ในบทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับหุ้นรายตัวในดัชนี VN30 นั่นก็คือ Bao Viet Holdings หรือ BVH ที่ตอนนี้มีรายงานว่า บริษัทผู้ค้าประกันจากญี่ปุ่น Sumitomo Life ได้ลงนามเพื่อซื้อหุ้นของ BVH เพิ่มอีกกว่า 41.4 ล้านหุ้น ซึ่งปัจจุบัน Sumitomo ได้ถือครองหุ้นของ BVH อยู่แล้ว122.5 ล้านหุ้น เท่ากับ 17.48% ของหุ้นที่มีการออกเสียงที่โดดเด่นทั้งหมดของ BVH หากการซื้อขายสำเร็จ Sumitomo จะถือครองหุ้นเกือบ 164 ล้านหุ้นของ BVH ซึ่งจะเท่ากับ 22.09% ของทุนบริษัทBVH เป็นกลุ่มบริษัทที่มีบริษัทด้านประกันชีวิตชั้นนำของเวียดนาม มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด โดยมีบริษัทในเครือหลักๆอย่าง Bao viet Insurance, Bao Viet Life, Bao Viet Fund, Bao Viet Securities, Bao Viet Bank...
บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับหุ้นรายตัวใน VN30 กันนะคะ เริ่มจากบริษัทที่มีกิจการเกี่ยวกับสิ่งที่ในเวลานี้ นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประวันของคนส่วนใหญ่ นั่นก็คือโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาต่างๆ Mobile World Investment Corporation หรือ MWG ปัจจุบันเป็นผู้ค้าปลีกชั้นนำของเวียดนาม ที่จัดจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์พกพา อุปกรณ์เสริม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องผ่านทางเครือข่ายของ Thegiodidong และยังมีเครือข่ายค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกผ่าน Dienmayxanh ,เครือข่ายค้าปลีกร้านขายของชำ Bach Hoa Xanh ที่มีสาขารวมทั้งหมดกว่า 2,800 สาขาทั่วประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ MWG ยังได้ขยายเครือข่ายการค้าปลีกโทรศัพท์มือถือไปยังต่างประเทศ โดยเปิดสาขาที่ชื่อว่า BigPhone ในประเทศกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 16 สาขาในกรุงพนมเปญ ข้อมูลถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 ปีนี้ รายรับของ MWG เพิ่มขึ้น 17% เท่ากับ 76.763 ทริลเลี่ยนVND รายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 36% เท่ากับ 2.975 ทริลเลี่ยนVND ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท เพราะสภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย และข้อมูลอื่นๆดังนี้ P/E...
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 ธันวาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             คนที่เป็น VI “พันธุ์แท้” และเป็นมานานนั้น  ผมเชื่อว่าในที่สุดเขาก็จะขยายแนวความคิดและปรัชญาแบบ VI ออกไปจนครอบคลุมถึงทุกเรื่องในชีวิต  มุมมองต่อสังคม  ประเทศ และโลก   และดังนั้น  พวกเขาก็จะมีหลาย ๆ  สิ่งหลาย ๆ  อย่างที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก  นี่ก็คงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองชอบสไตล์การใช้ชีวิตและมุมมองในหลาย ๆ ด้านของวอเร็น บัฟเฟตต์ซึ่งเป็น VI พันธุ์แท้และเป็นไอดอลของผมและของ VI ทั่วโลก   ผมคิดว่าการเป็น VI นั้นไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือในธุรกิจอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องของการเงินเท่านั้น   แต่ VI เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตในทุกด้านทั้งทางด้านของร่างกาย  จิตใจและมโนธรรมของเรา           หลักการที่เป็นหัวใจของ VI ที่เรารู้จักและเข้าใจกันก็คือเรื่องของการเงินที่เราจะเลือกการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามาก ๆ  นั่นคือ  ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติและมีความปลอดภัยหรือมี Margin Of Safety สูง  ไม่ลงทุนหรือทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง  วิธีการสำคัญก็คือ  จะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่ากิจการนั้นเป็นกิจการที่ดีในระยะยาวนั่นคือ  มีความมั่นคง  มีกำไรที่ดี  มีอนาคตที่ดี  และสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกหรือยุติธรรม  นี่คือการเลือกหุ้นรายตัว  แต่ใน “ภาพใหญ่” นั้น  เราจะต้องลดความเสี่ยงโดยการกระจายการถือครองหลักทรัพย์ให้มากพอที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือการที่เราคิดหรือคาดการณ์ผิดด้วย  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะสร้าง  “สุขภาพที่ดีทางการเงิน” ให้กับตัวเรา  ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของการทำให้เรารวยหรือได้ผลตอบแทนที่ดีเลิศอย่างรวดเร็ว  แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีและ  “ไม่เสี่ยง”  และเรา  “สบายใจ”  กับกระบวนการลงทุนของเราไปเรื่อย ๆ  หรือพูดง่าย ๆ  “มีความสุขจากการลงทุน” ตลอดเวลา          ...
