หน้าแรก แท็ก ดร.นิเวศน์

แท็ก: ดร.นิเวศน์

วิกฤติอากาศ : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
โลกในมุมมองของ Value Investor      25 มกราคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วิกฤติอากาศ   ผมเพิ่งกลับจากการพูดในการสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย  และก็แน่นอนว่าผมได้มีโอกาสท่องเที่ยวเล็ก ๆ  น้อยในเมืองหลวงแห่งนี้  ภาพทั่ว ๆ  ไปของ KL ในความรู้สึกของผมก็คือ  มันเป็นเมืองที่ถูกออกแบบมาค่อนข้างดี  อานิสงค์จากการที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม  ถนนหนทางมีมากซึ่งทำให้รถไม่ค่อยติดยกเว้นบางจุดใจกลางเมือง  ตึกรามเก่าที่มีศิลปะเฉพาะมีกระจายไปทั่วเมืองควบคู่ไปกับตึกระฟ้าที่ทันสมัย สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับประชาชนที่รัฐสร้างขึ้นเช่น “สวนนกแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก”  ที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนในช่วงสั้น ๆ  นั้น  ดูดีและห่างจากใจกลางเมืองแค่รถวิ่ง 15 นาที  ดูเหมือนว่ารอบ ๆ  เมือง KL นั้น  ยังมีต้นไม้เต็มไปหมดคล้าย ๆ  กับ  “ป่า” แต่ที่สำคัญที่ผมพยายามสังเกตหลังจากที่กรุงเทพต้องประสบกับปัญหาหมอกควันรุนแรงก็คือ  บนท้องฟ้าที่ดูสดใสเป็นสีฟ้าสลับกับเมฆสีขาวที่เห็นขอบเขตอย่างชัดเจน  เวลาเดินกลางแดดก็จะพบว่ามันร้อนเปรี้ยงเพราะไม่มีหมอกมาบดบัง  โดยรวมแล้วผมคิดว่า KL เป็นเมืองที่น่าอยู่และสมศักดิ์ศรีของการที่จะเป็นเมืองหลวงของประเทศที่ใกล้จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว กลับมากรุงเทพในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาผมพบว่ากรุงเทพนั้นมีอาการที่น่าห่วงมาก  อากาศน่าจะเต็มไปด้วยมลพิษเนื่องจากฝุ่นละอองจากควันของไอเสียรถยนต์และฝุ่นดินที่มาจากการก่อสร้าง  การเผาขยะ  และอื่น ๆ  อีกมาก  มองขึ้นไปบนฟ้าก็พบว่ามันขมุกมัวไม่ชัดเจน  อาคารที่อยู่ไกลออกไปก็จะมองไม่ค่อยเห็น  สีของฟ้านั้นเป็นสีขาวของหมอกควันพิษและมองแทบไม่เห็นเมฆ  “ผู้เชี่ยวชาญ” และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องบอกว่ามันเกิดเนื่องจากอากาศไม่ถ่ายเทเพราะไม่มีลมอันเป็นผลจากฤดูกาล  “รอสักระยะเมื่อลมมาแล้วมันก็จะหายไป”  ตอนนี้ก็ต้องอดทนแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามแก้ปัญหาอยู่ ตัวเลขความรุนแรงของมลภาวะถูกนำมาประกาศวันต่อวัน  ดูเหมือนว่ามันกำลังจะดีขึ้นแต่แล้ววันต่อมาก็อาจจะเลวลงอีก การแก้ไขปัญหาที่ทำอยู่นั้นผมดูแล้วแทบจะไม่มีผลต่อมลภาวะเพราะมันอาจจะแก้ไม่ถูกจุดจริง ๆ   ผู้รู้บางคนบอกว่าตัวการสำคัญที่สุดคือรถโดยเฉพาะที่ใช้น้ำมันดีเซล  แต่การแก้ปัญหาเรื่องหนึ่งก็คือจะพิจารณาให้มีน้ำมัน B20 ที่ผสมน้ำมันปาล์มมากขึ้นเป็น 20% ในน้ำมันดีเซล  แต่นี่ดูเหมือนว่าจะลดควันเสียได้น้อยมากและคงใช้เวลาอีกเป็นสิบ ๆ ปีกว่าจะเห็นผล  บางคนก็เสนอให้ใช้น้ำฉีดจากตึกสูงเป็นละอองเพื่อดักจับฝุ่น   บางคนก็เอาน้ำมาล้างถนนเพื่อลดฝุ่น  แต่ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าคงแก้ไขหรือลดมลภาวะอะไรไม่ได้ ผมคิดว่าอากาศกรุงเทพนั้นแท้จริงแล้วอาจจะเลวร้ายมานานและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   ฤดูกาลอาจจะมีส่วนบ้าง  เช่นช่วง “หน้าหนาว”  ซึ่งอากาศเย็นลงมาปกคลุมและไม่ค่อยมีลมจะเป็นช่วงที่อากาศแย่ที่สุด  ในช่วง “หน้าร้อน” ที่มีลมพัดแรงและช่วง “หน้าฝน” ที่มีฝนตกเกือบทุกวันนั้น  ภาวะอากาศเสียฝุ่นละอองอาจจะน้อยลงไปเพราะลมหอบฝุ่นไปที่อื่นและฝนตกช่วยจับฝุ่นลงมาอยู่บนพื้นดิน   ที่จริงแล้วเราอาจจะดูดหรือหายใจเอาฝุ่นละอองที่อันตรายเข้าปอดมานานแล้วแต่เราไม่รู้เพราะร่างกายมักจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาทันที  มันอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ  