เมื่อเทียบกับผลประกอบการในไตรมาศ 4 ปีที่แล้วและไตรมาศ 3 ปี 2561 โดยตัวเลขก็คือกำไรลดเหลือประมาณ 157,400 ล้านบาทเทียบกับกำไร 253,235 ในปีก่อน หรือลดลงถึง 95,835 ล้านบาท  และนี่ก็ทำให้ผลประกอบการโดยรวมของปี 2561 ปรับตัวลงมาเหลือใกล้เคียงกับกำไรของปี 2560 ที่ประมาณเกือบ 1 ล้านล้านบาท ทั้ง ๆ  ที่ตั้งแต่ต้นปี 2561 นักวิเคราะห์ต่างก็คาดการณ์ว่ากำไรน่าจะโตขึ้นมากใกล้ ๆ  10%  และตัวเลขถึงไตรมาศ 3 ปี 2561 ก็ชี้ว่ากำไรโตถึง 12% เมื่อเทียบกับช่วง 3 ไตรมาศของปี 2560   การลดลงของกำไรในไตรมาศ 4 ปี 2561 อย่าง “ไม่คาดคิด”  ได้ทำให้นักวิเคราะห์ “หน้าแตก”  อีกเช่นเคยในแง่ของการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในแต่ละปี  และก็ช่วยยืนยันความเห็นของผมและ “ตัวเลขจากประวัติศาสตร์” ที่ว่ากำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียน“โดยปกติ” นั้นมักจะโตอย่างช้า ๆ  โดยที่อัตราการโตจะประมาณเท่ากับอัตราการเติบโตของ GDP บวกด้วยอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว  ซึ่งในกรณีของไทยเราในช่วงนี้และอาจจะต่อ ๆ  ไปก็คือ   อัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะประมาณ 5% ต่อปีเท่านั้น แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นในไตรมาศ 1 ของปี 2562 และกำไรในไตรมาศต่อ ๆ  ไปก็คงจะไม่เลวร้ายลงแบบที่เกิดขึ้นในไตรมาศ 4 ปีก่อน  เหตุผลก็เพราะว่ากำไรในไตรมาศ 4 ปีที่แล้วที่แย่ลงมากนั้น  เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น  “ครั้งเดียว”  ไม่ใช่เกิดขึ้นจากกำไรตาม “ปกติ” ของธุรกิจ  แต่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการลดลงของราคาน้ำมันดิบของโลกที่รุนแรงในช่วงปลายปี 2561 เทียบกับสิ้นปี 2560 ซึ่งส่งผลให้เกิดการ “ขาดทุน”  จากสต็อกน้ำมันของธุรกิจที่เกี่ยวกับการกลั่นและการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และมีจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์  นอกจากนั้นก็ยังเกิดขึ้นเนื่องจากการสำรองการด้อยค่าและรายจ่ายเฉพาะบางอย่างของบริษัทโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่บางแห่งที่เป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้น  “ครั้งเดียว”  เช่นกัน  ลองมาดูกันว่ามีกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทอะไรบ้าง กลุ่มแรกนั้นแน่นอนก็คือกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะก็คือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันไล่ตั้งแต่บริษัทใหญ่ที่สุดก็คือปตท. ที่กำไรลดลงสูงที่สุดที่ 15,825 ล้านบาทในไตรมาศ 4 ปี 2561 เทียบกับไตรมาศเดียวกันในปี2560  ตามมาด้วยหุ้น TOP โรงกลั่นขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการติดลบและกำไรถดถอยลง 11,739 ล้านบาท  หุ้น SPRC IRPC ESSO และบางจาก  มีกำไรลดลง 6,453  6,139 5,653  และ 3,000  ล้านบาทตามลำดับเมื่อเทียบกับผลกำไรของไตรมาศ 4 ปี 2560  และทั้งหมดนั้นส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคมีกำไรลดลงถึง  53,255 ล้านบาทในไตรมาศสุดท้ายของปี 2561 หุ้นกลุ่มสื่อสารนั้น  กำไรลดลงจาก 12,985 ล้านบาทเป็นแค่ 1,309 ล้านบาทในไตรมาศ 4 ปี 2561 หรือลดลง  11,676 ล้านบาท  โดยที่การลดลงนั้นมาจากการขาดทุนของหุ้น DTAC ที่ทำให้กำไรลดลงถึง5,483 ล้านบาท เช่นเดียวกับหุ้น