งแต่ก็คงไม่นานนัก เหตุผลก็เป็นเพราะภาวะการเก็งกำไรของตลาดหุ้นไทยส่วนที่เป็นหุ้นขนาดเล็กที่กำลังเกิดขึ้นนี้ คงไปต่อไม่ได้นาน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความร้อนแรงของหุ้น IPO นั้น มักจะเป็นสัญญาณว่าภาวะกระทิงใกล้จะจบ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงมากก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ นักลงทุนจะต้องเข้าใจว่า บริษัทที่เราคิดว่าเป็น “ไฮเท็ค” นั้น อาจจะไม่ใช่บริษัทไฮเท็คที่มีเทคโนโลยีระดับสูงจริง ๆ และบริษัทอื่นจำนวนมากก็สามารถทำได้ ไม่มีทางที่บริษัทจะสามารถเติบโตและทำกำไรมากมายได้ในระยะเวลาอันสั้น และสิ่งที่จะยืนยันก็คืองบการเงินที่จะทยอยออกมาทุกไตรมาศ
นักเล่นหุ้นเก็งกำไรในหุ้น IPO บางคนอาจจะคิดว่านี่คือการเก็งกำไรและจะซื้อขายหุ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ถ้าดูว่าหุ้นอาจจะไม่ขึ้นต่อแล้วก็จะขายออกไปก่อน แต่ในความเป็นจริงนั้น แทบทุกคนที่เข้ามาซื้อหุ้นก็จะคิดแบบเดียวกัน ดังนั้น ในวันที่เราคิดจะขาย คนอื่นก็อาจจะคิดแบบเดียวกัน คนที่จะซื้อมีน้อยมาก หุ้นก็อาจจะตกลงมาได้มากจนเราไม่อยากขายและในที่สุดก็จะ “ติดหุ้น” เพราะราคาหุ้นต่ำกว่าต้นทุนของเรามาก และถ้าขายก็จะขาดทุนอย่างหนัก ผมคิดว่าคนที่จะมีโอกาสกำไรได้มากในการเล่นหุ้น IPO ก็คือคนที่ “คุมเกม” คือคนที่มีเม็ดเงินมากพอที่จะ Corner หุ้น ซึ่งจะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปได้มากตามที่ต้องการ จากนั้นก็จะค่อย ๆ ทยอยขายหุ้นออกในเวลาที่เหมาะสมเป็นระยะจนหมดก่อนที่ “ความจริง” ในพื้นฐานของหุ้นจะปรากฏ
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 สิงหาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเมืองเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศและบางทีก็ทั้งโลก เพราะฉะนั้น นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าการเมืองของประเทศเป็นอย่างไรในปัจจุบันและจะเป็นอย่างไรในอนาคต การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขันหรือการต่อสู้ของคนในสังคมเพื่อที่จะได้อำนาจในการทำสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรของประเทศในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือกลุ่มตนเองที่มีความคิดคล้าย ๆ กัน ความคิดทางการเมืองของคนโดยทั่วไปในโลกยุคปัจจุบันนั้นมักจะแบ่งออกเป็น 2 แนวทางใหญ่ ๆ นั่นก็คือ อนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยม คนในสังคมของประเทศอย่างในไทยและประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็มักจะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายและก็มักจะรวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม ตัวอย่างเช่น ในอเมริกาก็จะมีพรรครีพับลิกันเป็นพรรคแนวอนุรักษ์ในขณะที่พรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายเสรีนิยม ในขณะที่อังกฤษก็จะมีพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงานที่เป็นเสรีนิยม ทั้งสองฝ่ายต่างก็แข่งขันทางการเมืองมายาวนานเป็นร้อยปีและก็ผลัดกันแพ้และชนะมาตลอด
ในประเทศไทยนั้น ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 หรือ 88 ปีมาแล้ว เราก็มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นและแข่งขันกันเป็นช่วง ๆ ไม่ค่อยต่อเนื่องยาวนานในแต่ละครั้งเนื่องจากการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะถามว่าแนวความคิดเรื่องอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมนั้น ฝ่ายไหนชนะและเกิดขึ้นในช่วงไหน คำตอบก็คือ การเมืองไทยตั้งแต่ปี 2475 นั้นแทบจะไม่เคยเป็นเสรีนิยมเลย อาจจะมีช่วงสั้น ๆ เช่นหลังวิกฤติการเมือง 14 ตุลาคม 2519 และในช่วงหลังปี 2540 ที่ไทยมีรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2534 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเนื่องจากการ...