หรือหลายสิบปีก่อนที่เราจะเจ็บป่วย  ดังนั้น  เราไม่ตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในอันตรายในเรื่องของสุขภาพ  จนกระทั่งปีนี้ที่มลภาวะอากาศรุนแรงประกอบกับสื่อในยุคดิจิตอลที่กระจายข่าวสารไปได้แพร่หลายและเร็วมากได้ทำให้คนเริ่มรู้ถึงอันตรายของการสูดเอาอากาศที่มีฝุ่นโดยเฉพาะที่เป็นฝุ่นขนาดเล็กมากที่มองไม่เห็นและสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศที่เรียกว่า PM2.5   การออกมาประกาศว่าระดับของ PM2.5 ในกรุงเทพในช่วงเร็ว ๆ  นี้สูงเกินกว่ามาตรฐานที่ 50 หน่วยมาก  เช่น  บางวันเกิน 100 นั้น  ได้ทำให้หลายคนรวมถึงตัวผมเองตื่นตระหนก เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาวะนี้โดยเฉพาะบ้านผมที่มีเด็กอายุยังไม่ถึง 2 ขวบซึ่งหมอบอกว่าเป็นคนที่เสี่ยงที่สุดเพราะปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ ในฐานะของคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายโดยเฉพาะถ้าคนที่พูดนั้นมี Conflict of Interest หรือมีแรงจูงใจที่จะทำให้คนฟังแล้วเชื่อในอีกแบบหนึ่ง  นอกจากนั้น  ผมก็ยังต้องระวังว่าคนที่พูดนั้นอาจจะไม่รู้จริงและอาจจะคิดว่าตนเองรู้เพราะ “ใคร ๆ  เขาก็คิดแบบนั้น”  ดังนั้น  ผมจึงพยายามศึกษาและทดลองดูตามหลักวิทยาศาสตร์โดยมีเป้าหมายว่า  เราจะหลีกเลี่ยงภาวะเลวร้ายของอากาศนี้ได้อย่างไร?  ในยามที่การแก้ไขในระดับเมืองซึ่งมักต้องอาศัยพลังหรืออำนาจรัฐนั้นยังไม่เกิดผล เรื่องแรกที่ผมคิดและทำก็คือ  ความรุนแรงของมลภาวะ สิ่งนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องรู้มิฉะนั้น  เราจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันร้ายแรงแค่ไหนและเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมัน   สิ่งจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ก็คือ  เราต้องมีเครื่องวัดค่าคุณภาพของอากาศหรือค่า AQI แบบพกพา  การดูจากเวบไซ้ต์นั้น  บางทีก็มีประโยชน์น้อยและบางแห่งอาจจะเชื่อถือไม่ได้เพราะมันอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่และมันอาจจะติดตั้งในระดับที่ไม่ใช่ระดับที่เราหายใจ  การมีเครื่องวัดที่ติดตัวหรือใกล้กับตัวเรานั้นจะทำให้เรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร  เช่น  จะหนีไปให้พ้นหรือใช้หน้ากากกันฝุ่นเป็นต้น  จากการวัดค่า AQI พกพาของผมนั้น ผมพบว่าทุกครั้งมีค่าสูงกว่าค่าที่อ่านจากเวบไซ้ต์มาก  บางครั้งเกิน 50% นอกจากเรื่องค่า AQI แล้ว  เรามักจะได้รับคำบอกเล่าหรือคำแนะนำผิด ๆ  โดยที่เราไม่รู้  ตัวอย่างเช่น  ให้อยู่ในบ้านในยามที่อากาศเสียหนัก ๆ   อย่าไปออกกำลังในที่โล่งหรือริมถนน  ถ้าทำในสวนสาธารณะอากาศก็จะดีกว่าเพราะต้นไม้ช่วยซับอากาศเสีย  ผมเองในช่วงแรก ๆ  ที่เกิดข่าวเรื่องอากาศเป็นพิษ  ผมได้เปลี่ยนไปออกกำลังในยิมที่เป็นร้านฟิตเนสจนกระทั่งมาค้นพบว่าอากาศในยิมก็สกปรกพอ ๆ  กับข้างนอก  ประเด็นของผมก็คือ  หลังจากที่ผมสงสัยในทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ทั้งหลายที่แนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงอากาศเสีย  ผมก็นำเครื่องวัดอากาศไปวัดทุกแห่งที่ผมไป  ผลปรากฏว่าทุกแห่งหนนั้น คุณภาพอากาศใกล้เคียงกันหมด  ทั้งในบ้าน  ในสวนและบนทางเท้าริมถนน  เช่นเดียวกับในช็อปปิ้งมอลหรู  ว่าที่จริงถ้าเราคิดถึงหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าอากาศนั้นไปได้ทุกแห่งและฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศก็ไปตามอากาศแล้ว  ที่ไหนมีอากาศที่นั่นก็น่าจะมีฝุ่นพอ ๆ  กัน ผมค้นพบอีกว่า  วิธีที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นก็คือ  การอยู่ในบ้านหรืออาคารที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดแล้วเปิดเครื่องกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กเช่น PM2.5 ได้  