TRUE ที่มีขาดทุนและทำให้กำไรลดลง 6,639 ในไตรมาศ 4 ปี2561 เที่ยบกับไตรมาศเดียวกันในปี 2560  ทั้งสองกรณีนั้นเป็นเรื่องของการสำรองในเรื่องราวที่น่าจะเกิดครั้งเดียวไม่ใช่การดำเนินงานปกติ กลุ่มปิโตรเคมีเองนั้น  เรื่องของราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไปรุนแรงก็น่าจะส่งผลถึงรายได้และต้นทุนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต  เห็นได้จากหุ้น IVL ที่เคยทำกำไรได้ถึง 10,003 ล้านบาทในไตรมาศ 4 ปี2560 เหลือเพียง 2,355 ล้านบาทในไตรมาศ 4 ปี 2561 หรือกำไรลดลงถึง 7,648 ล้านบาท  และในทำนองเดียวกัน  หุ้น PTTGC ซึ่งมีกำไรลดลงจาก 9,559 ล้านบาทเป็น 4,062 ล้านบาทหรือลดลง5,498 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน  โดยรวมแล้วหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีนั้นมีกำไรลดลง 13,070  ล้านบาท และนี่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น  “ครั้งเดียว” ไม่ต่อเนื่องในไตรมาศต่อไป หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่มีกำไรลดลงมากในไตรมาศ 4 ปี 2561 ก็คือหุ้นขนส่งและโลจิสติกส์ที่กำไรทั้งกลุ่มเหลือเพียง 20 ล้านบาทจาก 13,179 ล้านบาทหรือลดลง 13,159 ล้านบาท  นี่ก็เป็นผลหลัก ๆ  มาจากหุ้นสายการบินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นการบินไทยที่ขาดทุนหนักกว่า 7 พันล้านบาท หรือกำไรลดลงถึง9,315 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะมาจากสาเหตุที่ไม่น่าจะต่อเนื่องไปอีกในไตรมาศต่อไปมิฉะนั้นบริษัทก็อาจจะมีปัญหาได้ เมื่อรวมการลดลงของกำไรของ 4 อุตสาหกรรมทั้งหมดที่กล่าวจำนวนประมาณ 91,160 ล้านบาทเทียบกับตัวเลขการลดลงของกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งตลาดที่ 95,835 ล้านบาท  เราก็สามารถสรุปได้ว่า  แท้ที่จริงแล้ว  กำไร  “ปกติ” ของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาศ 4 ปี 2561 นั้น  ก็ยัง “ปกติ” อยู่  กำไรที่ลดลงเกือบแสนล้านบาทที่เห็นนั้น  เป็นการลดลงเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันเป็นหลักและน่าจะเกิดขึ้น  “ครั้งเดียว”  ไตรมาศต่อ ๆ ไปไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก  เพราะน้ำมันดิบคงไม่ลดลงไปมากแบบนั้นอีกในระยะเวลาอันสั้น  ว่าที่จริง  ราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวขึ้นและอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงอาจจะมีกำไรเพิ่มขึ้นก็ได้  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ในระยะยาว ๆ  แล้ว  ผลกระทบจากราคาน้ำมันน่าจะ “เป็นกลาง” นั่นก็คือ  ไม่ต้องนำมาคิดรวมกับกำไรปกติของธุรกิจที่เรานำมาใช้ในการประเมินมูลค่าของหุ้นทั้งตลาด ผมเองได้ลองมองย้อนหลังตัวเลขกำไรของบริษัทจดทะเบียนระยะยาว  ซึ่งก็ทำให้ไม่ต้องคำนึงถึงกำไรหรือขาดทุนครั้งเดียวเนื่องจากราคาน้ำมันหรือเหตุการณ์สำรองใหญ่ ๆ  อื่น ๆ  ก็พบว่า  ในระยะเวลาตั้งแต่สิ้นปี 2547 จนถึงสิ้นปี 2561 คิดเป็นเวลา 14 ปี  นับตั้งแต่หุ้นพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์  กำไรของบริษัททั้งตลาดนั้นเริ่มที่ประมาณ 460,000 ล้านบาทในปี 2547 กลายเป็นประมาณ 984,000 ล้านบาท คิดแล้วกำไรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นที่ประมาณ 5.6% ต่อปี ซึ่งก็น่าจะพอ ๆ  กับอัตราการเติบโตของ GDP ในช่วงเดียวกัน  แต่ถ้าดูย้อนหลังแค่ 5 ปี คือตั้งแต่ปี2556 จนถึงปี 2561  ก็พบว่ากำไรเพิ่มขึ้นจาก 795,000 ล้านบาท เป็น 984,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตของกำไรแบบทบต้นต่อปีเท่ากับ 4.4% หรือลดลงมา 1.2% ซึ่งก็สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของ GDP ที่ลดลงของประเทศไทยในช่วงหลัง ๆ  นี้ ข้อสรุปของผมจากตัวเลขและบทความนี้ก็คือ  การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดแต่ละปีนั้น  น่าจะค่อนข้างจะสัมพันธ์กับการเติบโตของ GDP ของประเทศ  การผันผวนนั้น  ส่วนใหญ่น่าจะมาจากเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวแต่ในระยะยาวแล้วก็จะหักกลบลบกันไปจนทำให้ในระยะยาวแล้วไม่ได้มีผลอะไรต่ออัตราการเติบโตของกำไร  ดังนั้น  การวิเคราะห์ว่ามูลค่าหลักทรัพย์ของตลาดหรือดัชนีหุ้นจะเพิ่มขึ้นเท่าไรในแต่ละปีนั้น  จึงควรที่จะกำหนดจากการเติบโตของกำไรที่ก็อิงกับการเติบโตของ GDP  แต่ก็แน่นอนว่าในบางปีหรือบางช่วง  กำไรของบริษัทจดทะเบียนอาจจะดูดีหรือแย่กว่าปกติได้เนื่องจากเหตุการณ์พิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ตาม  ถ้าเราเป็น VI ที่เน้นลงทุนระยะยาว  เราอาจจะต้องมองข้ามประเด็นนี้และเน้นไปที่ “กำไรปกติ” ถ้ากำไรปกตินั้นยังดีอยู่  เราก็ไม่ต้องกังวล  แต่ถ้าคนอื่นกังวลและเทขายหุ้นจนมีราคาต่ำเกินไป  นั่นก็อาจจะเป็นโอกาสของเราที่จะซื้อ  ทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องของกำไรของทั้งตลาด  แต่ในกรณีของหุ้นแต่ละตัว  เราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน  และนี่ก็คือการมองแบบ VI ที่พยายามเข้าใจธรรมชาติของกำไรว่าอะไรคือกำไรปกติและแนวโน้มของมัน  และเราจะฉวยโอกาสอย่างไรในกรณีที่ตลาดมองอีกแบบหนึ่ง
อีก 2 วันก็จะเริ่มปีใหม่แล้ว เรามาทบทวนเหตุการณ์สำคัญที่สุดในตลาดหุ้น ปี 2018 จากชมรมนักข่าวหลักทรัพย์เวียดนามกันเลยค่ะ ------------------ 1. หุ้นตก หลังจากที่โตมา 5 ปีติดต่อกัน ------------------ ในปีนี้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกหลังโตมา 5 ปีติดต่อกัน ควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2017 ตลาดหุ้นมีเติบโตสูงถึง 47% ดัชนีหุ้นเวียดนามขึ้นไปที่สูงสุด (All time high) 1,211 จุด ในวันที่ 10 เมษายนปีนี้ แต่ลดลงอย่างรุนแรงถึงร้อยละ 27 ไปจุดต่ำสุดของ 888 จุด เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม แม้ GDP ของ Vietnam ได้เติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 10 ปี แต่หุ้นก็ยังตกจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ------------------ 2. การเติบโตของตลาดอนุพันธ์ ------------------ ตลาดอนุพันธ์เริ่มเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2017 หลังจากผ่านไปหนึ่งปีตลาดก็เติบโตอย่างน่าทึ่ง ณ สิ้นปี 2560 มูลค่าการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์สูงถึง 2.5 ล้านล้านด่อง ต่อเซสชั่น แต่ในเดือนตุลาคม 2561 มูลค่าการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 17 ล้านล้านด่อง ต่อเซสชั่น อีกทั้งจำนวนบัญชีซื้อขายตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 ------------------ 3. ดีลล้านดอลลาร์ ------------------ ในปีนี้ได้เห็นการเข้าซื้อกิจการจำนวนมาก State...
