ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์สัมภาษณ์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์กับนักลงทุนจึงขอแชร์ ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าการลงทุนสามารถสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากยาจกให้กลายเป็นเศรษฐี แต่นักลงทุนต้องศึกษาและเรียนรู้ว่าเศรษฐกิจเติบโตอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจคุณก็จะไม่ทำแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงอยู่ที่หลักการในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จยังเป็นแบบเดิม แต่กาละและเทศะไม่เหมือนเดิมแล้ว ยี่สิบปีก่อนเมืองไทยเติบโตเร็ว แต่ในยุคนี้ชัดเจนว่าเมืองไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเติบโตช้าลง เพราะปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือคนแก่ตัวลง ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงนี้ได้ เพราะการไปบอกให้ใครต่อใครมีลูกกันเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และคนรุ่นใหม่ก็มีค่านิยมว่าเขาไม่ต้องการมีลูกเยอะ หรือบางคู่แต่งงานกันโดยไม่คิดจะมีลูกเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงต้องเปลี่ยนไปลงทุนในสถานที่ที่มีการเติบโตเร็ว เช่น ประเทศที่มีเด็กเกิดใหม่เยอะ หรือประเทศที่ประชากรมีศักยภาพสูง ซึ่งประเทศเหล่านี้จะเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ ถามว่าตอนนี้ผมเลือกไปลงทุนที่ไหน─ถ้าผมหนุ่มกว่านี้สักหน่อยผมคงไปมากกว่านี้ อย่างเช่นตลาดอเมริกาก็น่าสนใจมาก เพราะเป็นที่รวมกันของบริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ในอนาคตจะต้องเติบโตต่อไป และนับวันโลกจะยิ่งต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากว่าตอนนี้เราอายุมากขึ้น ศึกษาน้อยลง จึงเลือกเฉพาะประเทศที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเศรษฐกิจของเขาจะต้องเติบโตต่อไปได้อีกไกลอย่างเวียดนาม คนเวียดนามได้รับการพิสูจน์มาตลอดเวลาว่ามีความสามารถและไอคิวสูง ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ยังไม่รวย ไม่เจริญ แต่คุณภาพของคนสูงมาก เมื่อทดสอบในระดับนานาชาติจะพบว่าเขาเก่งเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น เขาจึงมีความสามารถในการทำงานที่ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากขึ้นไปอีก และนอกจากความโดดเด่นเชิงคุณภาพแล้ว เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีคนหนุ่มสาวเยอะ ย่อมเท่ากับว่ามีแรงงานที่คุณภาพดีในจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญคือการมีระบบเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโต ในอดีต เวียดนามมีเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งปิดกั้นโอกาสของคน ทำให้คนเก่งๆ ไม่มีงานทำ แต่ปัจจุบัน เวียดนามเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจเสรีของโลก ดังนั้น ผู้คนก็เข้าไปลงทุนและทำกำไรกันมากมาย และผมก็คิดว่าเวียดนามจะเติบโตต่อไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 20 ปี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นประเทศของเขาตอนนี้คล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน อ่านบทความเต็มคลิกhttps://adaybulletin.com/talk-conversation-niwes-hemvachiravarakorn/45133
ขอขอบพระคุณ อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากรพี่เอก ธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม)คุณโกสินทร์ เจือศิริภักดี SVP - Cross Border Trading Department at CGS CIMB Securities)พี่ณัฐ ณัฐกิติ์ สุนทรบุระพี่บอล ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทองพิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรสพิธีกรรับเชิญภาคภาษาอังกฤษ คุณวรพจน์ จัน ยั่งยืน และคุณชนะกานต์ เหล่าธรรมานนท์Mr.Bill Stoops, Chief Investment Officer (CIO) Dragon Capital Ms. Hien Tran Thi Khanh (Deputy Director - Research -...
บทความนี้จะมาพูดถึงหุ้นรายตัวในดัชนี VN30 ซึ่งมีบริษัทไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นแบรนด์ชั้นนำของเวียดนามในวงการของเครื่องดื่มเบียร์ค่ะ Sabeco ( Saigon Beer Alcohol Beverage Crop) หรือ SAB เป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารสำเร็จรูป ค้าขาย เบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์และเครื่องดื่มชูกำลัง ค้าขายวัตถุดิบ เครื่องประกอบ ส่วนประกอบ เครื่องปรุงรส และส่วนสำคัญสำหรับการผลิตเบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงซื้อขายและให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Sabeco นับว่าเป็นผู้ผลิตเบียร์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับต้นๆในเวียดนาม จัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับให้เป็นแบรนด์ระดับชาติ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Vietnam Beverage บริษัทสาขาของ Thaibev (53.58%) ทำให้ Saigon มีชื่อเป็นสปอนเซอร์บนเสื้อของทีมฟุตบอล Leicester City ที่แข่งขันในระดับพรีเมียร์ลีก และตามรายงานล่าสุด Thaibev ปฏิเสธข่าวที่ว่าจะขายหุ้นของธุรกิจในเวียดนาม เพราะยังเชื่อมั่นในธุรกิจในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังคง เป็นหนึ่งในตลาดหลัก และเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในระดับภูมิภาค เวียดนามนับว่าเป็นประเทศที่มีการบริโภคเบียร์เป็นอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชีย เวียดนามจึงกลายเป็นตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับสามของเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีน ทำให้ SAB มีรายงานรายรับ 90ล้านVND(3.87ล้านดอลลาร์) ต่อวัน ในเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน...