    เตรียมพบกับ Bill Stoops. CIO, Dragon Capital Group Limited. ในงานสัมมนารวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธันวาคม. 2562      Bill Stoops จบการศึกษาจาก Brown University ในปี 1978 และทำงานในตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่ปี 1980 เริ่มต้นที่ฮ่องกงซึ่งเขาเป็นที่ปรึกษาด้านนักข่าวและการเมืองความเสี่ยง Stoops เข้าร่วม Schroder Securities ในฐานะนักวิเคราะห์ ก่อนที่จะย้ายไปโซลในปี 1985  ปี 1989 Bill Stoops ได้รับคัดเลือกจาก Baring Securities ในกรุงลอนดอนเพื่อบริหารทีมขายในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือสี่ปีต่อมาเขาถูกย้ายไปนิวยอร์กเพื่อสร้างแผนกขายตลาดเกิดใหม่ของบริษัท  เชี่ยวชาญใน Emerging Europe และในฐานะนี้ยังทำงานให้กับ Deutsche Bank และ HSBC ในช่วงปี 2541-2549  จากนั้นเขาย้ายไปที่เวียดนามในตำแหน่งผู้อำนวยการ Dragon Capital โดยรับผิดชอบด้านการวิจัยและตลาดทุนและได้รับการแต่งตั้ง CIO ในปี 2552 ซื่ง Dragon Capital ที่คุณ Bill Stoops ทำงานมาเกือบ 14 ปี เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด คุณ Bill Stoops เคยให้สัมภาษณ์เรื่องความน่าสนใจในการลงทุนที่เวียดนามในสื่อด้านธุรกิจ การเงิน การลงทุนชั้นนำของโลกทั้ง CNBC FORBES BLOOMBERG พบกันกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก:http://bit.ly/32fIaOn ที่มา http://wales.clsa.com/event/IF16/IF16_SpeakerBios.pdf https://www.cnbc.com/video/2018/09/10/vietnam-could-be-a-safe-haven-amid-us-china-trade-war-says-cio.html?&qsearchterm=Bill
จากที่ Thaibev ได้เทคโอเวอร์ Sabeco (SAB,HOSE) ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของเวียดนามเมื่อปี 2017นั้น โดยล่าสุด Thaibev ได้ถือหุ้นใน Sabeco ทั้งหมด 53.58% การเริ่มต้นปีงบประมาณในเดือนตุลาคมปี 2018 ถึงเดือนกันยายนปี 2019 Sabeco ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของ Thaibev โดยมีรายงานอัตราการเติบโตของรายได้ที่ชัดเจนที่ 16% และการเติบโตของผลกำไรที่ 33% จากที่ Thaibev ได้เทคโอเวอร์ Sabeco (SAB,HOSE) ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของเวียดนามเมื่อปี 2017นั้น โดยล่าสุด Thaibev ได้ถือหุ้นใน Sabeco ทั้งหมด 53.58% การเริ่มต้นปีงบประมาณในเดือนตุลาคมปี 2018 ถึงเดือนกันยายนปี 2019 Sabeco ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของ Thaibev โดยมีรายงานอัตราการเติบโตของรายได้ที่ชัดเจนที่ 16% และการเติบโตของผลกำไรที่ 33% ยอดขายที่สูงขึ้น...