บริษัทหลักทรัพย์เวียดนามอวดกำไรไตรมาส 2
หลังจากแตะจุดต่ำสุดในไตรมาสแรกจาก COVID-19 ตลาดหุ้นของเวียดนามกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในไตรมาส 2 ทำให้บริษัทหลักทรัพย์มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก
บริษัทหลักทรัพย์ SSI มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจในไตรมาสที่สอง โดยรายได้รวมพุ่งขึ้น 85.5% 1.38 ล้านล้านด่อง และกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น 172.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ฝั่งของ HCM Securities Corp (HSC) รายงานรายได้มากกว่า 374,000 ล้านด่อง (16.28 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ)โดยมีกำไรหลังหักภาษีเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ BIDV (BSC) ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่สองหลังจากที่ขาดทุนสุทธิเกือบ 61,000 ล้านด่อง ในไตรมาสแรก รายได้ในไตรมาสสองพุ่งขึ้น 81.5% เมื่อเทียบเป็นรายปีแตะที่ 256 พันล้านด่อง โดยมีรายรับจากบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เติบโตสูงสุด 75.7% กำไรก่อนหักภาษีสูงถึง 96 พันล้านด่อง ในไตรมาส 2 หรือสูงกว่าปีที่แล้ว 3.5 เท่า
credit: https://en.vietnamplus.vn/securities-firms-enjoy-strong-q2-gains/179253.vnp
ตัดจากบทสัมภาษณ์ ของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในรายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน (20-07-63)
8 ปีที่แล้วที่หุ้นไทยไม่ไปไหน …ทางออกของเราคืออะไร?
ตอนนี้ประเทศอื่นเค้าเปลี่ยนหมด บ้านเราพูดตามตรงยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนเลยทางออกคือ "ไปลงทุนต่างประเทศ" ไปลงทุนประเทศที่เค้ามีอนาคตดีๆ
หรือถ้าสู้กันในประเทศไทยต้องเปลี่ยนโหมด เก็งกำไรเอาแบบเดิมหุ้นตัวเล็กแบบเดิม ผมคิดว่าแบบนี้ไปไม่รอดหรอก ตราบใดที่ภาพใหญ่ยังไม่เอื้ออำนวย มันไปยาก
แต่ถ้าคุณเลือกไปประเทศที่อนาคตสดใส ผมยกตัวอย่าง ไม่ได้เชียร์อะไรมากนะ…เวียดนามเนี๊ย !จริงๆ เท่าที่ผ่านมาหลายปีเค้าก็ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรมากมายนะ พอๆ กับเมืองไทย ไม่ค่อยดีหรอก แต่ไปดูพื้นฐานของเค้านี้มันรองรับหมด ราคาหุ้นก็ถูกกว่า เพียงแต่หุ้นยังไม่ไปเท่านั้นเอง แต่เรามียังความหวังว่าเมื่อเงินมากขึ้น ดอกเบี้ยลดลง คนเห็นว่าการลงทุนหุ้นเป็นสิ่งที่ดี ก็มีโอกาสที่หุ้นจะโตเพราะมีพื้นฐานรองรับ
แต่ของไทยนี้ต้องคิดว่าถ้าไม่มีพื้นฐานรองรับพวกที่เก็งกำไรนี่มันอยู่ไม่ได้ ขึ้นเดี๋ยวก็ลง แล้วเวลามันลงมันลงหนัก
สำหรับคนธรรมดา ถ้าจะไปต่างประเทศก็ไม่ไหวหรอก คิดไม่ออก ไม่มีความรู้(อาจ) หากองทุนประเทศที่เราสนใจ แล้วให้คนไปบริหารแทน
พิธีกร: เราจะเป็นแบบญี่ปุ่นไหมที่ตลาดหุ้นไม่ไปไหน ทั้งที่ดอกเบี้ยต่ำ?
เป็นไปน่าได้ น่ากลัว เพราะอาการของไทยกับญี่ปุ่นมันคล้ายๆ กันญี่ปุ่นมีปัญหาอย่างเดียวคือคนแก่ และไม่ innovative เท่าที่ควรแต่เมืองไทยเราแก่ด้วยแล้วก็มีปัญหาอื่นด้วย
ผมพูดมาหลายปีแล้วว่าไทยเสี่ยงที่จะเป็น Lost Decade คือ ทั้ง 10 ปี หุ้นไม่ไปไหน ซึ่งอันตราย ญี่ปุ่นนี่ Lost มาหลาย Decade ไม่ต่ำกว่า 20...