โลกในมุมมองของ Value Investor     21 ธันวาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             ผมเพิ่งตระหนักว่าตนเองได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามประมาณ 4-5 ปีแล้วด้วยเม็ดเงินกว่า 10% ของพอร์ตทั้งหมด  ในตอนนั้นวัตถุประสงค์ที่สำคัญก็คือการ Diversify หรือกระจายความเสี่ยงของพอร์ตที่เป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยทั้งหมด  ผมคิดว่าการลงทุนในประเทศเดียวนั้นมีความเสี่ยงกว่าการลงทุนในหลายประเทศและหลายตลาด  และตลาดหุ้นที่ผมเลือกที่จะไปก็คือเวียตนาม  เหตุผลก็คือ  ประเทศเวียตนามกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงของการเติบโตสูงอานิสงค์จากการเปลี่ยนและเปิดประเทศจากสังคมนิยมเป็นทุนนิยม  เป็นประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวเยอะมาก  คนทั้งประเทศมีกว่า 90 ล้านคน  ค่าแรงของประเทศต่ำกว่าไทยครึ่งหนึ่งและเป็นประชากรที่มีการศึกษาดีขยันขันแข็ง  ผลการทดสอบ PISA Test ของนักเรียนได้คะแนนสูงเท่า ๆ  กับคนในประเทศพัฒนาแล้ว  เวียตนามกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการส่งออกอีกแห่งหนึ่งของโลก  ปริมาณการส่งออกคิดเป็นกว่า 100% ของ GDP ของประเทศ  การเติบโตของ GDP เองนั้นสูงถึง 6-7% ต่อปีติดต่อกันมาหลายปีและล่าสุดกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงที่สุดในอาเซียน             ผมตื่นเต้นและมั่นใจว่าเวียตนามกำลังจะเป็น  “The Next Thailand And Beyond” คือจะเติบโตเร็วมากเหมือนไทยในสมัยก่อนและอาจจะแซงไทยในอนาคตเนื่องจากมีประชากรมากกว่ามาก  การเติบโตของเวียตนามจะยั่งยืนเพราะเป็นการเติบโตจากการลงทุนที่กำลังเพิ่มขึ้นมหาศาลจากเกาหลี ญี่ปุ่น  ไต้หวัน ซึ่งกำลังย้ายฐานจากไทยและจีนที่มีค่าแรงสูงกว่ามาก  และสิ่งที่ทำให้ผมต้องการเข้าไปลงทุนทันทีก็คือการที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียตนามเพิ่งจะผ่านพ้น  “วิกฤติ” ค่าเงินและฟองสบู่อสังหาที่เป็นผลจากการเติบโตเร็วเกินไปซึ่งทำให้มีการลดค่าเงินน่าจะไม่ต่ำกว่า 30%  นอกจากนั้น  อัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินด่องกับเงินดอลลาร์ก็เริ่ม Stable หรือมั่นคงขึ้นอย่างมากมาหลายปีแล้ว   ในตอนนั้นผมคิดว่าผมกำลังเจอกับตลาดหุ้น “ในฝัน” ที่ดัชนีตลาดตกจาก 1,000 จุด เหลือเพียง 500-600 จุดหลังจากผ่านไป 7 ปี เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ  และทุกสิ่งทุกอย่างกำลังฟื้นตัว  นี่คือสถานการณ์แบบเดียวกับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังวิกฤติปี 2540 ที่ผมเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัว  ผมคิดว่าผมกำลังมีโอกาสทองอีกครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นเวียตนาม             ในตอนนั้นผมไม่รู้จักบริษัท  ผมรู้แต่ว่าประเทศกำลังเติบโตเร็วและยั่งยืนซึ่งในที่สุดตลาดหุ้นก็จะโตตาม—เหมือนเมืองไทยในสมัยกว่า 20 ปีก่อน  แต่ตลาดหุ้นเวียตนามยังใหม่มาก  เพิ่งเปิดมาสิบกว่าปี  ยังไม่มีกองทุนอิงดัชนีที่เราจะลงทุนได้สะดวก ...