และถ้าเราอยู่ในที่เปิดโล่งหรือในอาคารที่คนเข้า ๆ  ออก ๆ  และไม่มีเครื่องกรองอากาศ  วิธีที่น่าจะสามารถป้องกันฝุ่นจะอยู่ที่การสวมหน้ากากที่ป้องกันฝุ่นขนาด PM2.5 ได้เท่านั้น  และต้นไม้ในสวนนั้นไม่สามารถที่จะดูดซับฝุ่นได้และอากาศในสวนเองนั้นก็น่าจะถ่ายเทหรือไหลมาจากที่อื่น  ผมเองไม่รู้ว่าการสวมหน้ากากจะป้องกันฝุ่นได้ 90% ขึ้นไปตามที่มีคนพูดหรือไม่  แต่การใช้เครื่องกรองฝุ่นในบ้านที่ปิดค่อนข้างมิดชิดอย่างที่บ้านผมนั้นสามารถกรองฝุ่นได้เกือบ 100%  ค่า AQI ที่วัดได้นั้นอยู่ระหว่าง 0-4 เมื่อเปิดนานพอในขณะที่อากาศข้างนอกค่า AQI อยู่ที่ 100 กว่า ถึงวันนี้  ผมเองไม่แน่ใจว่ากรุงเทพจะมีวันที่อากาศมีคุณภาพดีจริง ๆ หรือเปล่า   เราคงต้องติดตามไปเรื่อย ๆ  จนครบทุกฤดูกาล  ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในระยะยาว ในสมัยที่โลกยังไม่เจริญและประเทศผู้นำอย่างอังกฤษเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจเติบโตเร็วมากจนถึงวันหนึ่งก็พบว่าสภาพแวดล้อมทั้งน้ำและอากาศเลวร้ายมาก  หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มตระหนักและแก้ไขจนกระทั่งประสบความสำเร็จและนี่ก็คือประเทศที่กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแท้จริง  ประเทศไทยเราเอง  ถ้าจะนำชาติไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องเป็นหนึ่งในกระบวนการนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึง  หน้าที่ของเราก็คือ  อย่าสร้างมลภาวะโดยไม่จำเป็นและปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยนี้เท่าที่จะทำได้ ผมเองคิดว่าบางทีเราอาจจะต้องทนและยอมรับการสูดอากาศที่ไม่สะอาดในช่วงที่จำเป็น  แต่ในช่วงที่อยู่บ้านและตอนนอนหรือตอนออกกำลัง  เราอาจจะต้องอยู่ในอากาศที่บริสุทธิเพราะมีการกรองอากาศอย่างดีเพื่อชดเชย  ด้วยวิธีการนี้  ร่างกายของเราก็อาจจะรับได้  การไม่ทำอะไรเลยและ “เชื่อ” ข้อมูลของหน่วยงานโดยเฉพาะที่พยายามบอกว่า “อากาศดีแล้ว”  ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ดีและเป็นความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้

ความเป็นไป(ไม่)ได้ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
ความเป็นไป(ไม่)ได้ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor    นักลงทุนที่ดีนั้น  นอกจากวิชาความรู้ในด้านต่าง ๆ  แล้ว  วิชาความรู้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสถิติและความเป็นไปได้หรือ Probability  และความผันแปรหรือ Variation หรือความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่คาดการณ์  หลักทฤษฎีเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนนั้น  ต่างก็อาศัยวิชาความรู้นี้เป็นอันมาก  เหตุผลก็เพราะเรื่องของการลงทุนนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการพยากรณ์อนาคตซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและโอกาสที่เหตุการณ์ในอนาคตจะออกมาแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้มีสูงมาก  การใช้หลักการทางสถิติโดยเฉพาะความน่าจะเป็นจะช่วยให้เรารู้ว่าโดยเฉลี่ยถ้าเราทำมันมากพอหรือตรวจสอบย้อนหลังมากพอ ค่าของมันควรจะเป็นเท่าไรและโอกาสที่เหตุการณ์แต่ละครั้งจะแตกต่างกับสิ่งที่คาดการณ์นั้นจะมีมากหรือน้อยแค่ไหน ในฐานะของนักลงทุน  เราคงไม่มานั่งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นตัวเลข  เพราะแม้แต่นักสถิติเองก็มักจะทำไม่ได้แม่นยำ  แต่เราต้องเข้าใจแนวคิดของมันเพื่อที่จะได้ไม่  “ถูกหลอก” ด้วยตัวเลขที่นักวิเคราะห์ทำมาให้เราเชื่อและตัดสินใจลงทุนตามตัวเลขที่อาจจะ  “สวยหรู”  แต่ไม่ได้บอกว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะน้อยมากและโอกาสที่จะผิดพลาดอาจจะสูงมาก  ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เราขาดทุนมหาศาล  