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ธันวาคม 62 ในฐานะที่เป็น VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวและปกติก็จะถือหุ้นแต่ละตัวเกินกว่า 5 ปี หลายตัวถือเกิน 10 ปี ผมจึงสนใจพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และตลาดหุ้นในระยะยาวว่าเป็นอย่างไร ข้อสรุปของผมที่ผ่านมาก็คือ คนไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างโชคดีที่ได้อาศัยและลงทุนในสังคม เศรษฐกิจ และตลาดหุ้น ที่เอื้ออำนวยให้เราเจริญเติบโตขึ้นค่อนข้างจะดีเป็นเวลาน่าจะไม่น้อยกว่า 50-60 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะยาวก็ค่อนข้างจะโดดเด่นใน “ระดับโลก”ที่ประมาณเกือบ 10% ต่อปีแบบทบต้นเป็นเวลากว่า 40 ปี อย่างไรก็ตาม พัฒนาการในช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมานั้นกลับค่อนข้าง “น่าผิดหวัง” ตัวเลขและข้อมูลทางด้านคุณภาพของเศรษฐกิจ สังคมการเมืองและตลาดหุ้นที่เคยโดดเด่นนั้นกำลังตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ไม่รู้ว่ามันจะ Turnaround หรือฟื้นกลับขึ้นมาได้อย่างไร พูดตามตรง ผมกำลังกลัวว่าเรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ...
ดัชนีหุ้นเวียดนามที่ลดลงช่วงนี้ ทำให้ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีก่อน แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ถูกที่สุดของปี แต่ถ้ามองว่าเป็นโอกาสก็ยังดูจะง่ายเกินไป สำหรับนักลงทุนที่อยากจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม มีอุปสรรคที่ต้องระวังคือ การที่สภาพคล่อง และข้อจำกัดการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติ ปริมาณผู้ถือหุ้นรายย่อยที่น้อย และการควบคุมของรัฐที่เข้มงวดทำให้เหลือหุ้นเพียงน้อยนิดสำหรับชาวต่างชาติที่จะซื้อขาย แต่ถือเป็นข่าวดี ที่เวียดนามมีการใช้มาตรการหลายอย่างในการจัดการปัญหา มีการคลายข้อจำกัดของการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติสำหรับอุตสาหกรรมบางอย่าง และมีการเร่งกระบวนการลดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐในบริษัทต่างๆ และได้เริ่มต้นตลาดอนุพันธ์เมื่อปี 2017 และจะมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนมากขึ้นในปีนี้ ในตอนนี้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นของเวียดนามยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สภาพคล่องที่ต่ำของหุ้นในระดับ Top บางตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ถือหุ้นต่างชาติรายใหญ่ที่ถือหุ้นในระยะยาว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงและความกลัวที่จะไม่สามารถเข้าถึงส่วนที่ผู้ถือหุ้นต่างชาติด้วยกัน ที่กีดกันการค้าขาย Tim Love ผู้อำนวยของตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ GAM investments กล่าว คาดหวังว่าการโอนกิจการของรัฐให้เป็นของเอกชน จะช่วยให้สภาพคล่องของตลาดลดความมืดมนลง มีความเห็นว่าถ้ารัฐลดการควบคุมลง และนักลงทุนต่างชาติเข้าใจการทำงานของรัฐเพื่อยกระดับสภาพคล่องของเวียดนามได้ จะเป็นการต้อนรับสิ่งใหม่ๆเพื่อตลาดที่ตอนนี้เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่ Oversold ที่สุดในโลก พบกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค 62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก:http://bit.ly/32fIaOn