# VinFast Manufacturing and Trading Company Limited บริษัทสาขาของเครือบริษัท Vingroup เวียดนาม เปิดตัว สองรถยนต์ต้นแบบใหม่ ในงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 120 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม เป็นครั้งแรกที่รถยนต์จากเวียดนามได้จอดโชว์เรียงรายกับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ อย่าง Mercedes, Porche, Audi, Lamborghini และ Lexus การเปิดตัวรถยนต์ VinFast รุ่นใหม่ พร้อมกับพบการปรากฎตัวของนักฟุตบอลในตำนาน David Backkham ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ "รถยนต์เหล่านี้น่าเหลือเชื่อ เรียบหรูและไฮเทค " อดีตกัปตันทีมฟุตบอลทีมชาติอังกฤษกล่าว " เป็นรถยนต์ที่มหัศจรรย์ สวยงามมาก " การกล่าวในงาน Jim Deluca ผู้จัดการทั่วไปของ VinFast ได้เน้นย้ำ เป้าหมายของบริษัทในการจะเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลก ในอนาคตแบรนด์นี้จะมีอยู่ในหลากหลายตลาดทั่วโลก เขากล่าว Le Thi Tho Thuy ประธานหญิงของ VinFast กล่าวว่า VinFast เป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของ Vingroup บริษัทเอกชนที่ใหญ่สุดในเวียดนาม " รถยนต์สองตัวนี้ เป็นความสำเร็จแรกของ...
Top 5 ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ The Best Corporate Governance Awards ได้แก่ Bao Viet Holdings Hau Giang Pharmacy FPT HCM City Secorities Corporation Vinamilk Best Annual Report ได้แก่ Asia Commercial Bank(ACB) Ca Mau Petroleam Fertiliser Novaland Thanh Thanh Cong-Bien Hoa Sai Gon Securities Inc. เป็นการจัดงานร่วมกันโดย The HCM Stock Exchange (HOSE), The Ha Noi Stock Exchange( HNX) และ นิตยสาร Viet Nam Investment Review (VIR) และมีสปอนเซอร์จาก Dragon Capital Group รางวัล VLCA เป็นส่วนขยายของ The Viet Nam Annual Awards...
ผู้ผลิตนม Vinamilk ขึ้นแท่นแบรนด์ที่ทรงคุณค่าที่สุดในเวียดนามของนิตยสาร Forbes เวียดนาม 3 ปีติดต่อกัน ด้วยมูลค่าแบรนด์โดยประมาณที่ 2.28 พันล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าแบรนด์ของบริษัทนม Vinamilk คิดเป็นเกือบ 30% ของมูลค่าแบรนด์ของ 40 บริษัทในลิสต์ของนิตยสาร Forbes เพิ่มขึ้น 30% จากมูลค่าแบรนด์ในปีที่แล้ว และ 50% จากปี 2016 การเพิ่มขึ้นของมูลค่าแบรนด์  Vinamilk แสดงให้เห็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องและยั่งยืนของบริษัท ด้วยนวัตกรรมที่ต่อเนื่อง และความพยายามรักษาตำแหน่งผู้ผลิตนมชั้นนำของเวียดนาม เดือนเมษายนที่ผ่านมา Vinamilk เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวของเวียดนามสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไปเร็ว จนเป็นหนึ่งในลิสต์ 300 บริษัทชั้นนำในเอเชียของ Nikkei Asia Review ติดต่อกันเป็นปีที่สาม ในเดือนพฤษภาคม Vinamilk มีชื่อเป็นแบรนด์ที่ถูกเลือกมากที่สุดของเวียดนาม โดย Kantar Worldpanel นี่เป็นครั้งที่สาม ที่ Forbes เวียดนาม รวบรวมรายชื่อ 40 แบรนด์ที่มีมูลค่าที่สุดในเวียดนาม ซึ่งมีมูลค่ารวมของแบรนด์ทั้งหมดถึงเกือบ 8.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนอันดับที่สองและสามของการจัดอันดับ Forbes ปีนี้เป็นของสองบริษัทโทรคมนาคม Viettel และ VNPT Credit: https://www.vietnamvi.com/board/viewtopic.php?f=13&t=1695 http://en.nhandan.org.vn/business/item/6455302-vinamilk-tops-vietnam