ผ่านไปแล้วกับวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 ขอขอบคุณ อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากรพี่เอก ธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม)คุณโกสินทร์ เจือศิริภักดี SVP - Cross Border Trading Department at CGS CIMB Securities)พี่ณัฐ ณัฐกิติ์ สุนทรบุระพี่บอล ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทองพิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรสพิธีกรรับเชิญภาคภาษาอังกฤษ คุณวรพจน์ จัน ยั่งยืน และคุณชนะกานต์ เหล่าธรรมานนท์ Special thanks Mr.Bill Stoops, Chief Investment Officer (CIO) Dragon Capital Ms. Hien Tran Thi Khanh (Deputy Director - Research - VN Direct) สุดท้ายขอบคุณผู้ร่วมสัมมนาทุกท่านที่ทำให้งานสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี หวังว่าทุกท่านจะสามารถนำความรู้จากสัมมนาประยุกต์ใช้กับการลงทุนหุ้นเวียดนามให้สำเร็จได้ไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 63 ค่ะ...
ในบทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับหุ้นรายตัวในดัชนี VN30 นั่นก็คือ Bao Viet Holdings หรือ BVH ที่ตอนนี้มีรายงานว่า บริษัทผู้ค้าประกันจากญี่ปุ่น Sumitomo Life ได้ลงนามเพื่อซื้อหุ้นของ BVH เพิ่มอีกกว่า 41.4 ล้านหุ้น ซึ่งปัจจุบัน Sumitomo ได้ถือครองหุ้นของ BVH อยู่แล้ว122.5 ล้านหุ้น เท่ากับ 17.48% ของหุ้นที่มีการออกเสียงที่โดดเด่นทั้งหมดของ BVH หากการซื้อขายสำเร็จ Sumitomo จะถือครองหุ้นเกือบ 164 ล้านหุ้นของ BVH ซึ่งจะเท่ากับ 22.09% ของทุนบริษัทBVH เป็นกลุ่มบริษัทที่มีบริษัทด้านประกันชีวิตชั้นนำของเวียดนาม มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด โดยมีบริษัทในเครือหลักๆอย่าง Bao viet Insurance, Bao Viet Life, Bao Viet Fund, Bao Viet Securities, Bao Viet Bank...
บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับหุ้นรายตัวใน VN30 กันนะคะ เริ่มจากบริษัทที่มีกิจการเกี่ยวกับสิ่งที่ในเวลานี้ นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประวันของคนส่วนใหญ่ นั่นก็คือโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาต่างๆ Mobile World Investment Corporation หรือ MWG ปัจจุบันเป็นผู้ค้าปลีกชั้นนำของเวียดนาม ที่จัดจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์พกพา อุปกรณ์เสริม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องผ่านทางเครือข่ายของ Thegiodidong และยังมีเครือข่ายค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกผ่าน Dienmayxanh ,เครือข่ายค้าปลีกร้านขายของชำ Bach Hoa Xanh ที่มีสาขารวมทั้งหมดกว่า 2,800 สาขาทั่วประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ MWG ยังได้ขยายเครือข่ายการค้าปลีกโทรศัพท์มือถือไปยังต่างประเทศ โดยเปิดสาขาที่ชื่อว่า BigPhone ในประเทศกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 16 สาขาในกรุงพนมเปญ ข้อมูลถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 ปีนี้ รายรับของ MWG เพิ่มขึ้น 17% เท่ากับ 76.763 ทริลเลี่ยนVND รายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 36% เท่ากับ 2.975 ทริลเลี่ยนVND ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท เพราะสภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย และข้อมูลอื่นๆดังนี้ P/E...