โลกในมุมมองของ Value Investor   30 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นหวือหวาร้อนแรงมาก ๆ  ในช่วงเวลาอันสั้นนั้น  เกือบทั้งหมดต่างก็มักจะมี“Story” หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น  ฟังแล้วก็จะรู้สึกประทับใจ  คนที่  “ไร้เดียงสา” หรือแม้แต่คนที่คิดว่ามีประสบการณ์มาเพียงพอก็อาจจะยัง“เคลิ้ม” จนต้อง “เสพ” หรือดื่มด่ำกับเรื่องราวดังกล่าวและคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง  เป็นความฝันที่จะกลายมาเป็นความจริงและชีวิตของตนก็จะมีแต่ความสุข  แต่สำหรับผมเองแล้ว  ประสบการณ์ที่พานพบมาต่อเนื่องยาวนานบอกผมว่า เรื่องราวความเป็นจริงที่ตามมานั้น  ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นไปตามสตอรี่ที่สร้างหรือวาดภาพขึ้นมา  มันเป็นแค่ “Fairy Tale” หรือ “เทพนิยาย” ในตลาดหุ้นที่มีการเขียนขึ้นมาอย่างดีสุดยอดที่ทำให้คนอ่านเกิด  “จินตนาการ” หรือ“ฝันไป” กับเรื่องราว “สุดวิเศษ” เหล่านั้นชั่วขณะ  อาจจะคล้าย ๆ  กับผู้หญิงจำนวนมากที่อ่านเทพนิยายเรื่องซินเดอร์เรลล่าแล้วฝันว่าตนเองจะเป็นเหมือนซินเดอร์เรลล่าที่จะได้แต่งงานกับเจ้าชายทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย  ลองมาดูกันว่าในช่วงเร็ว ๆ  นี้เรามี  “เทพนิยาย”  เรื่องอะไรบ้าง เทพนิยายเรื่องแรกและน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างจินตนาการได้สุดยอดมีคนติดตามกันมากและเคลิบเคลิ้มไปทั้งตลาดก็คือการที่หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคที่มียี่ห้อโดดเด่นหรือมีแนวทางการขายแบบใหม่และพุ่งเป้าสู่  “ตลาดโลก” หรือนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  จะเติบโตแบบก้าวกระโดดและอาจจะกลายเป็น “ผู้เล่นระดับโลก” ดังนั้น  ราคาหุ้นก็สามารถวิ่งขึ้นไปได้เป็นหลาย ๆ เท่าหรือเป็นสิบเท่าได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี  Market Cap. ระดับแสนล้านบาทก็ไม่ถือว่าแพง ความเป็นจริงก็คือ  หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วไม่เกิน 2-3 ปี  กำไรก็เริ่มสะดุด  แผนการหรือโครงการที่จะขยายธุรกิจประสบอุปสรรคไม่เป็นไปตามคาด  กำไรถดถอยลงเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น  สิ่งที่พูดไว้ถูกดัดแปลงหรือปรับใหม่  บางกรณี “สตอรี่ใหม่” ก็ตามมา  แต่ความน่าเชื่อถือก็หมดไป  ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักเหลือเท่ากับราคาก่อนที่จะขึ้นไปหรือต่ำกว่า  หลายคน “ตื่นจากความฝัน” เทพนิยายต่อมาเป็นเรื่อง  “ความฝันแห่งภาคตะวันออก” หรือเขตเศรษฐกิจ EEC ของรัฐบาล  ว่ามันจะทำให้เกิดการลงทุนและการใช้พื้นที่โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกหลายจังหวัดในระยะเวลาอันสั้นไม่กี่ปี   ความเป็นจริงดูเหมือนว่าจะมาช้ากว่าที่คิดมากหรือบางทีมันอาจจะไม่มาเลยก็ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง Supply หรือคู่แข่งทั้งเก่าและใหม่ที่อาจจะเริ่มสร้างกำลังการผลิตหรือนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม  ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EEC บางตัวก็มีการปรับขึ้นไปบ้างในตอนแรก ๆ  ของการรณรงค์  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ดูเหมือนว่าหุ้นในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากEEC แทบจะไม่ไปไหน  จำนวนมากตกลงมาด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดไป  เทพนิยายเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่นิยมมากเท่าที่คิดตั้งแต่แรก ๆ ด้วยซ้ำ   เรื่องของการสร้างสาธารณูปโภคของรัฐนั้นน่าจะเป็น  Fairy Tale มานานพอสมควร  “เราจะมีโครงการใหม่ ๆ  เป็นแสน ๆ ล้านบาท” รถไฟ  สนามบิน ท่าเรือ  รถไฟฟ้าในเมืองและระหว่างเมือง  เป็นต้น  ดังนั้นธุรกิจเช่นรับเหมาก่อสร้างและโครงการที่เกี่ยวข้องจะได้ประโยชน์มหาศาล  อย่างไรเสียรับเหมารายใหญ่ ๆ ก็จะต้องได้งานมากมายจนทำไม่ไหวและจะได้กำไรดีเพราะงานมากไม่ต้องแข่งขันด้านราคามาก   ในช่วงแรกก็ดูเหมือนว่าหุ้นบางบริษัทก็ปรับตัวขึ้น  อย่างไรก็ตาม  