ตัวอย่างเช่น  เขาคาดว่ากำไรของบริษัทปีหน้าจะโตขึ้น 50% คิดเป็นเงิน 600 ล้านบาท จากกำไรปีที่แล้วที่ 400 ล้านบาท โดยไม่ได้บอกว่ามันมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ได้กำไรเพิ่มเลยหรืออาจจะขาดทุนก็ได้ นอกจากการคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตถึง 50% แล้ว  นักวิเคราะห์ยังได้ให้ Target Price หรือราคาเป้าหมายของหุ้นโดยอิงกับการเติบโตซึ่งมีเซียนหุ้นหลายคนรวมถึง ปีเตอร์ ลินช์ พูดว่าเราสามารถใช้ค่า PEG  ซึ่งก็คือค่า PE หารด้วย Growth เท่ากับ 1 เท่าได้   ดังนั้นค่า PE ที่เหมาะสมของหุ้นก็คือเท่ากับ Growth ที่ 50 เท่า   แต่ว่าก่อนประกาศหรือออกบทวิเคราะห์ หุ้นตัวนั้นมีค่า PE แค่ 25 เท่า ดังนั้น  ราคาหุ้นเป้าหมายก็ปรับขึ้นไปเป็น 1 เท่าตัว  เช่น  จาก 50 บาทก็กลายเป็น 100 บาท นักลงทุนที่เชื่อตัวเลขราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ก็แห่กันเข้าไปซื้อส่งผลให้หุ้นขึ้นไปแรงมากจากราคา 50 บาทกลายเป็น100 บาท  และด้วยอิทธิพลของแรงเก็งกำไรราคาก็วิ่งต่อไปอีกกลายเป็น 120 บาท  ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ “ตื่นเต้นมาก”  เขาเห็นว่าราคาน่าจะวิ่งต่อไปได้อีกมองจากปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาลและคนกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่ “ระดับโลก” การปรับ Target Price รอบสองก็ตามมา  ตัวเลขกำไรถูกเลื่อนไปใช้ตัวเลขของปีหน้าจากกำไรต่อหุ้น 2 บาทโต 50% กลายเป็น 3 บาท และเมื่อคูณด้วยตัวเลข PE ที่ 50 เท่า  ราคาเป้าหมายก็เลยกลายเป็น 150 บาท  คำแนะนำก็คือ  “ซื้อ”  เพราะราคาปัจจุบันเท่ากับ 120 บาท  มีโอกาสทำกำไรได้ประมาณ 30 บาทต่อหุ้นหรือประมาณ 25%  นักลงทุนจึงซื้อหุ้นต่อทั้ง ๆ ที่ราคาเกินเป้าหมายแรกที่ 100 บาทไปแล้ว  และถ้าเราเชื่อตัวเลขเหล่านั้น  เราก็อาจจะเข้าไปซื้อ  เพราะดูเหมือนว่าหุ้นกำลังวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ   แต่ทั้งหมดที่เขาพูดมานั้น  เขาไม่ได้พูดว่าโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน  เขาพูดราวกับว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอนหรือไม่ก็สูงมาก  และที่ยิ่งสำคัญก็คือ  เขาไม่พูดถึงโอกาสความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะต่ำกว่านั้นมาก  เช่น  กำไรอาจจะไม่โตเลยหรือลดลงได้ทั้ง ๆ  ที่ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีตหลายปี  กำไรของบริษัทก็ไม่ได้โตหรือโตน้อยแค่ปีละไม่เกิน 10% เมื่อเวลาผ่านไป  ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ได้ออกมาตามที่คาด  มันต่ำกว่าที่คาดมาก  แต่มันใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในอดีตมากกว่า   นั่นก็คือ  มันโตช้าแค่ 5-10%  ต่อปี  นักลงทุนเริ่มตกใจและขายหุ้น  ราคาหุ้นร่วงมาแรงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดและค่า PE ก็ยังสูงเกิน 25 เท่าที่เป็นค่า PE ของหุ้นก่อนที่จะมีการคาดการณ์กำไรของบริษัทว่าจะเพิ่มขึ้น 50% ใน “ปีหน้า”  นักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่สูงลิ่วขาดทุนหนักเพราะไม่ได้คำนึงถึง Probability หรือโอกาสที่กำไรจะเพิ่ม50% ว่ามันมีมากน้อยแค่ไหน  บางทีอาจจะน้อยมากแค่ 10% ก็เป็นได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” และผลก็คือ  มันก็ไม่เกิดขึ้นจริง ๆ   นอกจากไม่เกิดขึ้นแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นยังแตกต่างหรือผันแปรไปจากค่าที่คาดหวังมาก  คือจากการเติบโต50% กลายเป็นแค่ 10%  ซึ่งในแวดวงของนักลงทุนไทยแล้ว  เราไม่ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโต  ดังนั้น  คนที่เล่นหุ้น Growth ก็ขายหุ้นแบบถล่มทลาย ธรรมชาติของตัวเลขผลประกอบการของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทนั้น  