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 ธันวาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             คนที่เป็น VI “พันธุ์แท้” และเป็นมานานนั้น  ผมเชื่อว่าในที่สุดเขาก็จะขยายแนวความคิดและปรัชญาแบบ VI ออกไปจนครอบคลุมถึงทุกเรื่องในชีวิต  มุมมองต่อสังคม  ประเทศ และโลก   และดังนั้น  พวกเขาก็จะมีหลาย ๆ  สิ่งหลาย ๆ  อย่างที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก  นี่ก็คงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองชอบสไตล์การใช้ชีวิตและมุมมองในหลาย ๆ ด้านของวอเร็น บัฟเฟตต์ซึ่งเป็น VI พันธุ์แท้และเป็นไอดอลของผมและของ VI ทั่วโลก   ผมคิดว่าการเป็น VI นั้นไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือในธุรกิจอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องของการเงินเท่านั้น   แต่ VI เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตในทุกด้านทั้งทางด้านของร่างกาย  จิตใจและมโนธรรมของเรา           หลักการที่เป็นหัวใจของ VI ที่เรารู้จักและเข้าใจกันก็คือเรื่องของการเงินที่เราจะเลือกการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามาก ๆ  นั่นคือ  ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติและมีความปลอดภัยหรือมี Margin Of Safety สูง  ไม่ลงทุนหรือทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง  วิธีการสำคัญก็คือ  จะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่ากิจการนั้นเป็นกิจการที่ดีในระยะยาวนั่นคือ  มีความมั่นคง  มีกำไรที่ดี  มีอนาคตที่ดี  และสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกหรือยุติธรรม  นี่คือการเลือกหุ้นรายตัว  แต่ใน “ภาพใหญ่” นั้น  เราจะต้องลดความเสี่ยงโดยการกระจายการถือครองหลักทรัพย์ให้มากพอที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือการที่เราคิดหรือคาดการณ์ผิดด้วย  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะสร้าง  “สุขภาพที่ดีทางการเงิน” ให้กับตัวเรา  ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของการทำให้เรารวยหรือได้ผลตอบแทนที่ดีเลิศอย่างรวดเร็ว  แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีและ  “ไม่เสี่ยง”  และเรา  “สบายใจ”  กับกระบวนการลงทุนของเราไปเรื่อย ๆ  หรือพูดง่าย ๆ  “มีความสุขจากการลงทุน” ตลอดเวลา          ...
    เตรียมพบกับ Bill Stoops. CIO, Dragon Capital Group Limited. ในงานสัมมนารวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธันวาคม. 2562      Bill Stoops จบการศึกษาจาก Brown University ในปี 1978 และทำงานในตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่ปี 1980 เริ่มต้นที่ฮ่องกงซึ่งเขาเป็นที่ปรึกษาด้านนักข่าวและการเมืองความเสี่ยง Stoops เข้าร่วม Schroder Securities ในฐานะนักวิเคราะห์ ก่อนที่จะย้ายไปโซลในปี 1985  ปี 1989 Bill Stoops ได้รับคัดเลือกจาก Baring Securities ในกรุงลอนดอนเพื่อบริหารทีมขายในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือสี่ปีต่อมาเขาถูกย้ายไปนิวยอร์กเพื่อสร้างแผนกขายตลาดเกิดใหม่ของบริษัท  เชี่ยวชาญใน Emerging Europe และในฐานะนี้ยังทำงานให้กับ Deutsche Bank และ HSBC ในช่วงปี 2541-2549  จากนั้นเขาย้ายไปที่เวียดนามในตำแหน่งผู้อำนวยการ Dragon Capital โดยรับผิดชอบด้านการวิจัยและตลาดทุนและได้รับการแต่งตั้ง CIO ในปี 2552 ซื่ง Dragon Capital ที่คุณ Bill Stoops ทำงานมาเกือบ 14 ปี เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุด คุณ Bill Stoops เคยให้สัมภาษณ์เรื่องความน่าสนใจในการลงทุนที่เวียดนามในสื่อด้านธุรกิจ การเงิน การลงทุนชั้นนำของโลกทั้ง CNBC FORBES BLOOMBERG พบกันกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก:http://bit.ly/32fIaOn ที่มา http://wales.clsa.com/event/IF16/IF16_SpeakerBios.pdf https://www.cnbc.com/video/2018/09/10/vietnam-could-be-a-safe-haven-amid-us-china-trade-war-says-cio.html?&qsearchterm=Bill
จากที่ Thaibev ได้เทคโอเวอร์ Sabeco (SAB,HOSE) ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของเวียดนามเมื่อปี 2017นั้น โดยล่าสุด Thaibev ได้ถือหุ้นใน Sabeco ทั้งหมด 53.58% การเริ่มต้นปีงบประมาณในเดือนตุลาคมปี 2018 ถึงเดือนกันยายนปี 2019 Sabeco ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของ Thaibev โดยมีรายงานอัตราการเติบโตของรายได้ที่ชัดเจนที่ 16% และการเติบโตของผลกำไรที่ 33% จากที่ Thaibev ได้เทคโอเวอร์ Sabeco (SAB,HOSE) ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของเวียดนามเมื่อปี 2017นั้น โดยล่าสุด Thaibev ได้ถือหุ้นใน Sabeco ทั้งหมด 53.58% การเริ่มต้นปีงบประมาณในเดือนตุลาคมปี 2018 ถึงเดือนกันยายนปี 2019 Sabeco ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของ Thaibev โดยมีรายงานอัตราการเติบโตของรายได้ที่ชัดเจนที่ 16% และการเติบโตของผลกำไรที่ 33% ยอดขายที่สูงขึ้น...

MOST POPULAR