เวลาผ่านไปโดยที่โครงการเกิดช้ากว่าที่คิด  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  บริษัทรับเหมาจากต่างชาติเข้ามาแข่ง  งานในมือที่คิดว่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ  นั้นกลับน้อยลง  ราคาหุ้นตกต่ำลง  และคนที่เคยเล่านิทานเรื่องนี้ก็หายหน้าจากไป เรื่องของเมกาเทรนด์นั้นก็น่าจะเป็น  “เทพนิยาย” เหมือนกัน  เช่น  คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยเฉพาะโรงพยาบาลจะได้ประโยชน์  ดังนั้น  หุ้นของโรงพยาบาลทุกรูปแบบรวมถึงที่เกี่ยวกับฟันก็วิ่งขึ้นไปหรือมีคนสนใจเข้าไปลงทุนกันมาก  ค่า PE ดูเหมือนจะสูงลิ่วระดับ 30-40 เท่าขึ้นไปกันเป็นส่วนใหญ่  แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการเติบโตของยอดขายและกำไรของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ดูโดดเด่น  โรงพยาบาลที่เคยเป็นสุดยอดและแข่งขันได้ในระดับสากลมีลูกค้าต่างชาติจำนวนมากกลับไม่เติบโตหรือโตน้อย   คำแก้ตัวนั้นมีหลายอย่างรวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น    อย่างไรก็ตาม  โรงพยาบาลท้องถิ่นเองก็ไม่ได้ดูดีอะไรนักในแง่ของผลประกอบการ อย่างมากที่เห็นก็คือ  โรงพยาบาลก็โตพอ ๆ  กับเศรษฐกิจหรือดีกว่าก็เพียงเล็กน้อย  หุ้นโรงพยาบาลที่เคยร้อนแรงตอนนี้ก็นิ่งหรือบางตัวก็ลงมาแรงพอสมควร โรงแรมที่เคยเป็นหุ้นกลุ่มยอดนิยมเหมือนกันเนื่องจากมันก็อยู่ใน “เมกาเทรนด์” หลังจากที่คนจีนเริ่มออกมาเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองไทยเมื่อซัก 10 ปีที่ผ่านมา  ประเทศไทยเองก็ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นขึ้นกลายเป็นประเทศหรือเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกในระดับสูง  “เทพนิยาย”  เรื่องการท่องเที่ยวและโรงแรมถูกแต่งขึ้นและนักลงทุนต่างก็เคลิบเคลิ้มว่ามันคือธุรกิจที่สุดยอดและจะเติบโตไปอีกมาก    หุ้นโรงแรมวิ่งขึ้นไปแรงและสูงมาก บางตัวกลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นมหาศาล  แต่ดูเหมือนว่าการเติบโตที่รวดเร็วนั้นก็ชะลอลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  น่าจะมีโรงแรมใหม่ ๆ  เปิดขึ้นมากไม่ต้องพูดถึง “ที่พัก” จากแอร์บีเอ็นบีและอพาร์ตเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อนที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นกลุ่มผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศในยามที่เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงในช่วงนี้ต่างก็ได้รับการแนะนำว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและดังนั้นก็เป็นหุ้นกลุ่มที่ควรซื้อลงทุน  แต่นี่ก็น่าจะเป็นเทพนิยายอีกเช่นกัน  เพราะตัวเลขยอดขายของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มค้าปลีกแทบจะไม่เติบโตเลย  เหตุผลก็ชัดเจน  ตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้นั้นเทียบไม่ได้กับตัวเลขรวมของการใช้จ่ายปกติที่เป็นอยู่ Fairy Tale ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดหุ้นไทย  ในตลาดหุ้นอเมริกาเองนั้นก็มี  และที่เล่ากันเป็นประจำทุกครั้งที่ตลาดร้อนแรงและบริษัทจดทะเบียนขยายตัวโดยการเข้าควบรวมกิจการบริษัทอื่น ๆ  เป็นจำนวนมากเพราะคาดหวังว่าจะทำให้บริษัทเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นรวดเร็ว   แต่  “เทพนิยาย” เรื่องนี้ก็มักไม่เป็นจริง  เพราะหลังจากนั้น  ธุรกิจที่ซื้อมาก็มักจะ  “เน่า” ผู้บริหารที่เข้ามาใหม่ก็ต้องขายกิจการทิ้ง  ซึ่งทำให้วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดเปรียบเปรยว่ามันเหมือนเทพนิยายเรื่อง  “เจ้าชายกบ” ที่เป็นเรื่องของเจ้าหญิงที่จูบเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาบให้เป็นกบแล้วเจ้าชายก็ฟื้นกลับขึ้นมา  