เราต้องเข้าใจว่ามันสามารถคาดการณ์ด้วยความแม่นยำและมีความผันผวนต่างกัน  จำนวนและขนาดของลูกค้ารวมถึงความผันผวนของราคาสินค้ามีส่วนอยู่มาก  ถ้าลูกค้าเป็นรายย่อยและมีจำนวนมากเป็นล้าน ๆ คน  การคาดการณ์โดยทั่วไปก็จะมีความแม่นยำและโอกาสที่ผลประกอบการจะแตกต่างจากตัวเลขคาดการณ์มากก็จะน้อย  ในกรณีแบบนี้  ความเสี่ยงของการลงทุนก็จะต่ำกว่า  เรามักจะไม่ค่อยเจอวิกฤติด้านของการลงทุนรุนแรงในหุ้นประเภทนี้  เช่นเดียวกัน  โอกาสที่หุ้นจะกระโดดขึ้นไปรุนแรงในเวลาอันสั้นก็จะน้อยกว่ามากเพราะการคาดการณ์อนาคตของผลประกอบการของหุ้นปีต่อปีก็มักจะไม่ก้าวกระโดดที่จะส่งผลให้หุ้นมีราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วมากได้  อย่างไรก็ตาม  นี่ไม่ได้แปลว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ  เพราะจริงอยู่ว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้อาจจะไม่ทำให้รู้สึกว่ารวยเร็ว  แต่ในระยะยาวแล้ว  มันอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเล่นหุ้นที่หวือหวาแต่คาดการณ์ได้ยากและมีโอกาสสูงที่มันอาจจะตกต่ำลงอย่างแรงในบางช่วง  และการตกต่ำลงแรงนั้นมันทำลายความมั่งคั่งได้รุนแรงมากกว่าการขึ้นที่รุนแรงในระดับเดียวกัน ตัวเลขภาพใหญ่เช่น  ตัวเลขเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับตัวของดัชนีหุ้นเองนั้นก็มีความแตกต่างกันมากในแง่ของความสามารถในการคาดการณ์และความผันผวนของตัวเลข  โดยที่ตัวเลข GDP นั้นเนื่องจากผูกติดอยู่กับประชาชนทั้งประเทศและกิจกรรมที่เขาทำ  การคาดการณ์ปีต่อปีจึงค่อนข้างแม่นยำพอสมควรและความผันผวนก็ค่อนข้างต่ำ เช่น ถ้าเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโต 4% และความผันผวนก็คือไม่ต่ำกว่า 3.5% ในด้านที่แย่และไม่เกิน 4.5% ในด้านที่ดี  โอกาสที่เราจะทำนายพลาดก็น้อย  ดังนั้น  เราจึงไม่ต้องกังวลมากนักว่าบริษัทที่เราลงทุนจะ  “เจ๊ง” เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย  อย่างมากเราก็ไม่ค่อยดีหรือดีเท่านั้น แต่ตัวเลขดัชนีหุ้นนั้นการคาดการณ์น่าจะยากถึงยากมากและความผิดพลาดจากที่ทำนายก็อาจจะมหาศาล  หุ้นอาจจะเป็นวิกฤติได้เสมอเนื่องจากมันอิงกับปัจจัยทั่วโลกซึ่งแน่นอนรวมถึงปัจจัยในประเทศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องหรือแม้แต่ใกล้เคียง  เช่นเดียวกัน  หุ้นก็อาจจะดี  ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้น “หักปากกาเซียน”  ได้เสมอแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่าปีนี้เล่นหุ้นยากมาก  ดังนั้น  เราไม่ควรจะหวังอะไรกับดัชนีหุ้นถ้าเราลงทุนระยะยาว   เราอาจจะต้องระวังมากขึ้นบ้างในกรณีที่มีสถานการณ์บางอย่างที่ประวัติศาสตร์บอกว่า  “น่ากลัว”  เช่นในยามที่หุ้นปรับตัวเป็นกระทิงและดัชนีมีราคาแพงมากซึ่งในที่สุดก็มักจะต้องปรับตัวลงแรงจนบางครั้งเป็นวิกฤติ  เป็นต้น ทั้งหมดนั้นก็คือตัวอย่างของตัวเลขที่เราอาจจะต้องคาดการณ์เพื่อที่จะวิเคราะห์หุ้น  หน้าที่ของเราก็คือการวิเคราะห์ตัวเลขแต่ละตัวว่ามันน่าจะเป็นอย่างไรในปีหน้าและในอนาคต  เราจะต้องรู้ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ  ในการที่จะกำหนดตัวเลขเหล่านั้นและความผันผวนของมัน  ในกรณีจำนวนมากนั้นผมพบว่ามันไม่สามารถกำหนดได้แม่นยำและความผันผวนสูงมาก  ซึ่งในกรณีแบบนั้นบ่อยครั้งผมจะไม่ลงทุนเลย  ผมชอบลงทุนเฉพาะในหุ้นที่ผมคาดการณ์ตัวเลขได้ค่อนข้างดีและความผันผวนหรือโอกาสแตกต่างจากที่คาดการณ์มีน้อย  เพราะด้วยการลงทุนในหุ้นแบบนี้  โอกาสผิดพลาดหรือเรา “แพ้” มีต่ำ  ผมชอบลงทุนในสิ่งที่มีโอกาสขาดทุนน้อยแม้ว่าบางทีกำไรก็อาจจะไม่สูง  เพราะผมเชื่อในกฎสำคัญของการลงทุนในระยะยาวที่ว่า  “อย่าขาดทุน”

บทเรียนการลงทุนจากปี 2561 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