สายการบิน Vietnam Airlines ได้รับรางวัลชนะเลิศ สายการบินชั้นนำของโลก Premium Economy Class 2018 และ Cultural Airlines ชั้นนำของโลก 2018 จาก The World Travel Awords (WTA) รางวัลอันทรงเกียรติในวงการการท่องเที่ยว รางวัลได้ถูกประกาศเมื่อไม่นานมานี้ในงานกาล่าดินเนอร์ WTA 2018 ที่ยิ่งใหญ่ในเมืองลิสบอน โปรตุเกส นับเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้วที่ Vietnam Airlines ได้รับเกียรติจาก WTA ทางบริษัทได้กล่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ถึงบันทึกรางวัลที่ถูกโหวตโดย ผู้เชี่ยวชาญของ World & Tourism Council และผู้โดยสาร ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์จนถึงวันที่ 24 ตุลาคม Vietnam Airlines ได้จัดชั้น premium economy class บนสายการบินสากลที่ใช้เครื่องบิน Boeing 787-9 และ Airbus A 350 มาตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ ด้วยที่นั่งที่กว้างขวางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากขึ้นให้กับผู้โดยสาร ทางสายการบินยังมีการโปรโมทวัฒนธรรมของเวียดนามผ่านทางอาหารด้วย ผู้ให้บริการกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เลือกเชฟ เวียดนาม-ออสเตรเลี่ยน...
จนถึงตอนนี้ด้วยมูลค่าทางตลาดปัจจุบันที่ 15 ทริลเลี่ยนVND (639.25 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามด้วย Masan ที่ 6 ทริลเลี่ยนVND (255.7ล้านเหรียญสหรัฐ) และ Vietjet Air ที่ 3.7 ทริลเลี่ยนVND (157.68 ล้านเหรียญสหรัฐ) ด้วยการลงทุนในหลักทรัพย์เกือบ 30 ทริลเลี่ยนVND (1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในเวียดนาม กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงค์โปร GIC จึงเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมไปถึง Dragon Capital ,VinaCapital และ Korea Investment Mangement(KIM) เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม GIC โดยผ่านทางบริษัทย่อย Ardolis Investment ได้ซื้อหุ้นราวครึ่งหนึ่งของ 47%ของ US-based KKR & Co มูลค่าราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐใน Marsan หนึ่งในสามกลุ่มบริษัทเอกชนที่ดำเนินการโดยเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ในแง่ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หลังจากการซื้อขาย GIC ถือหุ้นทั้งหมดที่ 75.7 ล้านหุ้น หรือ หุ้น 6.5%...
ผ่านไปแล้ว VVInvestor day 28-2 มี.ค. 2561 Tour. Earn. Learn more in Ho Chi minh City.   ขอบคุณ: - คุณ Soraya Runckel และ คุณพันธ์พงษ์ ยิ่งยง สำหรับการแชร์ Work & Life in Vietnam รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัด Binh Duong - พี่แจ๊ค วิศวกร ปันยารชุน ที่มาร่วมทริปทุกครั้งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และยังช่วยอัพเดทข้อมูลการลงทุนพร้อมแชร์แนวคิดและประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามปี 2018 - คุณเป้สำหรับการสรุปสาระสำคัญในทริป และหาข้อมูลดีๆ มาเล่าให้ฟัง - คุณสตางค์ คุณวี คุณ Tarzan สำหรับข้อมูลหุ้นรายตัวในช่วง Stocks around us in Chi minh City. Special Thanks: - Ho Chi Minh City Securities...