บัฟเฟตตบอกว่าเจ้าหญิงก็คล้ายกับผู้บริหารที่คิดว่าตนเองสามารถมองหากบหรือกิจการเน่าที่ถูกสาบแล้วฟื้นมันขึ้นมาได้  แต่ในชีวิตจริง  มันไม่มี  จูบกบกี่ตัวมันก็ยังเป็นกบอยู่นั่นเองไม่เป็นเจ้าชายอย่างที่หวัง ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น  หุ้นกลุ่มที่ถูกอ้างว่าเป็น “หุ้นโตเร็ว”  ที่มักเป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำไรโตเร็วในช่วงเร็ว ๆ  นี้ ก็มักเป็น  “เทพนิยาย” ที่เป็นเรื่องของจินตนาการ  เพราะมันมักจะโตเร็วเฉพาะในช่วงเวลานั้นและเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์เอื้ออำนวย  ไม่ใช่เรื่องของการโตจากพื้นฐานของบริษัทและเมกาเทรนด์  แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การเติบโตเร็วก็หยุดลง  กลายเป็นเติบโตธรรมดาหรือโตช้า  บางบริษัทลดลงด้วยซ้ำ  ดังนั้น  ราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเพราะคนฟังนิยายเชื่อและแห่กันมาซื้อก็จะตกลงมาอย่างแรงเหมือนกับนางฟ้าตกสวรรค์เพราะคนต่างก็แห่ขายหุ้นทิ้ง ในฐานะที่เป็น Value Investor  การฟังเรื่องราวต่าง  ๆ ของบริษัทจดทะเบียนหรือเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ  ในตลาดหุ้น  เราจะต้องระมัดระวังว่ามันเป็นเรื่องที่มีความเป็นจริงสูงหรือเป็น “เทพนิยาย”  ที่มีเนื้อเรื่องน่าประทับใจแต่เป็นเรื่องของจินตนาการที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย  เพราะถ้าเราวิเคราะห์ผิด  โอกาสที่จะเสียหายก็จะสูง  พบกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค 62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก: http://bit.ly/32fIaOn
ด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ไม่สดใส รวมกับความขัดแย้งด้านการค้าที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง กระตุ้นให้มีการนำเงินไปลงทุนในช่องทางที่ปลอดภัยอื่นๆเช่น พันธบัตรและทองคำ ทำให้สินทรัพย์เหล่านี้มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามข้อมูลจาก Saigon Securities Incorporation (SSI) ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี2018 จนถึงเดือนตุลาคมของปีนี้ มีการถอนเงินลงทุนจากกองทุนรวมทั่วโลกแล้วประมาณ 277 พันล้านดอลลาร์ฯ เป็นการถอนเงินทุนที่ใหญ่และยาวนานที่สุดในปีที่ผ่านมา ในขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุนรวมตราสารหนี้ (bond) ราว 372 พันล้านดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตามในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมีมูลค่า Net buyers ใน HOSE ที่ 72.84 พันล้านVND ประกอบด้วย Hoa Phat Group (HPG)(36.01พันล้านVND), Bank for Investment and Development(BID)(18.34พันล้านVND) และ Vincom Retail (VRE)(17.98พันล้านVND)ซึ่งมีการขายสุทธิใน HNX มูลค่า 2.72 พันล้านVND...
Petrolimex, Vinamilk, Samsung, Viettel, Vingroup, Vietjet เป็นกลุ่มบริษัทและองค์กรสำคัญที่ได้รางวัลเกียรติยศ Vietnam Profit 500 Vietnam Report เปิดเผยรายงานการจัดอันดับ Vietnam Profit 500 ประจำปี 2019 ซึ่งเป็นการรวบรวมและจัดอันดับบริษัทต่างๆที่มีผลคะแนนสูงจากหลายตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นการสร้างผลกำไรเช่น ROA, ROE, ROR, ผลกำไรก่อนหักภาษีและรายได้โดยประกอบไปด้วยอันดับTop ของบริษัทที่ทำกำไรยอดเยี่ยม ตามธุรกิจสาขาต่างๆ Petrolimex, Vinamilk, Samsung, Viettel, Vingroup, Vietjet เป็นกลุ่มบริษัทและองค์กรสำคัญที่ได้รางวัลเกียรติยศVietnam Profit 500 ธุรกิจธนาคารยังคงโดดเด่น โดย Vietcombank, Vietinbank, Techcombank, VPBank, HDBank, MB และ ACB ติดในอันดับ Top 10 Most Profitable Bank ...

MOST POPULAR