บทเรียนการลงทุนจากปี 2561 ดร. นิเวศน์เหมวชิรวรากร ในสงครามนั้นมีคำพูดสำคัญข้อหนึ่งก็คือ  “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร”  เรื่องหุ้นเองนั้นบ่อยครั้งก็มีการเปรียบเทียบกับสงครามเนื่องจากการลงทุนนั้นเป็น “กิจกรรมแห่งการต่อสู้” ที่รุนแรงคล้ายๆกับสงครามดังนั้นในแวดวงหุ้นเองคนก็มักจะพูดว่าตราบใดที่คุณยังลงทุนอยู่เช่นยังถือพอร์ตลงทุนหุ้นจำนวนมากไว้หรือถือหุ้นบางตัวไว้ก็จงอย่าคิดว่าคุณประสบความสำเร็จทำเงินมากมายแล้วเหตุผลก็เพราะว่าพอร์ตและ/หรือหุ้นที่มีกำไรมหาศาลนั้นอาจจะตกลงมาอย่างแรงจนกำไรหดหายหรือกลายเป็นขาดทุนได้ดังนั้นจงอย่าชะล่าใจและเปิดตัวเองให้อยู่ในความเสี่ยงที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นการลงทุนในหุ้นนั้นเราควรที่จะ  “ถ่อมตน”  อยู่เสมอตราบที่เรายังคงลงทุนอยู่และนี่ก็คือบทเรียนแรกที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้จากการลงทุนในช่วงปี 2561 ที่ VI จำนวนมากรวมถึง  “เซียนหุ้น”  ขาดทุนหรือมูลค่าพอร์ตลดลงมามากแทบจะเป็น  “หายนะ” ในการลงทุนนั้นผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมระยะยาวหรือแม้แต่ตลอดชีวิตแม้แต่คนที่  “เล่นสั้น” ซื้อขายหุ้นรายวันแต่ถ้าเขาก็ทำแบบนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานหรือ “ตลอดชีวิต”  มันก็คือเกมระยะยาวเช่นเดียวกันเหนือสิ่งอื่นใดก็คือหากเราเป็นคนที่มีเงินเหลือเก็บจากการทำงานใช้แรงงานเงินที่เหลือเก็บนั้นโดยนิยามก็คือเงิน “ลงทุน”  เพราะคงไม่มีใครเก็บเป็นเงินสดที่เป็นธนบัตรมันจะต้องถูกนำไปฝากธนาคารหรือซื้อตราสารทางการเงินหรือนำไปซื้อทรัพย์สินเพื่อการลงทุนซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ดังนั้นโดยนิยามแล้วทุกคนที่มีเงินเหลือเก็บก็เป็นคนที่ต้องลงทุนหรือเป็นนักลงทุนและเป็นนักลงทุนระยะยาวตลอดชีวิตผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนนั้นในบางช่วงก็ดีเลิศหรือดีบางช่วงก็แย่หรือแย่มากถ้า“บังเอิญ” ว่าเราทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมมายาวอาจจะเป็น 10 ปีก็จงอย่าคิดว่าเรา “เก่งมาก” หรือเป็น “เซียน”  แม้ว่าจะมีคนอื่นยกย่องชื่นชมเราเพราะเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเช่นในปี 2561 เราอาจจะ “แพ้”  กำไรที่เคยทำมาได้หายหมดหรือลดลงมากจนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นนั้นไม่ได้สูงกว่าปกติเท่าไรนักและนี่ก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและเกิดขึ้นกับ “เซียน” ระดับโลกด้วย ปี 2561 นั้นผมคิดว่ามันเป็นปีที่  “หมดรอบ” ในหลายๆเรื่องความหมายก็คือสิ่งต่างๆที่มักเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรดี-ร้ายนั้นหมุนมา “ครบรอบ” เช่นแรงเก็งกำไรในหุ้นแบบต่างๆที่ทำให้หุ้นขึ้นไปแรงมากเป็นเวลาหลายปีพอถึงปี 2561 มันก็ถึงจุดสุดยอดและก็เริ่มปรับตัวลงแรงและดูจะไม่สามารถดีดตัวขึ้นในระยะสั้นอย่างที่เคยเป็นอีกดังนั้นผมคิดว่ามันน่าจะ  “จบรอบ”  หรือ  “อวสาน”  และต้องรอเวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นรอบใหม่และการที่มันจบรอบหรือ  “สงครามสงบ” แม้ว่ามันจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว”  นี้เองผมจึงคิดว่าเราน่าจะมาทบทวนดูว่าเราได้รับบทเรียนอะไรบ้าง จากประสบการณ์ของผมเองนั้นผลงานการลงทุนที่ดีนั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะหุ้นบางตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่องยาวนานซึ่งนั่นช่วยทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตเติบโตหรือต้านทานภาวะเลวร้ายของตลาดได้ถ้าจะพูดภาษาสงครามหน่อยก็อาจจะบอกว่าเรามี “เรือธง” ที่ยิ่งใหญ่ที่คอยค้ำจุนหรือปกป้องน่านน้ำหรือเขตสงครามที่ทำให้กองทัพประสบความสำเร็จและยืนหยัดอยู่ได้เรือธงนั้นเองก็ “ถูกถล่ม” เช่นเดียวกันแต่มันไม่จมและมันพร้อมที่จะกลับมาสู้รบอย่างห้าวหาญต่อไปอย่างไรก็ตามมีโอกาสเสมอที่มันอาจจะถูกถล่มจนจมลงแบบเดียวกับที่เรือบิสมาร์กที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันถูกรุมล่าจนจมลงมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บทเรียนที่ว่าเราต้องมีเรือธงหรือหุ้นที่ยิ่งใหญ่หรือหุ้นที่ในช่วงเวลายาวนานระดับหนึ่งสร้างผลงานที่น่าประทับใจจนทำให้ผลงานโดยรวมของเราดีต่อเนื่องยาวนานนี้ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนที่ปีเตอร์ลินช์พูดไว้ในหนังสือเรื่อง One Up On Wall Street ที่เขาเล่าว่าการเติบโตหรือผลตอบแทนของหุ้นจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของเขานั้นก็ไม่ได้สูงผิดปกติอะไรมัน“ธรรมดา” มากเหตุผลก็อาจจะเป็นว่าเขาถือหุ้นเป็นพันตัวซึ่งมันยากมากที่จะมีผลงานดีทุกตัวแต่หุ้นที่ทำให้พอร์ตเขาดูดีมากก็คือหุ้นบางตัวที่เขาถือไว้จำนวนมากตั้งแต่ราคายังต่ำและบริษัทที่อาจจะเพิ่ง “Turnaround” หรือเติบโตนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆทุกปีในอัตราที่สูงและกลายเป็น “หุ้น 10 เด้ง”  และนี่คือหุ้นที่เขาถือยาวนานติดต่อกันหลายปีผลก็คือผลตอบแทนระยะยาวที่ดีมากของเขาส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในหุ้นแบบนี้ บทเรียนสำคัญต่อมาก็คือการ “หลีกเลี่ยงหายนะ” จากหุ้นที่เราลงทุนนี่ก็คือจะต้องประเมินความเสี่ยงของหุ้นทุกตัวว่ามันเป็นอย่างไรความเสี่ยงสูงแค่ไหนและต้องเป็นความเสี่ยงทุกด้านรวมถึงความเสี่ยงที่เราใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุนหรือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการเพิ่มอัตราความเสี่ยงขึ้นไปสูงมากเช่นการใช้บล็อกเทรดเป็นต้นและนอกจากความเสี่ยงของตัวกิจการและตัวหลักทรัพย์เองแล้วเราก็ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิด Fraud หรือการโกงและการหลอกลวงในเรื่องต่างๆรวมถึงระบบบัญชีของบริษัทโดยเฉพาะเวลาที่เราดูแล้วมัน  “Too good to be true” หรือมันดูดีจนไม่น่าเป็นไปได้ในช่วงปี 2561 และก่อนหน้านั้น 2-3 ปีดูเหมือนว่าเราจะพบหุ้นประเภทนี้ค่อนข้างมาก บทเรียนอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะจดจำก็คือหุ้นที่มี “คนเชียร์กันอื้ออึง” นั้นก็เป็นไปตามที่บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่าเรามักจะต้องจ่ายเงินซื้อแพงเกินไปและทำให้เรา  “เสียเงิน”  ช่วงก่อนหน้านี้เราได้เห็นว่ามีหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเชียร์กันอย่างกว้างขวางว่าจะเติบโตยิ่งใหญ่เหมือนอย่างหุ้นที่ยิ่งใหญ่ในต่างประเทศโดยนักลงทุนนักวิเคราะห์ผู้บริหารบริษัทและสื่อต่างๆซึ่งทำให้ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูงมากแต่แล้วเมื่อตัวเลขผลประกอบการที่ทยอยออกมาไม่รองรับราคาหุ้นก็ปรับลดลงมาหนักมากซึ่งทำให้คนที่ตื่นเต้นกับเสียงเชียร์และเข้ามาซื้อหุ้นขาดทุนจำนวนมาก อีกบทเรียนหนึ่งที่ปี 2561 ตอกย้ำก็คือการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์น้อยในการลงทุนส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่จะถูกหรือผิดนั้นเท่าๆกันและบ่อยครั้งถึงคาดถูกก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราเป็นนักลงทุนที่เลือกลงทุนเองไม่ใช่คนที่ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนีปี 2561 นั้นคนส่วนใหญ่น่าจะคาดในช่วงต้นปีว่าจะเป็นปีที่ดีเพราะดัชนีหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามเมื่อหมดปีผลปรากฏว่าดัชนีก็ตกลงมา  “แรง”  คือประมาณ 11%  แต่ถ้ามองจากประวัติศาสตร์การตกแค่นี้ก็ถือว่า  “ธรรมดา”  เป็นแค่  Correction หรือการ “ปรับตัว” ของตลาดหุ้นอย่างไรก็ตามถ้ามองในภาพเล็กลงมาและในสายตาของนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากแล้วปี 2561 น่าจะถือว่าเป็นปี  “วิกฤติ”...