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต โลกในมุมมองของ Value Investor       16 มีนาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร   ในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐานและระยะยาวนั้น  บ่อยครั้งเรามักจะพูดถึงเรื่องของ S-Curve ซึ่งเป็นกราฟที่มีแกนนอนเป็นระยะเวลาและแกนตั้งเป็นยอดขายหรือการเติบโตของบริษัท   กราฟนี้มีลักษณะคล้ายตัว S นั่นก็คือ  ในช่วงแรก ๆ  ของบริษัท ยอดขายหรือรายได้มักจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ  ความชันมีน้อยมาก  จนถึงจุดหนึ่งที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญ  ยอดขายก็จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปียอดขายก็โตขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” เป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้น  มองจากกราฟก็จะเห็นเป็นเส้นที่ชันมาก  เราเรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นช่วง “โตเร็ว” แต่หลังจากที่กิจการโตมาจนถึงจุดหนึ่งและบริษัทอาจจะมีขนาดใหญ่แล้ว   การเติบโตก็จะช้าลงและช้าลงเรื่อย ๆ  จนถึงจุด “อิ่มตัว” และไม่โตอีกต่อไปหลังจากนั้น นักลงทุนที่ชอบเล่นหุ้น Growth หรือหุ้นโตเร็วจะพยายามหาจุดที่บริษัทเริ่มมียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นในอดีตอย่างชัดเจน  เช่น  บริษัทเคยโตประมาณปีละ 5-6% โดยเฉลี่ยในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา  แต่อยู่ ๆ  มันก็โตขึ้น 20% ในปีนี้  อาจจะเพราะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในบริษัทเช่น  บริษัทมีการเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศหรือมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงและเขาเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับการเติบโตนั้นได้ต่อเนื่องไปในอนาคต  และนี่ก็คือจุดเริ่มของการโตอย่างก้าวกระโดด  เขาจะต้องรีบเข้าไปซื้อหุ้นก่อนที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปสูงมากและพลาดโอกาสที่จะทำเงินมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น หุ้นที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไปนานอย่างน้อย 3-5 ปีนั้นเรียกว่าเป็นหุ้น “โตเร็ว”...
งานวิวาห์สะท้านโลก ที่เกาะฟู้โกว๊ก เวียดนาม ประเทศไทยเป็นประเทศที่นิยมในการเดินมาจัดงานแต่งงาน Destination Wedding ซึ่งมีพักและสถานที่ระดับหรูหรา การคมนาคมที่พร้อมสรรพ สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ชุดแต่งงาน ของชำร่วย การจัดดอกไม้ เรือยอร์ช เป็นต้น คู่แต่งงานจะมีการใช้จ่ายอย่างน้อยประมาณ 5 - 20 ล้านบาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ร่วมงาน โดยเฉพาะในปัจจุบันกลุ่มคู่แต่งงานอินเดียและฮ่องกง มีความนิยมเดินทางมาจัดงานแต่งงานที่ประเทศไทยจำนวนมาก ที่ผ่านมามีจำนวนคู่แต่งงานจากอินเดียเดินทางมาไม่น้อยกว่า 400 คู่ต่อปี แต่งานวิวาห์แห่งศตวรรษ ล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีการจัดงานที่เกาะฟู้โกว๊ก เวียดนามหนึ่งในเกาะที่งดงามที่สุดของเวียดนามแปลงโฉมเป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ของคู่รักมหาเศรษฐีชาวอินเดีย โดยมีแขกกว่า 700 คนมาร่วมเฉลิมฉลอง ณ รีสอร์ทระดับห้าดาว เจดับบลิว แมริออท ฟู้โกว๊ก เอเมอรัลด์ เบย์ ระหว่างวันที่ 3-10 มีนาคมที่ผ่านมา เกาะฟู้โกว๊กซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวไทยและโด่งดังไปทั่วโลกจากหาดทรายบริสุทธิ์ เป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ในฝันสำหรับใครหลายคน เจ้าบ่าวของงานวิวาห์ครั้งนี้คือ Rushang Shah บุตรชายของประธานและซีอีโอ Embassy National Bank ซึ่งเป็นธนาคารระดับชุมชนในแอตแลนตา ส่วนเจ้าสาวคือ Kaabia Grewal ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เครื่องประดับหรู Outhouse ทั้งคู่ได้จัดงานวิวาห์อย่างยิ่งใหญ่ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มจนเรียกได้ว่าเป็น "งานวิวาห์แห่งศตวรรษ" ก็ว่าได้ เครื่องบินเช่าเหมาลำจำนวนสองลำได้เดินทางจากอินเดียมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติฟู้โกว๊กพร้อมแขก 700 คน...

MOST POPULAR

รวยเร็ว VS รวยช้า

XinChao-HPG

~ Xin Chào! หุ้น HPG ~

Macro Investing-สไตล์ VI