อาชีพน่าเบื่อกับ VI ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
โลกในมุมมองของ Value Investor        5 มกราคม 2562 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร อาชีพน่าเบื่อกับ VI   ​ทุกสิ้นปีหรือต้นปีใหม่ของทุกปีผมจะต้อง  “ทบทวน” ผลงานและกิจกรรมทางการลงทุนของผมว่าเป็นอย่างไร  เหตุผลนั้น  นอกจากจะต้องทำบันทึกเพื่อเอาไว้เขียนหนังสือแล้ว  ยังเป็นการดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างและมันถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรเพื่อเก็บไว้เป็น  “บทเรียน” สำหรับอนาคต ​ปี 2561 นั้นน่าจะเป็นปีแรกในช่วงเวลา 22 ปี ที่ผมลงทุนเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดในฐานะของ “VI” ที่ผม “ไม่ได้ทำอะไรเลย” นั่นก็คือ  ผมไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นแม้แต่ตัวเดียว  ผมรู้สึกว่าไม่มีหุ้นที่น่าสนใจพอที่จะซื้อเพื่อถือระยะยาวแบบ VI เพราะมันไม่มี Margin of Safety หรือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยเพียงพอ  หุ้นที่ดีเป็นซุปเปอร์สต็อกก็มักจะมีราคาแพงค่า PE สูงตั้งแต่ 30 เท่าขึ้นไปซึ่งผมคิดว่าบางตัวราคาก็อาจจะยังพอยอมรับได้ว่าสมเหตุผล  แต่ในสภาวะของเศรษฐกิจสังคมการเมืองของไทยมันก็อาจจะยังมีความเสี่ยง  โอกาสขาดทุนในระยะยาวก็เป็นไปได้ไม่ต้องพูดถึงระยะสั้นที่อาจจะขาดทุนได้ง่าย ๆ  ...

อวสานของเซียนหุ้น: ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 

0
อวสานของเซียนหุ้น ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตลาดหุ้นไทยในช่วงเกือบ 20 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประมาณ 10 ปีที่ผ่านมานั้น  ต้องถือว่าเป็น “ยุคทอง” ของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลที่เรียกตนเองว่าเป็น Value Investor หรือ “VI”  เพราะพวกเขาจำนวนมากนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงลิ่วแบบที่  “เหนือจินตนาการ” ผลตอบแทนทบต้นต่อปีในระดับ 20-30% ขึ้นไปเป็นเวลา 5-10 ปีนั้นเป็นสิ่งที่กลายเป็นเรื่องปกติ  ผลตอบแทนในปีที่ดีนั้นบางทีเป็นร้อยหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มีโดยเฉพาะในกรณีที่พอร์ตการลงทุนยังไม่ใหญ่นัก  จริงอยู่ส่วนใหญ่คนที่ทำได้ก็มักอาศัยการ...

ดร.นิเวศน์ ยันเลือกลงทุนเวียดนามถูก

0
ดร.นิเวศน์ ยันเลือกลงทุนเวียดนามถูก อาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้กล่าวในงานสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม จัดโดย วีวีไอ กรุ๊ป เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2561 โดยพิธีกรได้ถามถึงว่าโลกโซเชียลได้มีการพูดกันว่าอาจารย์บอกว่า "ไม่อยากไปเวียดนามแล้ว อยากเอากลับ ยังติดอยู่" เป็นอย่างไร? ได้รับคำตอบและยืนยันว่าความรู้สึกว่ายังมั่นใจว่า "หุ้นเวียดนามคือตลาดแห่งอนาคต และเป็นตลาดที่จะสร้างความมั่งคั่งได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10-20 ปีที่แล้ว ถ้าคุณยังมีแรงเป็นหนุ่มสาวพร้อมมาลุยทุ่มเทกับมัน น่าจะดีกว่าเมืองไทยซึ่งเศรษฐกิจอิ่มตัวที่หุ้นดีๆ ก็ถูกลากมาจนราคาแพง หาหุ้นโตยาว10-20...

ต่างชาติขายหุ้นไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

0
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยมาตลอดคิดรวมแล้วกว่า 30,000 ล้านบาททั้ง ๆ  ที่นักวิเคราะห์และคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนต่างก็คาดการณ์ว่าตลอดปีนี้ต่างชาติน่าจะกลับมาซื้อหุ้นไทยเนื่องจากพวกเขาถือหุ้นไทยในสัดส่วนน้อยลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับอดีตยาวนานที่ผ่านมาราวกับว่าต่างชาติจำเป็นหรืออยากที่จะถือหุ้นไทยจำนวนมากอย่างที่เป็นมาในอดีต  ว่าที่จริงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  นักลงทุนต่างชาติได้ขาย “สุทธิ” หุ้นไทยรวมกันแล้วประมาณ 300,000 ล้านบาท  แต่ก็ไม่เคยมีใครออกมาวิเคราะห์ว่าทำไมนักลงทุนต่างชาติจึงขายหุ้นไทยมากอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง  เหตุผลนั้น  ผมคิดว่าเป็นเพราะนักวิเคราะห์และคนในตลาดหุ้นนั้นไม่อยากรับรู้เรื่องราวที่เป็นลบ  พวกเขาอยากจะพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นบวกที่จะช่วยให้ราคาหรือดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  เช่น  “ฝรั่งจะกลับมา” เพราะ… เหตุที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น  ผมก็พยายามหาเหตุผลโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องของการปรับพอร์ตหรือประเด็นการโยกย้ายเงินเนื่องจากความแตกต่างในเรื่องของดอกเบี้ยและเงินเฟ้อของประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้วและเป็นเจ้าของเงินที่นำมาลงทุนในประเทศไทยหรือตลาดหุ้นไทยมากนัก ...

MOST POPULAR